จิ่งเหิงปัวรู้สึกโล่งอกขึ้นมา นางยอมมองเห็นปากนกของเจ้าหมาโง่ ดีกว่ามองเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของกงอิ้น
เจ้าหมาโง่มองไปรอบด้าน เดินด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ไปไม่กี่ก้าวแล้วอ้าปาก
“ชีวิตล่องมากทุกข์สุขน้อยสิ้น เชยนารินทร์ดูหมิ่นยิ้มพธู…”
“หุบปาก ห้ามท่องกลอน!” จิ่งเหิงปัวรู้ว่าท่อนต่อไปคืออะไร เช่นนั้นก็ตะโกนบุ่มบ่ามหยุดยั้งเจ้าหมาโง่ทันที
หรือว่าจะฟังมันพูดกับตนเองต่อหน้ากงอิ้นว่า ‘วางตัวทำตนเป็นหญิงเจ้าชู้ มิเคียงคู่พันบุรุษมินิทรา?’
เจ้าหมาโง่หุบปากนกของตน ทำทีเชื่อฟังอย่างหาได้ยาก เดินเตร่แช่มช้ามาข้างกายจิ่งเหิงปัว ยื่นหัวมองนางแล้วมองรอบด้านจนแน่ใจ คล้ายกับว่าเฟยเฟยจะไม่อยู่ มันจึงยื่นกรงเล็บคว้าคอเสื้อของจิ่งเหิงปัวเอาไว้
นี่คือท่วงท่าคุ้นเคยระหว่างมันกับจิ่งเหิงปัวที่ปลูกฝังมาตั้งแต่คราวที่อยู่หอนางโลม จิ่งเหิงปัวมักจะสอนมันพูดจาผ่านกรง เมื่อเจ้าหมาโง่มีอะไรจะร้องขอมันก็จะยื่นกรงเล็บมาคว้าคอเสื้อกว้างบริเวณอกของนางเอาไว้
เจ้าหมาโง่ใช้ความจุสมองขนาดเท่าขี้ตาของมัน ครุ่นคิดท่วงท่าที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยออกมาปลุกจิ่งเหิงปัวขนาดนี้ก็เพื่อเกริ่นนำถึงข้อตกลง ทว่ามันกลับมองข้ามสายตาเยือกยะเย็นเช่นน้ำแข็งของท่านราชครูที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
สายตาของเขาทอดลงบนคอเสื้อกว้างนั้นอย่างเรียบง่ายชั่วขณะ ก่อนจะไล่มองไปตามกรงเล็บผอมบาง ความคิดของมหาเทพก็เปลี่ยนจากคิดจะคว้ากรงเล็บนี้ลงมา กลายเป็นตัดสินใจว่าจะย่างกรงเล็บนี้เสียด้วยเลยเพราะความไม่รู้สึกตัวของเจ้าหมาโง่
“ต้าปัวๆ” เจ้าหมาโง่ผู้ที่ไม่รู้ว่าภัยร้ายกำลังจะคืบคลานเข้ามาหาตน คว้าคอเสื้อของจิ่งเหิงปัวไว้พลางตกลงกับนางอย่างเร่งด่วนว่า “ไล่แมวไป! ไล่แมวไป!”
