ในช่วงที่ใครบางคนทนถูกแทะโลมจนทนไม่ไหวจำต้องหลบลี้ จิ่งเหิงปัวที่สูญเสียผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มครองย่อมพ่ายแพ้ลงในที่สุด
ทุนเดิมห้าสิบตำลึงหมดลงแล้ว ห้าสิบตำลึงที่ชนะมาภายหลังก็หมดแล้ว
จิ่งเหิงปัวที่พริบตากลายเป็นชนชั้นยากจนคนหนึ่งน่ะหรือ? ดวงตาแดงก่ำคว้าขอบโต๊ะพนันไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ดุจดั่งนักพนันที่สิ้นเนื้อประดาตัว
“ไม่มีเงินแล้วหรือ? ไม่มีเงินก็ไสหัวไป!” เจ้ามือตะโกนไล่คน
จิ่งเหิงปัวมองไปรอบด้าน ผู้ที่แพ้หมดตัวไม่มีให้นางยืม ส่วนผู้ชนะมากกว่าครึ่งอวบอ้วนสมบูรณ์หน้าบานยิ้มระเริง หากยืมเงินกับคนประเภทนี้ก็นับว่าเสียหน้าอย่างแท้จริง ยืมกับพ่อรูปหล่อยังจะดีเสียกว่า
สายตาของนางล่องลอยไปรอบด้านเพราะอยากจะหาเจ้าคนที่แลดูสบายตาและมีเงิน อีกทั้งไม่ก่อปัญหาตามมา แล้วชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจไปยังหอด้านบน ผู้อ่อนวัยที่สีหน้าซีดขาว ร่างกายผ่ายผอมอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังพิงราวกั้นอยู่ พลางจ้องมองนางอย่างสนใจไม่เบา
สายตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านจากเนื้อผ้าแพงหรูหราบนกายของเขา สีหน้าสุขุมบนใบหน้ารวมถึงผู้ติดตามที่มีอากัปกิริยานอบน้อมที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ก็พลันได้ข้อสรุปออกมาว่า ‘นี่คือคนรวยแต่โง่คนหนึ่ง’
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือนางจำได้ว่าผู้ติดตามข้างหลังอีกฝ่ายสวมใส่เครื่องแบบองครักษ์ในบ่อนพนันนี้
ผู้อ่อนวัยคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของบ่อนพนันหรือไม่ก็มีความเกี่ยวข้องกันกระมัง
“นี่ เจ้ายังจะเล่นหรือไม่ หากไม่เล่นก็ถอยออกมา!” เจ้ามือออกปากไล่ด้วยความรำคาญ
จิ่งเหิงปัวปัดมือของเขาออก เสื้อคลุมยาวถลกขึ้น ยกขาเพียงครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ
“ว้าว” เหล่าเจ้ามือและนักพนันด้านล่างเงยหน้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยความมึนงงเสียแล้ว
ลำคอของผู้อ่อนวัยชั้นบนยืดยาวมากขึ้นไปอีก เบื้องลึกในดวงตาทอประกายแสงแห่งความตื่นเต้นดีใจ
“นี่! ข้างบนนั่นน่ะ! เจ้าดูรูปโฉมงดงามของข้าสิ!” จิ่งเหิงปัวโก่งคอตะโกนไปข้างบน “ข้ารูปโฉมงดงามเช่นนี้ พวกเจ้ายังกล้าเอาเงินข้า ยังกล้าโกงข้าอีกหรือ”
“หน้าด้านยิ่งนัก…นี่ เจ้าเอ่ยว่าผู้ใดโกงกัน ไสหัวลงมา!” เจ้ามือระเบิดโทสะ
คนกลุ่มหนึ่งยื่นมือไปดึงจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวก็รวบเสื้อคลุมตัวยาวกระโดดซ้ายทีขวาที ตะโกนด่าเสียงดังว่า “โกงชัดๆ! อย่างข้า…น่ะ หากจะโกง พวกเจ้าคงแพ้จนหมดตูดกลับบ้านไปเสียนานแล้ว คดโกงต่อหน้าปัญญาชนซื่อสัตย์อย่างข้านี้ พวกเจ้ายังมีศักดิ์ศรีหรือไม่!”
“ไอ้บ้าจากที่ใดกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ จึงกล้าเอ่ยวาจามั่วซั่วที่บ่อนพนันแห่งนี้?!” เจ้ามือโกรธสุดขีด ทว่ายังหัวเราะร่า โบกมือเพียงครั้งให้องครักษ์องอาจที่ประชิดเข้ามาพลางเอ่ยว่า “มาเร็ว…”
“ให้เขาขึ้นมา” ที่เหนือศีรษะแว่วเสียงอ่อนเพลียเสียงหนึ่ง
เจ้ามือปรับสีหน้าและโค้งกายผายมือโดยพลัน “ขอรับ!”
