ตอนที่ 149 ห่วงใย
“ออกเดินทาง!” หลินหยางตะโกนให้สัญญาณ
ตึก~
ตึก~
เมื่อสิ้นเสียงของหลินหยาง ขบวนแถวห้าแถวแต่ละแถวมีจำนวนคนสิบคน พวกเขาเดินออกตามติดหลินหยางไปอย่างพร้อมเพรียงจนได้ยินเสียงย่ำเท้าเป็นระเบียบเรียบร้อยส่งผลให้ผู้ที่มองเห็นหากเป็นมิตรรู้สึกฮึกเหิมหากเป็นศัตรูย่อมรู้สึกเสียขวัญกำลังใจ
เมื่อขบวนของหลินหยางมุ่งตรงออกจากเมืองจนลับสายตา เทียนหนิงเจี้ยนที่ยืนมองจนสุดหางตาเมื่อมิเห็นแม้แต่เงาของพวกเขามันจึงหันตัวกลับ
มันเดินไปดูงานการก่อสร้าง ทีมระยะใกล้ แม้แต่เด็กและคนแก่ก็มิรอดพ้นสายตาที่เฉียบคมของมัน พลางจดบันทึกลงในสมุดคู่กายคล้ายกับผู้ตรวจการ มันเดินดูทั่วรอบเมืองตลอดทั้งวัน ยามที่หลินหยางมิได้อยู่ภายในเมืองเจ้าเขียวหนึ่งถึงเจ็ดมักตามติดเทียนหนิงเจี้ยนแทน..
เมื่อเดินทางถึงที่พักรับรองสำหรับผู้มาเยือนซึ่งมีกลุ่มของฉางเปาอยู่ภายใน เทียนหนิงเจี้ยนเคาะประตูเพื่อเรียกพวกมัน
“เจ้านั่นเองมีอะ-” ผู้ที่มาเปิดประตูให้เป็นชายร่างกายกำยำ มันเป็นผู้ติดตามของฉางเปา
“จะอยู่ถึงวันไหน” ชายคนนั้นยังมิทันได้กล่าวจนจบประโยค เทียนหนิงเจี้ยนก็กล่าวแทรกขึ้นมา
“…” ชายคนนั้นยืนตะลึง เมื่อคืนวานชายตรงหน้ามันยังประจบประแจงป้อนสุราอาหารแก่พวกมันอยู่หยกๆ แต่ตอนนี้กลับพูดกับมันห้วนๆคล้ายกับไล่ให้พวกมันจากไปโดยไว
นั่นก็เพราะเทียนหนิงเจี้ยนเป็นผู้ดูแลเรื่องยิบย่อยภายในเมืองรวมถึงเรื่องอาหารเช่นกัน เรื่องพวกนี้หากมิใช่เรื่องใหญ่โตระหว่างเมืองหลินหยางมักไม่ยุ่งเกี่ยวมากนักโดยมอบหมายให้เทียนหนิงเจี้ยนเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีคนมาขออาศัยกินดื่มอาหารของมันอย่างฟรีๆ มันย่อมมิอยากแบ่งปันให้พวกเขา มันจึงโพล่งออกไปเช่นนั้นคล้ายกับไล่ฉางเปาและพวกก็มิปาน…
“นี้ลุงจะงกไปไหน” ชายคนนึงอายุยี่สิบต้นๆรุ่นราวเดียวกับหลินหยาง มันกล่าวออกมาใบหน้าโกรธแค้นพวกมันพึ่งมาพักอาศัยอยู่ที่นี่เพียงคืนเดียวเท่านั้นแต่ปฏิกิริยาของคนพวกนี้ช่างแร้งน้ำใจยิ่งนัก มองหน้าเทียนหนิงเจี้ยนก็สามารถบอกได้เลยทีเดียวว่ามันอยากไล่พวกเขาออกไปเสีย
“จะไปเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน หากอยากอยู่ต่อก็ต้องทำงาน” เทียนหนิงเจี้ยนกล่าว เดินหันตัวเดินกลับไป…
———————————————————————————————
ผืนที่ราบแห่งหนึ่ง
หลินหยางและพวกเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว พวกเขายังมิเจอเบาะแสใดๆเลยแม้แต่น้อย ชายทั้งสามตอนนี้พวกเขาเดินนำหัวแถวอยู่ใบหน้าของพวกเขาทั้งสามเคร่งเครียดขมวดคิ้วจนแทบติดกันเลยทีเดียว นั่นคือหลินหยาง เจียวซิ่น และหวงฮั่น
โดยเจียวซิ่นนั้นเป็นห่วงเผ่าพันธุ์ของตนที่หายเข้ากลีบเมฆไปกว่าหนึ่งวันมิส่งข่าว โดยเฉพาะเจียวฮั่นที่เป็นเหมือนน้องชายของมันซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจู่โจมซึ่งหายไปพร้อมกับพักพวก ส่งผลให้ตั้งแต่เมื่อคืนเจียวซิ่นกระวนกระวายใจแทบมิได้หลับนอน
ส่วนหวงฮั่นนั้น
ตามปกติประชากรดั้งเดิมของเมืองมันจะมีเวรยามที่ส่งไปเฝ้าแหล่งอาหารอยู่สี่ชุด นั่นคือคลองน้ำและโพรงกระรอก แต่ละชุดมีจำนวนคนสิบคนและสลับเปลี่ยนกันวันละครั้งตอนเช้า หากเป็นตามปกติช่วงเช้าวันนี้ยามที่ไปเฝ้าโพรงกระรอกควรจะกลับมากันได้แล้ว
เพราะเวรยามที่ส่งไปคลองน้ำที่ห่างออกไปกว่าสามสิบกิโลพวกเขากลับมากันเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมิเห็นวี่แววของเวรยามที่ส่งไปเฝ้าโพรงกระรอกที่ห่างออกไปไม่ไกลเพียงสิบกิโลเท่านั้น ทำให้มันอดเป็นห่วงมิได้