อ้อ ถูกเฟยเฟยกลั่นแกล้งจนกลัวไปหมด เช่นนั้นจึงพยายามหาทางรอด
จิ่งเหิงปัวมองเจ้าหมาโง่ที่ร้อนใจอย่างยิ้มแย้มเบิกบาน นี่เรียกว่านกร้ายย่อมมีแมวเลวจัดการ
มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าขนบริเวณเหนือหัวของเจ้าหมาโง่ขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แล้วตระเตรียมจะเขวี้ยงทิ้ง
เจ้าหมาโง่กระวนกระวายยกใหญ่ ยื่นกรงเล็บไขว่คว้าสุดชีวิต แต่มันจะคว้าถึงใบหน้าของกงอิ้นที่ไหนกัน มันคิดจะคว้าคอเสื้อกว้างสักแห่งไว้ด้วยความคุ้นเคย มือข้างนั้นดีดกรงเล็บเขียวขจีของมันออกไปอย่างรุนแรงเพียงครั้ง ราวตระเตรียมใจไว้เนิ่นนานแล้ว
“น้องเจ้าสิไอ้เสแสร้ง! น้องสาวเจ้าสิไอ้หน้าอ่อน!” เจ้าหมาโง่ร้องโวยวายด้วยความโกรธ ยื่นกรงเล็บสองข้างมาทางจิ่งเหิงปัวอย่างน่าเวทนา พลางร้องว่า “ต้าปัวช่วยข้า…”
“เรื่องนี้…” จิ่งเหิงปัวคิดจะแกล้งทำเป็นช่วยเหลือ
“ไอ้หน้าอ่อน? ไอ้เสแสร้ง?” กงอิ้นหิ้วเจ้าหมาโง่เอาไว้ สายตาเย็นยะเยือกหันมองมาทางจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวตกใจ เฮือก! เสียงหนึ่ง รู้สึกตัวขึ้นมาด้วยเข้าใจในภายหลังว่า…เจ้าหมาโง่มันคิดค้นคำศัพท์เองไม่ได้ คำคุณศัพท์ดีงามอย่างเช่น ‘ไอ้เสแสร้ง’ ‘ไอ้หน้าอ่อน’ เหล่านี้ย่อมมาจากการสั่งสอนของนาง
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮะเสียงหนึ่ง ก่อนจะหดตัวเข้าไปในผ้านวมด้วยความขลาดกลัว ไม่วางแผนท้าทายอำนาจของมหาเทพอีก
มหาเทพเดินตามอารมณ์ มือก็หิ้วนกออกไป เจ้าหมาโง่ยื่นกรงเล็บตะกายเสาประตูไว้อย่างสิ้นหวัง ร้องเสียงดังอย่างน่าเวทนาว่า “น้องสาวเจ้าสิไอ้เสแสร้ง! เจ้ากล้าทำกับท่านหมาเยี่ยงนี้ ท่านหมาจะบอกต้าปัวว่าเจ้าเป็นคนขังนาง!”
ฟิ้ว! เจ้าหมาโง่พลันสลายหายไปจากในมือของมหาเทพกงด้วยความเร็วดั่งเทพเซียน
จิ่งเหิงปัวมองรัศมีโค้งที่หมาโง่ลอยไปอย่างงงวย มองกงอิ้นแล้วชี้ไปยังหมาโง่กล่าวว่า “มันเอ่ยว่า…มันเหมือนจะเอ่ยว่า…”
“ดูท่าทางเจ้าจะหายดีแล้ว วันรุ่งขึ้นเริ่มออกเดินทาง” กงอิ้นเฉไฉคำพูดของนางอย่างรวดเร็ว แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยความเร็วสูงสุดดุจข้างหลังมีภูตพรายติดตาม
จิ่งเหิงปัวมองเขาที่เดินหายลับไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าหมาโง่ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง สักพักจึงตะโกนว่า
“แม่งเอ๊ย! เหตุใดเจ้าต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ด้วย อย่างไงก็บอกข้าหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น…”
…
น่าเสียดายที่ว่านางถูกกำหนดให้ไม่รู้คำตอบเสียแล้ว ภายหลังจนกระทั่งออกเดินทาง นางก็ไม่ได้มองเห็นท่านราชครูผู้สูงศักดิ์อีก
กงอิ้นยังคงไม่สนใจอาการป่วยของนางอย่างไร้เหตุผล เขาออกคำสั่งเดินทางทันที เหตุผลก็คือการเดินทางล่าช้ามาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้ตระกูลสูงศักดิ์และกองทัพต้อนรับในแคว้นอาจจะรอคอยจนร้อนใจแล้ว
วันนั้นนางจึงถูกลากเข้าไปในรถม้า แต่เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นรถม้าที่ตระเตรียมสำหรับกลับแคว้นโดยเฉพาะคันนั้น ก็อดจะร้อง “ว้าว” ออกมา พลางกวาดสายตาเกลื่อนพื้นไม่ได้
