ตอนที่ 73 เหยี่ยวมรกต
ย่างเท้ากลับเมืองหลังสำรวจ เทียนหนิงเจี้ยนทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนเพลียมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสุดแสนมิเคยเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน
หลินหยางลดระดับการป้องกันเปลี่ยนกะเป็นเวลาเรียกเวรยามกลับเมืองเข้าสู่การรักษาความปลอดภัยตามปกติ เป็นเวลาทั้งวันคืนที่พวกมันมิได้หลับนอนหากฝืนต่อไปอีกวันรังแต่จะสร้างภาระให้แก่ร่างกายรวมไปถึงหลินหยางที่วันนี้ก็ตรากตรำเดินไปทั่วทิศตั้งแต่เช้าจรดเย็น หลังร่วมวงทานอาหารค่ำหลินหยางก็ปล่อยให้พวกมันพักผ่อนตามอัธยาศัย
หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ภายในที่พักส่วนรวมเต็มไปด้วยเสียงกรนของเหล่าชายฉกรรจ์รวมไปถึงอิสตรีก็มิต่างผสมผสานดังระงม
เช้าตรู่
‘พี่หยาง! พี่หยาง!!’ หลินหยางงัวเงียสลึมสลือตื่นจากบรรทมหันซ้ายมองขวาก่อนจะพบกับผู้ที่ปลุกมันขึ้นจากภวังค์ ชายผู้นั้นมิใช่ใครที่ไหนมันคือผู้ดูแลคอกสัตว์เฝ้าไข่ทั้งเก้าฟองเลี้ยงดูเหยี่ยวมรกต มันลากหลินหยางเดินอาดๆออกมาหน้าเพิงพักด้วยสีหน้าแดงฝาดหายใจฟึดฟัดเก็บความตื่นเต้นเอาไว้มิอยู่
หลินหยางยังมิตื่นดีนักแหงนมองท้องฟ้ายังมืดมิดสงัดแสงอาทิตย์มิสาดส่อง
“ข-ไข่ใบที่สองฟักแล้ว!” มิรอให้หลินหยางเปร่งวาจาถามมันเร่งร้อนกล่าวตอบ
“!?” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นร่างกายของมันหายจากความง่วงซึมสร่างในบัดดล รีบเช็ดขี้ตาล้างหน้าทำความสะอาดก่อนจะตรงปรี่เดินตามผู้ดูแลต้อยๆมุ่งหน้าไปยังคอกสัตว์
กัซ~
ทันทีที่มาถึง ดวงตาของชายหนุ่มราวกับต้องมนต์สะกดจับจ้องไปยังไข่ใบหนึ่งที่ถูกกะเทาะออกมาจากภายในพร้อมกับร่างของเหยี่ยวมรกตตัวน้อยดวงตายังมิเปิดดีกำลังพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากเปลือกของมันพร้อมเสียงร้องเร่งเร้าราวกับเชียร์ของเหยี่ยวมรกตผู้พี่ที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
“มาแล้วๆ!” ผู้ดูแลตื่นเต้นยิ่งกว่าหลินหยางมันปีนป่ายกระโดดข้ามรั้วเข้าไปภายในคอกรีบไปรับเจ้าเหยี่ยวตนที่สองนำมันมาทำความสะอาดคราบเมือกที่ครอบกาย
หลินหยางเหม่อลอยยืนเกาะรั้วไม้นั่งมองไม่กระพริบจิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นลางดีที่ได้ต้อนรับสมาชิกตัวน้อยในรุ่งสางของเช้าวันใหม่
เปราะ
ขณะที่ชายหนุ่มเฝ้ามองชายผู้นั้นดูแลเอาใจใส่เหยี่ยวมรกตตนที่สอง โสทประสาทของมันได้ยินเสียงผิดปกติมาจากไข่ใบนึงในจำนวนแปดใบที่เหลือที่บัดนี้กองรวมกันอยู่
รอยร้าวเล็กๆปรากฏขึ้นบนเปลือกนอกของไข่ใบนั้นก่อนจะค่อยๆรุกรามอย่างช้าๆทั่วทั้งใบ เป็นสัญญาณจากผู้ที่อยู่ภายในเปลือกหุ้มส่งออกมาให้ผู้ที่อยู่ภายนอกรับทราบว่าในอีกไม่นาน….ตนกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้
หลินหยางผู้เป็นพยานยิ้มกว้างจนปากเกือบจะฉีกไปถึงหูรอคอยอย่างใจจดใจจ่อตื่นเต้นเป็นที่สุดจนกระทั่ง….ครึ่งชั่วโมงต่อมาไข่ใบที่สามก็ฟูมฟักสำเร็จเสร็จสิ้นทำลายเปลือกหุ้มกายหาญกล้าท้าเผชิญโลกกว้างด้วยตัวของมันเอง
“ฮ่าๆๆ” เสียงแรกที่เหยี่ยวตัวนั้นได้ยินของเสียงหัวร่อของชายหนุ่มที่ลุ้นระทึกส่งแรงใจช่วยมันทุกวินาที
ยามสาย
ใบที่สอง สาม สี่ตั้งแต่รุ่งเช้าที่หลินหยางนั่งเฝ้าคอกสัตว์จนตอนนี้มีพลเมืองชายหญิงเด็กและคนชราต่างก็รายล้อมจนแออัด ไข่ใบโตทยอยฟักตัวส่งสัญญาณการมีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงยามสาย
“ตัวผู้ เพศผู้…นี่ก็ตัวผู้” ผู้ดูแลเอ่ยขานเพศของสัตว์เดรัจฉานทีละตัว ทีละตัวตามลำดับ ยิ่งมายิ่งหมดหวังความปราถนาของหลินหยางยิ่งห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
“เพศเมีย!!” ไข่ใบสุดท้ายนั่นคือใบที่เจ็ดก็คลอดเหยี่ยวมรกตน้อยออกมาดูโลกกว้างและผู้ดูแลก็ได้ป่าวประกาศในสิ่งที่หลินหยางเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเหยี่ยวมรกตเพศแม่ตัวแรกก็ถือกำเนิด!!