พวกเขาเดินทางกันอย่างระมัดระวังมองสอดส่องไปบริเวณโดยรอบตลอดเวลา
ตอนที่ 150 ทุบตี
ในที่สุดขบวนเดินทางของหลินหยางก็มาถึงยังโพรงกระรอกต้นปัญหาเสียที
เมื่อมาถึงขบวนทัพจึงหยุดเดิน
หลินหยางขมวดคิ้วแน่น เพราะตอนนี้โพรงกระรอกของเขายังคงเดิมเป็นปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือคนของเขาหายไปจนหมดสิ้น เวรยามที่ควรจะอยู่เฝ้าโพรงกระรอกนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
มองไปรอบๆมิมีอันใดแตกต่างจากเดิม แต่เมื่อสังเกตุดูดีๆจากที่ไกลๆมีคนสองถึงสามคนแอบซุ่มมองอยู่ แต่ก็มิสามารถรอดพ้นสายตาของหลินหยางไปได้ แม้จะมิเห็นหน้าค่าตาแต่ก็สามารถบอกได้ว่าพวกนี้ย่อมมิใช่คนของเขาเป็นแน่ ไม่นานจากที่หลินหยางตรวจพบมันคนพวกนั้นค่อยๆหมอบเดินต่ำถอยห่างออกไป
————————————————————————————
ณ เมืองแห่งหนึ่ง
“มันมาแล้วครับ” ชายคนนึงใบหน้ามีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาคล้ายกับวิ่งมาอย่างต่อเนื่องมิได้แวะพัก บอกกล่าวแก่ชายตรงหน้า
“หึหึ” เมื่อได้รับรายงานจากชายคนดังกล่าว ใบหน้าของมันแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ไปบอกเมือง xx กับเมือง xx” ชายที่คล้ายกับเป็นผู้นำออกคำสั่งพลางจับอาวุธคู่กายเดินปรี่เข้าไปหาคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเมือง
หึ่ม~
อู้~
อื้ออ~
คนกลุ่มนั้นเมื่อเห็นชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พวกเขาพยายามส่งเสียงเรียกร้องในลำคอ แต่มิสามารถจับใจความในคำพูดได้เนื่องจากเศษผ้าที่ปิดปากมัดแขนขาพวกเขาอยู่
ผู้นำของเมืองแห่งนี้ยืนอยู่ตรงหน้าของกลุ่มที่ถูกมัดเป็นเชลย พลางแกะผ้าปิดปากชายตรงหน้าออกไป
ถุ้ยย~
เมื่อผ้าปิดปากหลุดออก ชายคนนั้นใช้ปากที่หลุดพ้นจากการพันธนาการพ่นน้ำลายเข้าใส่ใบหน้าของผู้นำเมืองแห่งนี้ แต่มันก็หลบได้อย่างง่ายดาย
“หากพี่หยางมาถึงพวกแกจะต้องตาย” ชายคนนั้นกล่าว ใบหน้าของมันคมเข้ม บริเวณแขนขามีขนสีเทาขึ้นปลกคลุมดูแล้วคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กระหายการต่อสู้ นั่นคือเจียวฮั่นนั่นเอง
“ฮ่าๆๆ” เหล่าชายชาตรีพลเมืองแห่งนี้ เมื่อได้ยินเจียวฮั่นพ่นคำพูดไร้สาระออกมาพวกมันต่างหัวเราะลั่น
เพี๊ยะะ~
“ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยไอสัตว์ประหลาด” ผู้นำของเมืองแห่งนี้กล่าวพลางตบเข้าใส่ใบหน้าของเจียวฮั่นฉาดใหญ่ เมื่อดูไปที่ใบหน้าของเจียวฮั่นมันบวมเบ่งช้ำเลือดแดงก่ำ เลือดไหลเป็นทางออกจากปากของเขาดูท่าการตบครานี้มิใช่คราแรกของมันเป็นแน่!
อู้~
อื้ออ~
เมื่อเจียวฮั่นถูกฝ่ามือหยาบกร้านตบใส่จนล้มกลิ้งอยู่บนพื้นทั้งที่มีเศษผ้ามัดมือเท้าอยู่จึงมิสามารถพยุงตัวลุกขึ้นเองได้ กลุ่มคนที่ถูกมัดอยู่ด้านหลังล้วนตะเบ็งเสียงในลำคอคล้ายกับโกรธแค้น พวกเขาคือทีมจู่โจมและเหล่าเวรยามนั่นเอง
พวกเขานั่งรวมกันอยู่ถูกพันธนาการมิสามารถเคลื่อนไหวตอบโต้คนพวกนี้ได้คล้ายกับตกเป็นเชลยพ่ายแพ้สงครามก็มิปาน บนใบหน้าร่างกายของคนกลุ่มนี้ล้วนมีบาดแผลฟกช้ำไปทั่วร่างกายเกิดจากการถูกทุบตีทรมาน
ตู้มม~
“หากไอ้หลินหยางมันมาก็ต้องมีสภาพไม่ต่างจากแก” ผู้นำของเมืองแห่งนี้กล่าวเค่นเสียงอย่างชั่วร้าย และเตะเข้าใส่บริเวณลำตัวของเจียวฮั่นที่นอนหมดสภาพอยู่อย่างรุนแรงกว่าสามครั้ง
เมื่อคนของเมืองแห่งนี้เห็นเหล่าเชลยที่ถูกมัดไร้ซึ่งกำลังต่อต้านส่งเสียงด้วยความโกรธแค้น พวกมันล้วนเข้าไปทุบตีอย่างสนุกมือ!