มองภายนอกรถม้านั้นก็ดูคล้ายพระราชวังขนาดเล็กที่สามารถเคลื่อนที่ได้ สลักอานประดับล้อสลักทองประดับหยก ม่านผลึกแก้วที่ห้อยย้อยลงมาเปล่งแสงห้ารัศมีแวววาวพราวแพรวดุจแสงรุ้งงดงามใต้แสงอาทิตย์ พรมขนฟูสีแดงเข้มภายในฟูนุ่มจนฝังคนได้ ที่นั่งและที่นอนยังแบ่งเป็นข้างนอกข้างใน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องใช้ทุกสิ่งที่งดงามหรูหรา ขอเพียงเป็นที่ซึ่งดวงตามองเห็นได้ หรือไปถึงได้ทุกที่ล้วนฝังด้วยอัญมณี
ดวงตาของจิ่งเหิงปัวผุดเผยแสงสีเช่นเดียวกันแล้วพุ่งเข้าไปในทันที
หัวหน้าองครักษ์เหมิงหู่เดินอยู่ข้างรถม้า ได้ยินเสียงแผ่วเบาปานหนูกัดฟันแว่วออกมาจากด้านในไม่หยุด ดูท่าองค์ราชินีคงจะกำลังลองกัดเพชรพลอยบนถ้วยน้อยอยู่กระมัง
เหมิงหู่ฟังอย่างตั้งใจยิ่ง รอชั่วครู่จะไปรายงานต่อราชครู
ยามนี้ความเลื่อมใสของเหมิงหู่ที่มีต่อสติปัญญาของราชครูเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งอีกครา เดิมทีตามความนัยของเขา รถม้าไม่อาจหรูหราเปี่ยมสีสันเช่นนี้ ต้าฮวงผลิตทองคำและเพชรพลอย ทุกผู้คนเห็นวัตถุเปล่งประกายกันจนหน่ายแล้ว ยามนี้ในแคว้นนิยมสีไม้ดั้งเดิมหรือการลงน้ำมันถง พิถีพิถันความงามที่ธรรมชาติไร้สิ่งตกแต่ง ทว่าราชครูเอ่ยว่ารถม้าจะต้องหรูหรางดงาม ยิ่งแสบตายิ่งดี ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้เพชรพลอยมากเหลือ เพราะยิ่งใช้มาก ราชินียิ่งว่านอนสอนง่าย เหมิงหู่ยอมรับจากใจจริง…เหตุใดราชครูจึงเข้าใจองค์ราชินีเช่นนี้เล่า?
รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสียงดังกึกกัก สองสามวันนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้เจอกับกงอิ้นเลย แต่อยู่บนรถด้วยกันกับเพื่อนสาวสามนาง จิ้งอวิ๋นรับหน้าที่ดูแลนาง แต่ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยเลี้ยงเฟยเฟยอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้มายังเบื้องหน้านางแต่อย่างไร
บางครั้งจิ่งเหิงปัวก็ตื่นขึ้นมากลางดึก มองเห็นจิ้งอวิ๋นยังคงนั่งเรียบร้อยอยู่ข้างกายนางในความมืด แสงริบหรี่สาดส่องขนตายาวแผ่บางของนาง หยาดน้ำใต้ขนตาชื้นละมุนจ้องมองทิศทางว่างเปล่าสักแห่งหนอย่างแน่วแน่
มือทั้งสองข้างของนางที่วางไว้บนสาบเสื้อขยับน้อยๆ ดุจดอกไม้ขาวดอกหนึ่งที่กำลังจะโรยราดิ้นรนท่ามกลางลมราตรีที่ส่งเสียงดังซู่ๆ
บางครั้งนางยังได้เห็นชุ่ยเจี่ยผู้ที่เรื่อยเฉื่อยนั่งอยู่บนแอกรถ หันหน้าจ้องมองทางแคว้นต้าเยียน สายตาถูกบดบังด้วยเส้นผมที่ปรกหน้าผากที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง
จิ่งเหิงปัวรู้ว่านี่เรียกว่าความโศกเศร้า
ใกล้ต้าฮวงมากขึ้นทุกที ไกลแดนศัตรูมากขึ้นทุกที ในใจของทุกผู้คนเปี่ยมด้วยความสับสนไร้ขอบเขตที่มีต่ออนาคตที่ไม่ล่วงรู้
นางเม้มริมฝีปากแผ่วเบา แนบแน่นท่ามกลางความมืดมิด
ไม่เป็นไร เพื่อนพ้องของข้า
ในเมื่อพวกนางติดตามข้ามาตลอดทาง ข้าย่อมต้องปกป้องพวกนาง
แม้ว่าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมด หรือเป็นศัตรูกับทุกสรรพสิ่ง
…
ออกจากเมืองซีคังข้ามผ่านหลิวฮวาจวิ้น[1]ซึ่งเป็นจวิ้นสุดท้ายที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นต้าเยียน จิ่งเหิงปัวเดินทางมาตลอดจนในที่สุดออกจากดินแดนแคว้นต้าเยียนเข้าสู่เขตซีเอ้อที่ติดต่อกับแคว้นต้าเยียนอย่างเป็นทางการ
