ตอนที่ 689 จ้าวแห่งเวหา
เพียงพริบตาเดียวปรากฏอสูรสัตวีปีกนานับสายพันธุ์บินว่อนไปทั่วท้องฟ้าไล่ล่าโจมตีทัพเหลืองหลายกลุ่มอย่างรุนแรง
ทัพลมซึ่งนำโดยอู่เฉินมิได้ปักหลักแลกหมัดกับอสูรเวหาทั้งหลาย พวกมันเน้นการหลบหลีกเป็นส่วนใหญ่ นานครั้งที่จะป้องกันหรือโจมตีตอบโต้
ทัพหลวงปีศาจที่ตั้งค่ายอยู่ด้านหน้าปาอสูรมิได้นิ่งเฉยยืนมองการสู้รบ พวกมันปรับเปลี่ยนขบวนรบจากคำสั่งของผู้บัญคับบัญชาหลายสิบคนที่เป็นผู้ช่วยขึ้นตรงต่อแม่ทัพจอหมิง ส่งทหารโจมตีระยะไกลขึ้นมาอยู่แนวหน้าคอยโจมตีจากภาคพื้นดินซึ่งอาวุธที่ใช้งานก็หลากหลายตามสถานการณ์และความถนัดส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นธนูหรืออาวุธขว้างอย่างมีดซึ่งก็แน่นอนว่าระยะการโจมตีของพวกมันนั้นมิไกลสักเท่าไหร่ควบคุมพื้นที่ใกล้เคียงชายแดนปาอสูรในระยะสี่ถึงห้าร้อยเมตรเท่านั้น
ใส่ส่วนของความแม่นยำในการโจมตีนั้นมิอาจยกขึ้นมากล่าวได้เนื่องจากศัตรูของพวกมันเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วรวดเร็วหาตัวจับได้ยาก แต่นั่นมิใช่ปัญหาเพราะหน้าที่ของพวกมันคือการส กัดการเคลื่อนไหวสนับสนุนทัพแห่งสายลมมิได้หวังผลโจมตีแต่แรก นั่นคือสิ่งที่พวกมันพอจะช่วยเหลือได้ในสถานการณ์ดังกล่าว
เหตุใดทหารกล้าทัพหลวงนับแสนของจื่อหมิงจึงมีโหมกระหนบุกโจมตีอสูรสัตว์ปีกพวกนี้ไปเสียทั้งที่นักสู้เผ่าปีศาจเหล่านี้ก็มีปีกที่ใช้โบยบินบนท้องฟ้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด? นั่นเพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ของอสูรสัตว์ปีกเหล่านี้มันน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ดังที่กล่าวไปข้างต้นแม้แต่ถูกธนูที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเมื่อปล่อยออกจากคันศรก็นับว่ามากกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งแม้ว่ามันจะผ่อนลงยามไต่เพดานความสูงและระยะที่ไกลมากขึ้นก็ตาม แต่มันก็ยังมากกว่าห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ดี
กระนั้นธนูยังยากที่จะยิงถูกเป้าหมายแม้พวกมันจะเล็งดักคาดเดาทิศทางการเคลื่อนที่ของศัตรูไว้แล้วก็ตามที แล้วเช่นนี้พวกมันมีหรือจะสามารถเร่งความเร็วได้มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น? เป็นไปไม่ได้เลย แม้ปีกที่มีมาตั้งแต่กำเนิดจะสามารถใช้งานโบยบินบนฟากฟ้าได้แต่แท้จริงแล้วความเร็วสูงสุดขณะเคลื่อนที่บนอากาศยังเชื่องช้ายิ่งกว่าการวิ่งบนภาคพื้นดินตามปกติเสียด้วยซ้ำ