จิ่งเหิงปัวยกยิ้มอย่างลำพองใจครั้งหนึ่ง รวบเสื้อคลุมยาวเอาไว้ แล้วลงมาจากโต๊ะด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่องช้า
ผู้อ่อนวัยเดินโซซัดโซเซมาต้อนรับ พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นใบหน้าของเขาแล้ว ในใจก็ร้องก้องขึ้นว่า “เสี่ยวโซ่ว!”
คนนี้มีใบหน้าคล้ายของใบหน้าเสี่ยวโซ่วจริงๆ สีหน้าซีดเผือดเรือนร่างผอมบาง คิ้วบางดวงตาโค้ง ลมพัดครั้งหนึ่งสั่นสะท้านไปสามครั้ง เอ่ยวาจาขึ้นมาเลือนรางแผ่วเบา
“ผู้ต่ำต้อยนามจงฉิง ยังไม่ได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามของคุณชาย” จงโซ่วยากจะมีมารยาทเช่นนี้ ดวงตาเรียวยาวจ้องมองจิ่งเหิงปัวที่มีดวงพักตร์เพริศพรายด้วยสายตาแวววาวเปล่งประกาย
จิ่งเหิงปัวจ้องมองแม้แต่เส้นผมทั่วร่างของเขา ยินดีนิดหน่อยว่าเสื้อคลุมยาวกว้างใหญ่บดบังทรวดทรงไว้ เสียใจนิดหน่อยว่าเสื้อคลุมยาวใหญ่เกินไปบดบังทรวดทรงไม่มิด
สำหรับเจ้าคนนิสัยอ่อนหวานขนาดนี้คนหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าเพศไหนน่าจะเหมาะสมมากกว่า
“เกรงใจเสียแล้ว ผู้ต่ำต้อยนามจิ่งต้าปัว” นางยิ้มแย้มเสแสร้ง ไอโขลกออกมาครั้งหนึ่ง กำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากขอยืมเงินอย่างไร หรือว่าชนะพนันอย่างเปิดเผยสักตา แล้วเอาทุนในการพนันกลับมา จงโซ่วโซ่วนั้นเงยใบหน้ายิ้มแย้มเอาใจขึ้นมาพลางกุมมือของนางไว้
“น้องต้าปัว วันนี้ได้พบพานนับเป็นวาสนาที่เบื้องบนประทานมาโดยแท้ พี่น้องข้างล่างไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุจึงล่วงเกินน้องชายเข้า เจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้าง ก็อย่าได้ถือสาพวกเขาเลย มาๆ เชิญน้องชายเยื้องก้าวสู่ห้องรับรองหรูหรา สนทนากับผู้ต่ำต้อยสักหน่อย ให้พี่ชายผู้ขลาดเขลาขออภัยต่อหน้าเจ้าให้เต็มที่”
จงฉิงสีหน้าเปี่ยมปรีดา คว้าจิ่งเหิงปัวแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเท้าแทบไม่ติดพื้น จิ่งเหิงปัวอยากจะปฏิเสธ ทว่าในพริบตานั้นกลับได้กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของอาหารสายหนึ่ง พอมองดูจงฉิงที่ดูคล้ายอ่อนแอนุ่มนิ่มนั่นก็ให้คนนำของหวานมาให้ด้วยท่วงท่ารวดเร็วยิ่ง โจ๊กดอกกุ้ย[1]ใส่เม็ดบัว ขนมไป่เหอ[2] ฮะเก๋ากุ้งและขนมจีบหยกรูปกลิ่นรสยั่วน้ำลาย จิ่งเหิงปัวที่เดิมทีท้องหิวหาทางอยู่รอดจึงเดินตามขึ้นไปโดยไปทันทีในชั่วขณะ
เบื้องล่างฟื้นคืนความครึกครื้น ทุกคนเล่นพนันกันต่อ ไม่มีใครสังเกตว่ามีเงาคนกะพริบวูบที่ปากประตู
จิ่งเหิงปัวตามจงฉิงไปโดยไม่ได้สังเกตว่าผู้ติดตามกลุ่มใหญ่นั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหน
จากนั้นนางก็พบในทันทีว่าปากบันไดขึ้นชั้นสามกลับว่างเปล่า
ไม่มีบันไดเหรอ?