ตามความนัยของกงอิ้น เดิมทีไม่อยากข้ามผ่านชายแดนเขตซีเอ้อจนยินยอมเดินทางอ้อมทว่าเขาออกมานานเกินไปแล้ว สุดท้ายแล้วไม่วางใจสถานการณ์ภายในแคว้นจึงต้องเดินทางผ่านเทียนหนานโจว[2]เขตซีเอ้อ ข้ามทุ่งหญ้าเจี๋ยหูและที่ราบสูงอวิ๋นเหลยก่อนกลับสู่ต้าฮวง
จิ่งเหิงปัวมีท่าทางยินดีกับเรื่องนี้โดยตลอด ก่อนหน้านี้เปล่าเปลี่ยวมากมายภายหลังก็เปล่าเปลี่ยวเช่นกัน ยากจะได้เดินทางผ่านเมืองเป่าฟั่นแห่งเทียนหนานโจวที่ว่ากันว่าเจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่ง จะไม่ไปเดินชมสักหน่อยได้อย่างไร
คาราวานเข้าสู่เมืองเป่าฟั่นไม่ได้สิ้นเปลืองเรื่องราวอะไรเลยด้วยจ่ายเงินก็พอแล้ว ว่ากันว่ากษัตริย์แห่งเทียนหนานรักทรัพย์สินดุจชีวิตจึงมอบหมายหน้าที่เก็บภาษีอัตราสูงให้กระทรวงทบวงกรมและกองกำลังในบังคับบัญชาทั้งหมด ทำให้ทหารเฝ้าประตูเมืองขูดรีดพ่อค้าต่างถิ่นที่เดินทางไปมาสุดชีวิต ขอเพียงมีเงินมากพอจะพาจะรพรรดิแคว้นต้าเยียนเข้าไปยังได้
“พวกเราไปเดินเล่นหน่อยเถิด ไปเดินเล่นกัน” หลังจากเข้าเมืองจิ่งเหิงปัวก็ดึงแขนเสื้อของกงอิ้นไว้
มหาเทพมิเอ่ยวาจา ผู้ใดล้วนมิกล้าไปเดินเตร่
มหาเทพไม่สนใจนางดังคาด เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ได้ยินว่ากษัตริย์เทียนหนานผู้ดูแลเมืองเป่าฟั่นเ**้ยมโหดไร้ยางอายพฤติการณ์บ้าคลั่ง พวกเราเพียงพักผ่อนปรับกำลังยังต้องรีบเร่งเดินทาง อยู่ในเขตอิทธิพลนาง เจ้าจงเรียบร้อยเสียหน่อย”
“จะบ้าคลั่งเช่นไร นางประทับ ณ พระราชวังของนาง ข้าเดินเล่นในตลาดเรื่องของข้าจะไปเกะกะอะไรนางเล่า?” จิ่งเหิงปัวไม่พอใจ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาพลางกล่าวว่า “เดินเพียงสองชั่วยาม เจ้าส่งองครักษ์ติดตามข้าให้มากหน่อย ข้ารับรองว่าไม่คิดหนี หือ?”
กงอิ้นลากนิ้วของนางออกไปแผ่วเบาแล้วลูบแขนเสื้อให้เข้าที่
“หนึ่งชั่วยาม” นิ้วงอลงไปหนึ่งนิ้ว
กงอิ้นหันหลังสำรวจโรงเตี๊ยม
“ครึ่งชั่วยาม” จิ่งเหิงปัวลำบากใจ
กงอิ้นเลือกขนมชิ้นหนึ่งในจานที่องครักษ์ส่งขึ้นมาฉวยมือยื่นให้นางพลางเอ่ยว่า “หวาน รอชั่วครู่กินยาแล้วกินล้างปาก”
จิ่งเหิงปัวเข้าใจความหมายของเขาว่าเจ้ารีบเร่งหุบปากได้แล้ว แต่ว่า ‘กินยาแล้ว’ สามคำนี้เตือนสตินาง
“เอาเถิด ไม่ไปก็ไม่ไป” นางจ้องเงาด้านหลังตอนจากไปของกงอิ้น กล่าวอย่างโศกเศร้าว่า “อย่างไรเสียข้าเป็นเพียงหุ่นเชิดไร้เหตุผลตัวหนึ่ง ผู้อื่นจะทำเช่นไรกับข้าก็ทำเช่นนั้น จะกลั่นแกล้งข้าก็กลั่นแกล้ง จะขังข้าไว้ในห้องมืดก็ขัง จะขู่ข้าก็ขู่…”
แผ่นหลังกงอิ้นแข็งทื่อ
“…ถูกขังถูกแกล้งถูกขู่จนป่วยไข้ไปทั้งร่าง ท้ายสุดแล้วยังไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ…”
กงอิ้นชะงักฝีเท้า
“ทว่าแม้รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำแล้วจะเป็นเช่นไรเล่า? ยังมิใช่ถูกผู้อื่นจะบีบเช่นไรก็บีบเช่นนั้น คิดจะปฏิเสธเช่นไรก็ปฏิเสธเช่นนั้น วันเวลาได้ดังใจเพียงวันหนึ่งยังมีมิได้…” จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเงยหน้ามองฟ้า โอ๊ยแม่งเอ้ย แสดงละครน้ำเน่ารู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้อารมณ์นะ น้ำตา น้ำตาที่มองแล้วสะเทือนใจมีบ้างไหม? ใครให้ยืมพริกสักเม็ดสิ?