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เหล่าหน่วยย่อยนับพันหน่วยที่บัดนี้อยู่ในเขตพื้นที่อันตราย ว่าเหตุใดพวกมันถึงไม่ใช้ปีกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการหนีเอาตัวรอดมากกว่าการเสาะหาหนทางหนีในป่ารกที่เป็นอุปสรรคแก่การเคลื่อนที่
แต่บนพื้นก็มีสัตว์ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าพวกมันมิใช่หรือ? ถูกแล้ว อย่างเช่นหมาป่าขนเงินสามหัวที่หน่วยสอดแนมหน่วยนึงได้เผชิญหน้า อสูรหมาป่าตนนั้นหากเทียบในเรื่องความเร็วแล้วมันอาจมีมากกว่าเผ่าปีศาจ แต่อย่างน้อยภายในปารกทึบที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนี้ยังมีสิ่งกีดขวางที่สกัดกั้นโดยธรรมชาติปิดกั้นมิให้อสูรเหล่านี้ได้ถึงความสามารถทั้งหมดของตนออกมา นักสู้เผ่าปีศาจเองก็ยังสามารถใช้ไหวพริบในการเอาตัวรอดโดยใช้สภาพแวดล้อมเป็นตัวช่วยได้อีกเช่นกัน
แต่สำหรับบนท้องฟ้าแล้ว มันไม่มีสิ่งใดที่จะเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่เผ่าปีศาจที่น่าสงสารเหล่านี้เลย มันเป็นพื้นที่โล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วเผ่าปีศาจธรรมดามีหรือจะสามารถต่อกรกับความเร็วเหนือจิตนาการของอสูรสัตว์ปีกที่ใช้งานปักที่เป็นจุดเด่นของตนในการล่าเหยื่อหาอาหารมาตั้งแต่รู้ความได้? หากพวกมันตัดสินใจใช้การเคลื่อนที่บนฟ้าแล้วละก็ความหวังในการเอาชีวิตรอดคงจะสูญหายไปในทันที
ถ้าอย่างนั้นสัตว์ปีกเผ่าอสูรคือจ้าวแห่งเวหาครอบครองพื้นที่บนท้องนภาเป็นหนึ่งไม่มีสองงั้นหรือ? ไม่เสมอไป ในเมื่อเผ่าอสูรมีกลุ่มที่เป็นเอกในท้องฟ้า เผ่าปีศาจก็ใช่ว่าจะด้อยค่าในด้านนี้พวกมันยังมีกำลังรบที่เข็มแข็งไม่แพ้อสูรฟ้าเช่นกันนั่นก็คือนักสู้ปีศาจจากเมืองฮวางฉือผู้สวมเกราะสีเหลืองโดยมีตราประทับลมอยู่กลางหน้าอกซึ่งนำโดยแม่ทัพน้อยู่เฉินที่กำลังโบยบินอย่างอิสระเสรีบนท้องฟ้าเหนือปาอสูรนั่นแล
หากสัตว์ปีกพวกนี้คือนักสู้บนผืนฟ้าอันดับหนึ่งของเผ่าอสูร เมืองฮวางฉือที่เพาะบ่มนักสู้แห่งลมก็ไม่เป็นสองรองในการต่อสู้บนฟ้าจากเผ่าปีศาจ!
แต่ทว่าแม้นักรบเกราะเหลืองทั้งหลายจะเก่งกาจเพียงใดก็ตาม ในเรื่องฝีมือการต่อสู้แล้วจำนวนส่วนต่างมันยังห่างกันสุดกู่อยู่ดี จำนวนในที่นี้มิใช่จำนวนกำลังพล แต่เป็นฝีมือส่วนตนที่ห่างชั้นระหว่างเผ่าอสูรและปีศาจ ซึ่งอัตราส่วนก็ไม่แตกต่างไปจากการต่อสู้บนภาคพื้นดินเท่าใด โดยเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยแล้วนักสู้เกราะเหลืองหนึ่งร้อยนายเทียบเท่าอสูรสัตว์ปีกหนึ่งตน.
ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับภารกิจปัจจุบัน เพราะหน้าที่ของพวกมันคือการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายในปาอสูรมิใช่การต่อสู้น้ำนั่นกับศัตรู
วุ่มม!