จงฉิงยืนยิ้มอย่างลำพองใจอยู่ที่ปากบันได
“บันไดมา” เขาเงยหน้าขานแผ่วเบาด้วยเสียงเชื่องช้าดัดจริตอย่างยิ่ง
ผนังสี่ด้านดังเอี๊ยดอ๊าดไม่หยุดในทันใด ท่อนไม้แนวขวางนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นรูปร่างบันไดกลางอากาศในพริบตา
“อัศจรรย์ยิ่งนัก!” จิ่งเหิงปัวกล่าวชม ยิ้มแย้มมองดูจงฉิงกล่าวสืบต่อว่า “เจ้าออกแบบได้สุดยอดเสียจริง!”
อย่างกับภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ของอเมริกัน ยากนักที่จะได้มองเห็นการออกแบบเช่นนี้ในเมืองเล็กริมชายแดนในสมัยโบราณ
บนใบหน้าซีดเผือดของจงฉิงขึ้นสีแดงอ่อนด้วยความตื่นเต้นดีใจลำพองใจ ปากพยายามเอ่ยวาจาสบายๆ ว่า “เล็กน้อย”
สายตาสตรีที่สุกสกาวด้วยเลื่อมใส มักพาให้ฮอร์โมนเพศชายปริมาณมากพวยพุ่ง ตอนนี้จงฉิงท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ยามประคองจิ่งเหิงปัวเหยียบลงบนบันไดก็กระตือรือร้นเป็นพิเศษ จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม หยิกใบหน้าของเขาครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความชื่นชม นายน้อยแซ่จงยิ่งดีใจมากขึ้น สายตาแวววาวดุจหมาป่า
บนขื่อห้องคล้ายมีเงากะพริบวูบไหว แต่ผู้หนึ่งที่ก้มหน้ามองบันได อีกผู้หนึ่งตั้งใจเชยชมโฉมงามจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
“บันไดกลางอากาศออกจะดูน่ากลัวไปเสียบ้าง” จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองบันได ก็มองเห็นศีรษะของคนด้านล่างทั้งสองชั้น
จงฉิงยิ้มอย่างลึกลับ ลำพองใจมากยิ่งขึ้น ดีดนิ้วครั้งหนึ่งด้วยร้อนรนทนไม่ไหว
“กระดานมา!”
เสียงเพี้ยะดังกังวาน ไม้กระดานกลางอากาศเหล่านั้นมีกระดานบางท่อนที่ไหลอออกมาตามแนวขวางโดยพลัน จากนั้นก็ห้อยลงประสานด้านล่าง เสียงแครกๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง บันไดแบบสมบูรณ์ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว
“ความคิดอัศจรรย์!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่ายังมีการออกแบบชั้นนี้อีก เบิกตาโต ร้องอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าคิดออกมาได้อย่างไรกัน!”
ในน้ำเสียงของนางชื่นชมด้วยใจจริง แม้กระทั่งผู้โง่เขลายังฟังความออก นัยน์ตางามพิลาสสุกสกาวด้วยความตกใจระคนแปลกใจ ผิวกายแดงซ่านคล้ายคลุมด้วยแสงมุกชั้นหนึ่งทั้งอ่อนโยนและลานตา
จงฉิงชื่นมื่นดีใจคล้ายจะลอยขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เพียงความสามารถอันน้อยนิด…มินานมานี้กระดานบันไดลงน้ำมันถง[3]ไว้ ระวังจะลื่นล้ม…โอ๊ย!”
ประโยคหนึ่งไม่ทันสิ้น ทันใดนั้นลมประหลาดสายหนึ่งแฉลบผ่าน ชนจนเท้าของเขาสะดุดขาชี้ฟ้าลื่นล้มดังคลุกคลักลงมาตามบันได
จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ รีบวิ่งลงมาประคองเขาแล้วกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ บันไดนี้ก็ไม่ได้ลื่นอะไรนะ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน…” ทั่วใบหน้าของจงฉิงขึ้นสีแดง บันไดนี้ลงน้ำมันถงตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ไม่สามารถลื่นได้อย่างแน่แท้ เขาเพียงหวังเอาอกเอาใจจึงเข้าไปประคองแขนกลมกลึงของโฉมสะคราญสักหน่อยเท่านั้น เหตุใดจึงลื่นล้มเสียแล้วเล่า?
จิ่งเหิงปัวยื่นมือมาประคองเขา ทางเดินมืดสลัวขับให้นิ้วมือของนางแต่ละนิ้วดุจหยกงาม จากมุมสายตาของจงฉิงมองเห็นติ่งหูดุจไข่มุกข้างจอนผมสีดำเข้มของนางผุดเผยสีชมพูอ่อนๆ จากรูแวววาวน้อยๆ ด้านหนึ่งพอดิบพอดี
รอยเจาะหู
มองเห็นสิ่งนี้ปราดเดียวจึงรู้ว่านางคือสตรี
——