ตอนที่ 662 บุคคลที่ถูกลืม (ตอนต้น)
เมื่อผู้บาดเจ็บทั้งหมดมารวมกันจนเสร็จสรรพ เทียนหนิงเจี้ยนจึงแยกพวกมันออกเป็นสามกลุ่มโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่อาการหนักและกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
โดยกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บหนักคือคนที่มีบาดแผลเห็นชัดและรุนแรงยกตัวอย่างเช่นแขนขาบิดผิดสภาพหรือกระดูกหักนั้นแล และอีกส่วนคือมีจุดที่มีเลือดตกยางออก ในกลุ่มนี้มีอยู่ราวยี่สิบคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่อยู่ช่วงท้ายและระหว่างกลางของแถวขณะที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากการถล่มของถ้ำ บาดแผลส่วนใหญ่ล้วนได้รับมาจากบุคคลอื่นทั้งสิ้นไม่ว่าจะถูกผลัก ดัน กระชากหรือกระทั่งถูกเหยียบ ในจํานวนนี้มีเต๋อหลงและหลี่จิ้งรวมอยู่ด้วย
ส่วนกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บน้อยนั้นมิได้น่าเป็นห่วงอันใดมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นแผลฟกช้ำหรือรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆที่มีเลือดซึมออกมาบ้างไม่มากมาย บาดแผลของพวกมันล้วนเล็กน้อยถึงขั้นถ้าไม่บอกว่ามันได้บาดเจ็บก็คงไม่มีใครรู้ กลุ่มนี้มีจํานวนทั้งหมดราวเจ็ดสิบคน
เทียนหนิงเจี้ยนมอบหมายกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเหล่านี้ให้เป็นหน้าที่แก่ทีมก่อสร้างบาดแผลที่เล็กน้อยเหล่านี้ก็มจําเป็นต้องถึงมือแพทสาวแสนสวยเช่นกัน สําหรับทีมก่อสร้างที่มีแต่ชายฉกรรจ์พวกมันไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์การรักษาแต่ก็มิได้ถึงขั้นโง่งมจนมิรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สําหรับใครที่มีรอยฟกช้ำดําเขียวก็แค่ใช้น้ำร้อนประคบบีบนวดสักหน่อย ส่วนรอยขีดข่วนหากไม่ลึกยาวมากนักก็ล้างแผลและปล่อยให้สมานตัวกันเองตามธรรมชาติ หากยาวหน่อยลึกหน่อยก็เย็บปิดบาดแผลซะมิเกินความสามารถ
ส่วนกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บหนัก วิธีการตามธรรมชาติคงมิสามารถรักษาให้แก่พวกมันได้จึงต้องเป็นหน้าที่ทีมแพทย์ที่มีสมาชิกเพียงหนึ่งเดียวอย่างหรงเถียนเหยาที่ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนรักษาให้แก่พวกมัน โดยมีเทียนหนิงเจี้ยนเป็นลูกมือคัดเลือกผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักเบาเข้าคิวเรียงแถวตามลําดับ
” ช่วงนี้อย่าพึ่งใช้แขนมากนักนะคะ” หรงเถียนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนล้า เธอรักษาผู้บาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง นี่คือชายรายที่สามจากกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บหนัก ชายรายนี้คือหลี่จิ้งผู้ได้รับบาดเจ็บที่แขนของตน หรงเถียนเหยาใช้ไม้ท่อนยาวและเศษผ้ามัดดามแขนของมันที่หักเอาไว้เพื่อบรรเทาให้อาการคงที่ แต่การจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นคงไม่ง่ายนัก ฉะนั้นแล้วเธอจําต้องใช้ทักษะที่ตนมีในการรักษามันอีกครั้งแต่นั่นมันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรเพราะเธอไม่เหลือกําลังพอจะใช้งานทักษะดังกล่าว
” ขอบคุณ” หลี่จิงค่อมหัวกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“คนต่อไป!” เทียนหนิงเจี้ยนที่อยู่ข้างกายแพทย์สาวกล่าว
ไม่ช้าก็มีผู้บาดเจ็บรายใหม่ถูกนิ้วปีกลากเข้ามาด้วยสองชายฉกรรจ์จากทีมก่อสร้าง พวกมันนําร่างชายผู้นี้มานอนแผ่หลารอรับการรักษาเป็นรายถัดไป
