ตอนที่ 505 ค่าสถานะ(ตอนกลาง)
หากเปรียบเทียบกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นหลินหยาง ด้วยขนาดร่างกายสมส่วนมิอ้วนผอมสูงเตี้ยจนเกินไป แม้จะมีกล้ามเนื้อแทรกขึ้นมาจากการใช้งานร่างกายมาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหลายปีและเริ่มฝึกฝนสร้างความแข็งแรงตั้งแต่ผ่านประตูสวรรค์ก็ตาม
แต่แน่นอนพละกำลังของเขามิสามารถเทียบเคียงได้กับเหล่าทีมก่อสร้างที่ใช้แรงงานกันอยู่ตลอดทั้งวันได้ มิต้องถามถึงเผ่าคนแคะพลังการโจมตีมีประสิทธิภาพสูงตั้งแต่กำเนิด
ความเร็วเขาเองก็มิสามารถเทียบเคียงได้กับเหล่ามนุษย์หมาป่าที่โดดเด่นในด้านนี้เช่นเดียวกัน
หากนำตัวเขาไปเปรียบเทียบในด้านต่างๆแล้วละก็นับว่าตัวหลินหยางนั้นเป็นผู้หนึ่งที่มีสถานะทุกอย่างสมดุลอยู่ในขั้นปกติมิได้สูงกว่าเกณฑ์ในด้านใดด้านหนึ่งเลย
ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเพิ่มสถานะไปยังพละกำลังหรือความเร็ว มันก็มิได้เพิ่มขึ้นสูงมากนักหากเทียบกับเหล่าคนที่โดดเด่นในค่าสถานะดังกล่าวอยู่ตั้งแต่ดั่งเดิม
ตอนนี้ค่าสถานะที่หลินหยางมีมุ่งเน้นไปที่ความไวเป็นหลัก เพื่อใช้สำหรับเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ย่นระยะโจมตี ทั้งยังสามารถหลบหลีกการโจมตีหรือหนีรักษาชีวิตได้ไม่ลำบาก
และตอนนี้ค่าสถานะอื่นเองก็ได้รับการเพิ่มระดับสูงขึ้นจากปกติแล้วเช่นกัน
เขาตั้งใจจะใช้ร่างกายที่อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาของตน เพิ่มพูนทุกระดับให้คงที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ถึงอย่างไรตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากน้องใหม่ที่พึ่งถือกำเนิดเริ่มฝึกบิน ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบใหม่ที่ตนอาศัยอยู่ เขามิอยากคิดถึงหมู่คนที่ข้ามผ่านประตูสวรรค์ก่อนหน้าตนในวันแรกเริ่มเลย เพราะช่วงเวลาที่บิดเบือนแตกต่างกันนั้นสร้างช่องว่างราวหนึ่งถึงสองปีเลยทีเดียว
มิทราบพวกมันที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมสองปีก่อนนี้จะมีระดับสูงมากถึงเพียงใด ค่าสถานะจะโดดเด่นแค่ไหน
เช่นเดียวกับหลิวไห่ที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงสูงใหญ่เน้นกล้ามเนื้อเป็นหลัก ซึ่งจากโลกเก่าแก่ดั้งเดิม ตัวมันก็มิได้มีความรวดเร็วจากการเคลื่อนไหวมากมายเท่าใด เรียกได้งุ่มง่ามเชื่องช้าตามขนาดร่างกายเสียมากกว่า
แม้มันจะเพิ่มค่าสถานะลงไปที่ความเร็วเพิ่มขึ้นจนสองเท่า มันก็จะมีความเร็วมากกว่าปกตินั่นก็คือจากโลกเดิมของตนสองเท่า
หากเป็นเช่นนั้นนับว่าการเพิ่มความเร็วของมันออกจะเสียเปล่าไปสักหน่อยเพราะถึงมันจะเร็วมากขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่มันก็มิสามารถตามความเร็วการเคลื่อนไหวของหลินหยางที่มีค่าสถานะความเร็วเท่ากับมันได้เช่นกัน
สำหรับหลิวไห่แล้วจึงเหมาะเน้นค่าสถานะสำหรับพลังป้องกันและพลังโจมตีเสียมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ขนาดร่างกายของผู้เป็นเจ้าของค่าสถานะต่างๆนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่พลเมืองมีการเพิ่มระดับ หลินหยางมักให้คำแนะนำพวกมันเกี่ยวกับค่าสถานะ เพื่อให้มันผู้นั้นโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกหรือเสาะหาข้อบกพร่องและอุดช่องว่างดังกล่าว