ทว่า….น่าเสียดายนักที่นั่นคือตัวสุดท้าย ไข่ใบที่แปด เก้าและสิบนับแต่นี้และในอนาคตมิเคยได้ฟักออกมาเป็นตัวจนกระทั่งเปลือกที่ห่อหุ้มหมดอายุขัยและสลายไปเองตามธรรมชาติ
ตอนที่ 74 เมืองที่แตกต่าง
วันรุ่งขึ้น
อันเนื่องมาจากเมื่อวานพลเมืองต่างก็ตื่นเต้นยินดีเฝ้าดูเหยี่ยวมรกตตัวน้อยเอาใจช่วยพวกมันทั้งวันทำให้การสำรวจต้องหยุดชะงักชั่วคราว
วันนี้หลินหยางนำทัพออกจากเมืองแต่เช้าตรู่นำกำลังพลไปด้วยทั้งสิ้นสิบนายบวกเทียนหนิงเจี้ยนเช่นเคย พวกมันเดินทางไกลห่างออกจากตัวเมืองทำลายสถิติที่ทำได้ในวันแรกตรวจตราพื้นที่รอบนอกวาดแผนที่โดยละเอียด
“อีกหนึ่งชั่วโมงเราจะเริ่มเดินทางต่อ” ภายในหมู่บ้านเอลฟ์หลินหยางและขบวนแวะพักกลางวัน พาเทียนหนิงเจี้ยนมาหลบแดดคลายเมื่อยเมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลินหยาง มันไม่รอช้ารีบสวาปามอาหารอย่างมูมมามทานมื้อเที่ยงด้วยเวลาอันรวดเร็วมิถึงห้านาทีอาหารในส่วนของมันก็หมดเกลี้ยงพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนผืนหญ้าหลับปุ๋ยพักเอาแรง
หลินหยางถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาสหายนั่งร่วมวงดื่มสุราเมรัยกับเหล่านักรบเอลฟ์ที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างสนุกปากก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งตามกำหนดการล่องเหนือลงใต้จนกระทั่ง….
“พี่หยางดูเมืองนั่นสิ” หลิวไห่ชายผู้กำยำไม่มีวี่แววของความเหน็ดเหนื่อยเดินนำทัพนำหน้าขบวนจู่ๆมันก็หยุดฝีเท้ายืนนิ่งหรี่ตามองไปยังทิศนึงก่อนจะชี้ชวนเชิญให้หลินหยางและพวกมองตาม
“หือ?” หลินหยางส่งเสียงในลำคอด้วยความฉงนสายตาจับจ้องไปยังเมืองนึงที่อยู่ไกลลิบ สาเหตุที่เมืองนี้กลายเป็นจุดสนใจดึงดูดความสงสัยก็คือภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเมืองอื่นที่พวกมันเคยพบ ซ้ายขวาหน้าหลังสี่ทิศล้อมรอบด้วยต้นไม้สีดำทึมทึบไร้ใบไม่ผลิดอกคล้ายกับโดนไฟเผาไหม้จนดำเป็นตอตะโกไร้ชีวิตชีวา
เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งมิทราบสิ่งมีชีวิตชนิดใดสายพันธุ์ไหนที่เป็นผู้อยู่อาศัยภายในเมืองนี้
“เอาไง?” หลินหยางปรึกษาพลพรรคสอบถามความเห็นและแน่นอนว่าคำตอบของพวกมันทุกคนล้วนออกมาในลักษณะเดียวกันไม่มีใครเห็นค้าน
พวกมันทั้งสิบเก็บอาวุธซ่อนคมมีดเปลือยมือเปล่าก่อนจะเดินอย่างองอาจตรงปรี่ไปยังเมืองต้องสงสัย
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!” ยังมิทันเข้าใกล้ดิบดีเสียงตวาดดังลั่นห้ามทัพมิให้เข้าใกล้และพวกมันย่อมทำตามแต่โดยมิไร้การฝ่าฝืนหยุดชะงักชูสองมือขึ้นเหนือศรีษะ
มิมีเวลาให้หลินหยางพูดพร่ำทำเพลงอธิบายอันใด ทันใดนั้นเจ้าบ้านปรากฏกายพร้อมอาวุธครบมือวิ่งกรูกันออกมาจากตัวเมืองรุมล้อมหลินหยางและพลพรรคทุกทิศทางปิดกั้นทางหนีทีไล่
“….” หลินหยางและพวกมองหน้ากันเงอะงะหัวคิ้วขมวด มิใช่เพราะหวาดกลัวต่อจำนวนคนหรือหวาดหวั่นเพราะถูกรายล้อมแต่เป็นเพราะรูปลักษณ์ของผู้รอดชีวิตในเมืองนี้ที่ทำให้พวกมันตกตะลึงไปชั่วขณะต่างหาก
“คนแคระ?”
“พวกนี้คนแคระใช่ปะ”
“เหมือนที่เห็นในหนังอะนะ?”
“เออว่ะ เหมือนเปี๊ยบเลย” นั่นที่สิ่งที่หลินหยางและพวกซุบซิบกันภายในกลุ่ม….