บริเวณกลางปาอสูรมีคลื่นลมแปรปรวนมากกว่าจุดอื่นพัดเอาฝุ่นควันปลิวว่อน ซึ่งแม้แต่หนอนยักษ์ที่มีน้ำหนักหลายตันซึ่งกำลังจะพุ่งชนพื้นบางตัวที่อยู่ในระยะของคลื่นลมถูกแรงอากาศอัดต้านให้เสียสูญส่งผลให้โจมตีคลาดเคลื่อนตำแหน่งเป้าหมายไปบ้างไม่มากก็น้อย เรียกได้ว่าคลื่นวายุที่พวกมันสร้างนั้นร้ายกาจและรุนแรงอย่างยิ่งยวดกระทั่งสามารถพัดสิ่งที่มีน้ำหนักกว่าหลายตันให้เปลี่ยนทิศทางได้
ต้นกำเนิดของพายุโหมกระหน่ำมันมาจากกลุ่มเกราะเหลืองกลุ่มหนึ่งที่แบกรับภาระหนักที่สุดในหมู่พรรคพวกของมัน กลุ่มนี้กำลังสู้รบปรบมือกับอสูรสัตว์ปีกอยู่ในแนวหน้าเป็นหัวรบหลักที่บุกฝาเปิดทางให้แก่พลทหารเกราะเหลืองกลุ่มอื่นๆ นั่นก็คือกลุ่มของแม่ทัพน้อยู่เฉินผู้ซึ่งตอนนี้นำกำลังหนึ่งพันนายที่แบ่งออกมาจากทัพหนึ่งแสน
สมาชิกในกลุ่มของมันราวกับถูกคัดสรรมาอย่างดิบดีรวบรวมไปด้วยผู้มากประสบการณ์ที่มีช่วงอายุอยู่ในวัยกลางคนค่อนไปในวัยชราซึ่งแตกต่างจากกลุ่มอื่นที่มีตั้งคนหนุ่มและแก่ผสมปนเปกันไป สมาชิกสูงอายุที่มากประสบการณ์และฝีมือการต่อสู้ผ่านช่วงอายุขัยเหล่านี้แท้จริงแล้วเปรียบดั่งองครักษ์ส่วนตัวของแม่ทัพน้อยผู้นี้นั่นแล
ซึ่งในฐานะแกนนำของกลุ่มแล้ว กลุ่มของอู่เฉินที่รวบรวมผู้มากฝีมือเอาไว้จึงรับหน้าที่โจมตีเป็นหลัก แต่มิใช่การโจมตีที่เจาะจงใส่อสูรตนใดตนนึ่งให้ถึงตาย แต่เป็นการโจมตีเพื่อขับไล่อสูรสัตว์ปีกให้แตกกลุ่มกระจายกันออกไปยังทางซ้ายและขวาเปิดทางเบื้องหน้าให้ทัพเหลืองทั้งหนึ่งแสนนายสามารถบุกตะลุยฝ่าเข้าไปยังพื้นที่ลึกกว่านี้
ไม่ช้าไม่นานหลังในที่สุดแนวหน้าของทัพลมที่นำโดยอู่เฉินก็มาถึงจุดที่ไกลที่สุดของป่าอสูรเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้พวกมันอยู่ห่างจากทางออกอีกฝั่งของปาอสูรไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรและสามารถมองเห็นดินแดนของทางฝั่งอสูรได้จนถนัดตาในระยะหนึ่งถึงสองกิโลเมตร ในระยะสายตาของพวกมันมองเห็นสัตว์อสูรนับร้อยตัวเดินสะเปะสะปะประปรายทั้งอสูรสองเท้าสี่เท้าหรือสัตว์เลื้อยคลานตามรายทางซึ่งจำนวนนี้นับว่าชุกชุมมากกว่าปกติอย่างยิ่ง
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันแม้จะพบสัตว์อสูรมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็คงไม่มีเรื่องให้น่าแปลกใจอีกต่อไป
เมื่อเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายเป็นที่เรียบร้อย ภู่เฉินสั่งการแก่เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายส่งต่อคำสั่งลงไปตามสายบัญชาการเป็นทอดส่งถึงเหล่าทหารทั้งหนึ่งแสนนายที่กระจัดกระจายทั่วผืนฟ้าให้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันที
ฟู่วว
ในปาอสูรเบื้องล่างใกล้เคียงที่อยู่กลุ่มของอู่เฉิน มีพลุสัญญาณไฟสีเขียวที่แสนคุ้นเคยถูกจุดขึ้นพุ่งตระหง่านค้างอยู่บนท้องนภา
วุ่มม!
ฝ่ามือถเฉินผายกางนิ้วมือทั้งห้าหงายไปทางลูกไฟที่ลอยอยู่ในระดับความสูงเดียวกับตน พร้อมกันนั้นเองเกิดกระแสวายุฉีกกระชากอากาศพุ่งเป็นเส้นตรงทะลวงลูกไฟสีเขียวที่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจนดับมอดกระจัดกระจายหายไปกับความมืดไม่หลงเหลือเศษซากใดๆ