การที่จะเพิ่มไปยังสถานะใดสถานะหนึ่งมุ่งเน้นให้ไปได้ในระดับสูงนั้นสมควรคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน หาไม่แล้วมันผู้นั้นอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ตอนที่ 506 ค่าสถานะ(ตอนปลาย)
สำหรับแวมไพร์ระดับสี่สิบสามตนนี้
หากดูจากขนาดตัวของมันที่มิแตกต่างจากมนุษย์มากเท่าใดแล้วละก็ ค่าสถานะที่มันมีอยู่คาดว่าคงจะเป็นพลังโจมตีหรือความเร็ว หากไม่แล้วอาจจะเป็นทั้งสองสถานะเลยก็เป็นได้
แต่หากว่าแวมไพร์ตนนี้มีค่าสถานะพลังป้องกันเพียงอย่างเดียวเสมือนกับนางพญามดไฟละก็ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นทันตาเห็นเพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นตัวมันคงมิมีฤทธิ์เดชร้ายกาจอันใดมิต่างไปกับกระสอบทรายเคลื่อนที่อันเหมาะเป็นเป้าฝึกซ้อมลองมือรับเท้าของ
เนื่องจากร่างกายของมันที่มีขนาดเทียบเคียงกับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแม้จะเพิ่มค่าพลังป้องกันมากเป็นสองถึงสามเท่าก็มิได้มีผลลัพธ์สูงขึ้นมากมายอันใดนัก
ดั่งตัวหลินหยางที่บัดนี้มีค่าพลังป้องกันสูงถึง 1.6 นั่นเท่ากับว่าร่างกายของเขาแข็งแรงทนทานมากขึ้นกว่าปกติถึงหกส่วนสิบของคนทั่วไป
กระนั้นมันก็แทบมิเห็นผลอันใดเลยเมื่อถูกของมีคมทิ่มแทง ร่างกายของเขาก็ยังคงมีบาดแผลเกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดตามปกติอยู่ดี พลังป้องกันที่ได้เพิ่มขึ้นมามันมิได้ทำให้ร่างกายกลายเป็นดั่งเหล็กกล้าแต่อย่างใด
ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาหลักๆนั้นก็คือบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายสามารถหายเองตามธรรมชาติได้ไวขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รวมถึงร่างกายที่สามารถต้านทานภูมิอากาศที่แปรปวนได้ อย่างเช่นความร้อนจากเปลวไฟหรือความเหน็บหนาวจากสภาพอากาศนั่นเอง
เพราะงั้นหากแวมไพร์ตนนี้มันมีค่าสถานะป้องกันเพียงอย่างเดียวละก็ คงมิใช่ปัญหาในการปลิดชีวิตของมันลงแต่อย่างใด นอกเสียจากว่ามันจะมีโล่หรือชุดเกราะที่ป้องกันการโจมตีจากของมีคมอย่างดาบสั้นในมือของเขาได้นั่นก็ว่าไปอย่าง
ค่าสถานะสำคัญหลักทั้งสามอย่างพลังโจมตี ป้องกัน ความเร็วที่กล่าวมานี้ยังมิได้น่าเป็นห่วงเท่าไหร่หากเทียบกับอีกหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่…พลังวิญญาณ
มันเป็นสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดเพราะมันคือการโจมตีที่มิสามารถป้องกันได้ด้วยไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม
มันเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็นไร้แก่นสาร ไร้สี ไร้กลิ่น ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายแทบจะมิรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยก็ตามที
เขามิทราบว่าแวมไพร์ตนนี้มีพลังวิญญาณจริงแท้หรือไม่อย่างไร เพราะเขายังมิเคยพบเจอกับศัตรูที่มิสามารถตรวจค่าสถานะได้อย่างมันมาก่อน
ครานึงเมื่อนานมาแล้วตัวเขาเคยถูกทำร้ายจากการโจมตีทางวิญญาณมาแล้วหนึ่งครั้งด้วยน้ำมือของราชสีห์ตาเดียวผู้เป็นเจ้าของทักษะราชสีห์คำราม
ในยามนั้นศัตรูของเขามีพลังวิญญาณเพียงสองจุดเท่านั้น
ส่วนตัวของเขาเองก็มีพลังวิญญาณเพียงหนึ่งขั้น
เมื่อราชสีห์ตาเดียวใช้งานทักษะโดยที่ไม่เจาะจงเป้าหมาย ถึงขั้นทำให้ตัวเขาแทบจะสิ้นฤทธิ์พลาดท่าไปเลยทีเดียว
ทั้งที่มันเป็นเพียงสัตว์ประหลาดระดับต่ำที่มีเพียงระดับห้าเท่านั้น แต่แวมไพร์ตนนี้มีระดับกว่าสิบสี่สาม…แค่คิดก็สยองแล้ว