ตอนที่ 696 สิ่งที่ต้องแลก
น-นี่ก็เป็นผลจากวิชาควบคุมพฤกษา? ดูสิมันสามารถจับอสูรกิ้งก่าแสนดุร้ายตนนั้นได้อยู่หมัดเลยนี่! หนึ่งในสมาชิกอดมิได้ที่จะเชิดชูวิชาพิศดาร
มันเป็นการพันธนาการที่ดีที่สุดที่พวกมันเคยพบ ได้ผลยิ่งกว่าวิธีไหนๆที่พวกมันเคยใช้ ความดุร้ายในสายเลือดของอสูรกิ้งก่ามิได้จางหายมันยังดิ้นขยับร่างไปมาอย่างรุนแรงหมายจะหลุดพ้นจากเถาวัลย์เส้นเล็กๆเหล่านี้ ทว่ายิ่งมันขยับตัวมากเท่าไหร่เถาวัลย์ที่ผูกมัดไว้บนร่างของมันยิ่งตอบสนองโดยการบีบรัดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่าห์
อสูรกิ้งก่าส่งเสียงขู่คำรามส่งตรงไปยังหน่วยสอดแนมทั้งสิบที่กำลังบินรักษาระดับอยู่เหนือศรีษะของมันในระยะไม่ถึงห้าเมตร เรียกได้ว่าอยู่ห่างกันไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ฮะ ฮ่าๆๆ เหล่าสมาชิกมีสีหน้าดูดีสดใสขึ้นทันตาเห็น บางรายหัวเราะร่าเมื่อเห็นสภาพเอนดอนาจของเจ้าอสูรร้ายที่เคยกำชีวิตของพวกมันทั้งสิบไว้ในกำมือมาก่อน
กรร
ทันใดนั้นเองมีเสียงร้องของอสูรตนหนึ่งดังขึ้นในบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำแหน่งที่พวกมันอยู่มากนักส่งผลให้หน่วยสอดแนมชะงักสะดุ้ง
พรึบ
ผู้นำหน่วยผู้ไม่สะท้านสะท้านกระพือปีกมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป็นต้นกำเนิดเสียงในทันทีก่อนจะพบเจ้าของเสียงในที่สุด
มันเป็นอสูรตนนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับสุนัข มันเป็นสุนัขตัวโตมีขนสีเงินเรียบเนียนปกคลุมทั่วร่าง หากดูเฉพาะลำตัวของมันอาจเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นเพียงสุนัขสัตว์ปกติแสนธรรมดาตัวหนึ่ง เมื่อมองไปยังส่วนหัวของมันจึงเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสัตว์ปกติและสัตว์เผ่าอสูร เพราะมันศรีษะถึงสามศรีษะ ทั้งสามศรีษะแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างดุร้ายหมายจะจู่โจมผู้นำหน่วยสอดแนมอย่างเต็มที่
ทว่าน่าเสียดายนักที่ตัวของสุนัขขนเงินสามหัวตนนี้ถูกพันธนาการด้วยเถาวัลย์ที่มัดมันตั้งแต่ หาง ขา ลำตัว คอ ซึ่งมันเอาไว้กับโคนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งที่อยู่ติดกับต้นของเจ้ากิ้งก่า เจ้าสุนัขสามหัวทำได้ขยับหัวทั้งสามไปมาแสดงความปาเถื่อน บางหัวส่งเสียงเห่า บางหัวร้องครางหงิงอย่างเจ็บปวดที่ถูกรัดจนจมผิวหนังคิด
มีเสียงเกิดขึ้นจากด้านหลังอสูรสุนัข ผู้นำหน่วยไม่รอช้าตีปีกบินไปมองดูให้เห็นกับตาตนเองด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ตอนนี้มันทั้งตื่นเต้น สรรเสริญ ชื่นชมในวิชาปีศาจจากเมืองเซียนขลุ่ยผู้ควบคุมพฤกษา