มันผู้นี้ก็คือเต๋อหลงผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณศรีษะ
หรงเถียนเหยาไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลย เธอทําการรักษาต่อทันใดโดยมิได้หยุดพัก โดยมีเทียนหนิงเจี้ยนคอยช่วยเหลือส่งเครื่องไม้เครื่องมือที่จําเป็นทั้งยังคอยซับเหงื่อไคลให้แก่เธอเป็นระยะ
เมื่อถึงเวลารักษาหน้าที่ของเทียนหนิงเจี้ยนก็หมดลง มันได้นั่งดูกรรมวิธีที่แพทย์สาวใช้เพื่อบรรเทาอาการและยื้อชีวิตของผู้ป่วยด้วยความสนใจ
“หือ?” ขณะมันมองเต๋อหลงที่นอนหมดสภาพกําลังรับการรักษาของแพทย์สาวอยู่นั้น คล้ายกับมันนึกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เอ…เหมือนลืมอะไรไปหรือเปล่า?” เทียนหนิงเจี้ยนบ่นพึมพํา มีบางอย่างที่ติดขัดใจวนเวียนอยู่ในหัวคับคล้ายคับคลาว่าลืมบางอย่างที่แสนสําคัญไปเสียสนิท
“ลืมอะไรหรอพี่เทียน?” หลิวเจี้ยกล่าวถามด้วยความสงสัย ตอนนี้งานของทีมก่อสร้างเสร็จหมดแล้ว พวกมันเก็บกวาดซากปรักหักพังของหอสังเกตุการไม้ที่พังลงกองรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบ ทําความสะอาดพื้นที่เก็บสิ่งที่สามารถใช้งานได้รวมไว้ด้วยกัน ทั้งก้อนหินจากถ้ำปิศาจที่ถล่มลงมาก่อนหน้าก็ถูกเก็บรวบรวมมาด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เหลือแต่สมาชิกทีมก่อสร้างบางคนที่รับหน้าที่รักษาผู้บาดเจ็บที่มีบาดแผลเล็กน้อยที่ยังคงทํางานอยู่ นอกเหนือจากนั้นพวกมันล้วนนั่งพัก จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ใช้เวลาว่างหาความสุขใส่ตน หลิวเจี่ยเมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทํามันมักประกบติดกับเทียนหนิงเจี้ยนราวกับเป็นฝาแฝดกันอยู่เป็นทุนเดิม ซึ่งตอนนี้ก็เช่นกันเมื่อหมดหน้าที่มันก็มานั่งเคียงข้างเทียนหนิงเจี้ยนคอยช่วยงานเล็กๆน้อยๆ
“อืม..” เทียนหนิงเจี้ยนมิตอบคํามันก้มหน้าใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้คางของตนผนวกกับหัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น มันกําลังครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ตะขิดตะขวางไม่สบายใจ
ยิ่งมันมองเต่อหลงที่กําลังถูกรักษาจากแพทย์สาวความคิดของมันยิ่งปั่นป่วน
เต๋อหลงชายวัยหนุ่มอายุรุ่นราวยี่สิบต้นๆขนาดร่างกายค่อนไปทางเล็กผอม เห็นเช่นนี้แล้วมันชวนให้นึกถึงใครบางคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้มันได้หลงลืมไปเสียสนิทใจ
ภาพบุคคลปริศนาทับซ้อนกับร่างของเต่อหลงค่อยๆเด่นชัดขึ้นทีละน้อย
“ใครหว่า…” เทียนหนิงเจี้ยนครุ่นคิดเคร่งเครียดจ้องเขม็งไปยังร่างชายหนุ่มวัยละอ่อน
” พี่หยาง!” เทียนหนิงเจี้ยนเลิกคิ้วสูงดวงตาเบิกกว้างอุทานออกมาเป็นชื่อของบุคคลหนึ่ง
“ !!” หลิวเจี่ยมีสีหน้าไม่แตกต่างกันมากนัก เมื่อมันได้ยินการขานชื่อที่คุ้นเคย
แพทย์สาวเมื่อได้ยินเทียนหนิงเจี้ยนเอื้อนเอ่ย เธอที่กําลังง่วนลงมือรักษาผู้ป่วยเพ่งสมาธิอยู่นั้นก็ต้องชะงักค้าง
” พี่หยางอยู่ไหน?” เทียนหนิงเจี้ยนลุกพรวดพราดปาวตะโกนด้วยความร้อนรน
ทีมก่อสร้างที่อยู่ใกล้เคียงเมื่อได้ยินก็ต้องหยุดมือกับสิ่งที่มันกําลังทําอยู่พร้อมกับเกิดเสียงพูดคุยเซ็งแซ่วุ่นวายในฉับพลัน
หัวข้อการสนทนากระจายตัวเป็นวงกว้าง แม้แต่เหล่ามนุษย์หมาป่าจากทีมจู่โจมที่เดินเท้าลาดตระเวณในระยะไกลก็ยังได้รับข่าวสาร พวกมันค่อยทะยอยมารวมกันเป็นจุดเดียว ณ ปากถ้ำ
” พี่หยางอยู่ไหน?”