ต้นไม้ต้นเดียวกัน มันอ้อมมาอีกฟากฝั่งพบกับร่างของกบตัวยักษ์ถูกพันธนาการด้วยเถาวัลย์ชุดเดียวกันกับที่พันอยู่บนตัวของเจ้าอสูรสุนัขสามหัว
มันหันมองไปรอบตัวพบว่าต้นไม้แทบทุกต้นตั้งแต่จุดนี้ล้วนมีสัตว์อสูรมาประกอบร่างถูกมัดติดอยู่บริเวณลำต้น บางต้นมีอสูรถูกมัดรวมกันมากถึงสามถึงตัว
โชคดีที่ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ล้วนมีอายุอานามหลายร้อยปีเติบโตขึ้นอย่างผิดธรรมชาติขึ้นในปาอสูร ทำให้มันมีความหนาของลำต้นและความแข็งแรงทนทานมากกว่าต้นธรรมที่เติบโตขึ้นตามธรรมชาติ มิเช่นนั้นมันคงจะชำรุดหักโค่นลงไปด้วยแรงบีบอันมหาศาลจากเถาวัลย์เส้นน้อยๆนับร้อยเส้น
อะไรว่ะเนี้ย!? ทันใดนั้นเองมีเสียงของชายผู้หนึ่งอุทานขึ้นแสดงถึงความแปลกใจถึงที่สุด
!? ผู้นำหน่วยตามหาต้นกำเนิดเสียงแทบจะทันทีและมันก็พบกับบุคคลปริศนาที่มันไม่คุ้นเคย แต่ก็มิเชิงว่ามันไม่รู้จักซะทีเดียวเพราะชายปริศนารายนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ ศรีษะประดับด้วยหมวกเหล็กกล้าใบหนา มือขวาถือหอกเหล็กมันวาว มือซ้ายถือโล่โลหะใบโต มันคือเครื่องแต่งกายของสมาชิกหน่วยลาดตระเวนของเผ่าปีศาจ
ชายผู้นี้ปรากฏกายมาพร้อมกับสมาชิกอีกเก้านายที่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายคลึง โดยที่กำลังบินอยู่อากาศเหนือพื้นดินในระดับความสูงเทียบเท่ากับหน่วยสอดแนม
หน่วยสอดแนมใช่ไหมล่ะนั่น? เมื่อมันมองเห็นผู้นำหน่วยสอดแนม ชายผู้มาเยือนกล่าวทักทาย
7 ท่านคงจะเป็นหนึ่งในผู้นำหน่วยลาดตระเวน ผู้นำหน่วยสอดแนมกล่าวตอบตามมารยาท
เอ๊ะ? หน่วยลาดตระเวน? ไม่ใช่ว่าหน่วยลาดตระเวนประจำการอยู่แนวชายปาหรอกหรือ? ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ สมาชิกหน่วยสอดแนมกล่าวด้วยความสงสัย
เฮ้อ ผู้นำหน่วยลาดตระเวนถอนหายใจ
เชื่อข้าเถอะ ตอนนี้พวกเจ้าไม่อยากไปบริเวณแถบนั้นหรอก แถวนั้นมันยิ่งกว่านรกซะอีก มันกล่าวต่อ
พวกท่านก็ถูกอสูรโจมตีงั้นหรือ? สมาชิกรายหนึ่งผู้มิได้รับข่าวสารใดๆจากศูนย์บัญชาการกล่าวถามด้วยความวิตกกังวล
ถูกแล้ว เจ้าอสูรร้ายที่เข้าโจมตีพวกข้ามนับสิบตัวเลยล่ะ! หนึ่งในสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
อะแฮ่ม – นี่เป็นเพราะคนจากเมืองฮวางฉือผู้ใช้วิชาแห่งวายุเข้ามาช่วยเหลือพวกข้าน่ะ ก่อนจะเกิดความเข้าใจผิดผู้นำหน่วยลาดตระเวนอธิบายรายละเอียด ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องราวที่ตนต่างเผชิญมาแลกเปลี่ยนกัน
หลังจากฟังจับใจความจากหน่วยลาดตระเวน พบว่าพวกมันเองก็เผชิญเหตุการณ์คล้ายๆกันที่พวกมันพบมา ถูกล้อมโดยสัตว์อสูณ ตัดสินใจส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ มีทหารเกราะเหลืองผู้ควบคุมวายุเข้ามาช่วยเหลือ ก่อนจะบอกเส้นทางที่ต้องไปต่อและพบกับผู้มาจากเมืองเซียนลุ่ยผู้ควบคุมพฤกษานำทางมาจวบจนถึงจุดนี้
ขณะที่พวกมันกำลังสนทนากันอย่างถูกคอโดยมีเสียงร้องของสัตว์อสูรเป็นเพลงบรรเลงประกอบฉากอยู่นั้น
กิ่งไม้ผู้ที่นำทางหน่วยลาดตระเวนเองก็ได้พบกับกิ่งไม้ผู้นำทางของหน่วยสอดแนม พวกมันเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัญลักษณ์เป็นรูปทรงต่างๆคล้ายกำลังสนทนากันอยู่ด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่นานนักกิ่งไม้ผู้นำทางของหน่วยลาดตระเวนได้ล่ำลาก่อนจะอันตธานมุดหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและไปโผล่ขึ้นอีกต้นที่ไม่ไกลกันมากนัก เมื่อมองไปบนพื้นดินจะพบว่าระหว่างต้นไม้ทั้งสองต้นที่มันเคลื่อนผ่านล้วนมีเนินดินนูนขึ้นเล็กน้อยเป็นทางยาวหงิกงอลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งจนบรรจบเข้าต้นไม้ต้นใหม่ที่มันไปโผล่
วิธีการที่มันใช้สำหรับเคลื่อนไประหว่างต้นไม้ต้นหนึ่งสู่อีกต้นดูเหมือนจะเป็นการเคลื่อนที่โดยใช้อวัยวะของต้นไม้ต้นนั้น อย่างเช่นกิ่งก้านหรือรากไม้นั่นเอง
เอ่อใช่ ว่าแต่ข้าพึ่งเห็นศักยภาพของเมืองเซียนลุ่ยเป็นครั้งแรก นี่มันว่าเป็นวิชาที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก ดูสิมันสามารถพันธนาการสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย ผู้นำหน่วยลาดตระเวนกล่าวด้วยความชื่นชม
หาใช่เช่นนั้นไม่ ตอนนั้นเองกิ่งไม้ผู้นำทางของหน่วยสอดแนมได้เข้ามาแทรกระหว่างกลุ่มทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นแผงตาข่ายที่ประทับไปด้วยตัวอักษร
การผันแปรกิ่งไม้ยิ่งซับซ้อนเท่าไหร่พลังงานที่ใช้ไปก็ยิ่งมากตามไปด้วย ส่วนวิชา จองจำพฤกษา นี้แม้จะเรียบง่ายไม่ซับซ้อนแต่มันจำต้องส่งพลังงานมหาศาลเพื่อเพิ่มกำลังให้แก่เถาวัลย์แต่ละ เส้นยิ่งศัตรูเป็นสัตว์อสูรที่มีร่างกายทนทานเรี่ยวแรงมหาศาลแล้วละก็ อย่าว่าแต่อสูรทั้งหมดนี้เลยแม้แต่ตัวเดียวก็นับว่าเป็นปัญหาสำหรับหนึ่งคนแล้ว
ที่พวกเจ้าเห็นนั้นต้องรวบรวมผู้ใช้วิชา จองจำพฤกษา กว่าห้าถึงหกคนในการจับกุมอสูรหนึ่งตนและห้าถึงหกคนนั้นจะต้องเพ่งสมาธิตั้งมั่นเพื่อประคองรักษาการคงอยู่ของเถาวัลย์เพื่อรองรับพละกำลังของศัตรูอยู่ตลอดเวลา พวกมันจึงมิสามารถเบี่ยงความสนใจไปทำอย่างอื่นได้เลยแม้แต่น้อย
แบบนี้นี่เอง เหล่าสมาชิกหน่วยสอดแนมและหน่วยลาดตระเวนผงกหัวรับข้อมูลใหม่เข้าสู่องค์ความรู้ นับว่าพวกมันคิดตื้นเขินเกินไปจริงๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ต้องแลกมาด้วยความพยายามที่เทียบเท่า ไม่ทราบกว่าพวกมันจะจับกุมอสูรสักตนจะต้องลงเรี่ยวแรงไปมากมายแค่ไหนถึงสามารถมัดอสูรร้ายเหล่านี้จนอยู่หมัด