“มีใครเห็นพี่หยางบ้าง” เสียงชายฉกรรจ์ผสมปนเปฟังไม่ได้ศัพท์ ตอนนี้นอกจากทีมจู่โจมที่ถูกเทียนหนิงเจี้ยนไล่ให้ไปทําหน้าที่เดินลาดตระเวณ ล้วนรวมตัวเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่โดยมีเทียนหนิงเจี้ยน หลิวไห่ จิ่นเหอและหลิวเจี่ยยืนอยู่ด้านหน้าเป็นจุดสนใจของพวกมัน
“เงียบ!!” หลิวไห่ตะเบ็งเสียงหยุดความวุ่นวายโดยฉับพลัน
หลังจากรอเวลาผ่านไปชั่วครู่เทียนหนิงเจี้ยนจึงเปิดปาก
“พวกเจ้าเห็นพี่หยางครั้งล่าสุดเมื่อใด?” มันกล่าว
เกิดเสียงพูดคุยจอแจขึ้นอีกครั้ง เหล่าชายฉกรรจ์ร่วมสองร้อยชีวิตมอบคําตอบให้แก่เทียนหนิงเจี้ยนอย่างพร้อมเพรียง แน่นอนคําพูดของพวกมันที่ผสมกันมั่วไปหมดจึงมิสามารถจับใจความได้
เทียนหนิงเจี้ยนพยักหน้าให้แก่หลิวไห่
” ทีละคน!!” ราวกับได้นัดแนะกันไว้ หลิวไห่ตะโกนเข้าควบคุมความสงบอีกครั้ง
เมื่อนําคําตอบของพวกมันมารวมกันก็ได้คําตอบที่แน่ชัด ซึ่งผู้ที่เห็นหลินหยางเป็นคนล่าสุดก็คือเหล่ามนุษย์หมาป่าจากทีมจู่โจมที่ร่วมภารกิจกับหลินหยางบุกต่อกรกับค้างคาวปีกเหล็ก และเผชิญหน้ากับค้างคาวตัวจิ๋ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมเจียวซิ่นด้วยเช่นกัน
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกมันพบหลินหยางก่อนจะได้รับคําสั่งให้ล่าถอยและชายหนุ่มปักหลักเผชิญหน้ากับฝูงค้างคาวเป็นรายสุดท้าย
แต่ก็ยังมีข้อมูลใหม่ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัดมาอีกหนึ่งประการ นั่นคือทีมของหลิวไห่และสหายอีกสามรายที่ทําหน้าที่จับกุมค้างคาวปีกเหล็กภายในถ้ำ พวกมันได้สนทนาตอบโต้กับหลินหยาง ซึ่งได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น
“ตั้งแต่ถ้ำถล่มมีใครเห็นพี่หยางบ้างไหม?” เทียนหนิงเจี้ยนยิงคําถามต่อเพื่อหาเบาะแส
เหล่าชายฉกรรจ์ล้วนสายหัวแทนคําตอบ บางคนยังมีสับสนอยู่บ้างเนื่องจากพวกมันคิดว่าหลินหยางออกมาจากถ้ำปิศาจแล้วเพราะทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยเป็นปกติ จนกระทั่งมีข่าวกระจ่ายออกไปถึงการหายตัวไปของผู้นําของมัน
“…” เทียนหนิงเจี้ยนมีสีหน้ามืดหม่น
“น-นี่ไม่ใช่ว่าพี่หยาง” หลิวเจี้ยกล่าวมิจบประโยคแต่ใจความสําคัญก็พอจะเดาได้ไม่ยากเย็นนัก เกิดเสียงอื้ออึงจากเหล่าชายฉกรรจ์ทันที