กงอิ้นหันหลังทันทีแล้วเดินเข้ามา
จิ่งเหิงปัวยินดีปรีดารีบเร่งก้มหน้าลากฝีเท้า เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้านใน
เงาด้านหลังเงาหนึ่งต้องเปี่ยมด้วยความผิดหวังน้อยใจโศกเศร้าจำใจน่ะมีไหม!
แขนเสื้อถูกคนคว้าไว้ จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามุมสี่สิบหน้าองศาน้ำตาทอประกายออดอ้อน มองเห็นมหาเทพมองตรงไปเบื้องหน้าคีบแขนเสื้อนางไว้เอ่ยว่า “ถนนใกล้เคียง ครึ่งชั่วยาม”
“ได้เลย!” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกาโดยพลันหันหลังเดินยักย้ายออกไป เดินไปได้สักพักรู้สึกผิดปกติ พอหันหลัง…ทำไมกงอิ้นยังตามมา?
กงอิ้นยังคงไม่มองนาง สายตากวาดผ่านด้านบนฝูงชนปากเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ได้ยินว่าเมืองเป่าฟั่นมีตลาดค้าทาสพิเศษยิ่งนัก ข้าว่าจะไปดูสักหน่อย”
“เช่นนั้นพวกเราแยกกันเดิน” จิ่งเหิงปัวหันหลังอย่างสง่างามทันที นางน่ะไม่อยากดูทาสรับใช้ นางอยากไปเดินชมตลาดนกตลาดดอกไม้เอย ร้านชาดแดงแป้งร่ำเอย ร้านตัดเสื้อผ้าเอย ทำความเข้าใจรูปแบบการแต่งองค์ทรงเครื่องของผู้หญิงสมัยโบราณ ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่ามหาเทพจะต้องรังเกียจชาดแป้งกลิ่นฉุน รังเกียจในร้านคนเยอะ รังเกียจตลาดนกตลาดดอกไม้มีกลิ่นสาบสัตว์ปีก…ไม่อยากเดินด้วยกันกับเขาสักหน่อย
เดินออกไปสามก้าวหางตาเหลือบเห็นชายผ้าสีขาวราวหิมะ นางหยุดชะงักหันหลัง มือเท้าคางตามองเขา
เมื่อสบสายตาทั้งสงสัยทั้งหยอกล้อของนาง เขาคล้ายเก้อเขินไปบ้างเล็กน้อย สายตาไหลออกไปปานธารหลาก ทว่าสีหน้ายังคงเอ่ยอย่างสุขุมว่า “คล้ายจะทางเดียวกัน? เช่นนั้นเดินไปด้วยกันเถิด”
จิ่งเหิงปัวแบะปาก นางน่ะไม่เชื่อว่าตลาดค้าทาสจะอยู่ทางเดียวกันกับตลาดนกตลาดดอกไม้แต่ว่านางตามใจผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร คร้านจะเปิดโปงคำลวงของมหาเทพ หากนี่เป็นคำโกหก เขาพาลโมโหโกรธาขึ้นมาไม่ให้นางเดินแล้วจะทำอย่างไง?
“นั่นสิ อาจจะทางเดียวกันจริงๆ” นางกลอกตา เดินยิ้มแย้มขึ้นมาคล้องแขนของกงอิ้นไว้พร้อมกล่าวว่า “เช่นนั้น จะเดินไปด้วยกันหรือไม่?”
กงอิ้นหลุบตามองแขนที่ถูกนางคล้องเอาไว้ สีหน้าและท่วงท่าแข็งทื่ออยู่บ้าง
แต่จิ่งเหิงปัวกลัวว่าเขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วกลับคำจึงลากเขาเดินไปข้างหน้า กงอิ้นที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเกือบจะโซเซไปครั้งหนึ่งอยากจะดึงรั้งนางไว้ สุดท้ายลังเลชั่วครู่แล้วยังคงถูกนางลากต่อไป
เงาคนกะพริบวูบ เหมิงหู่แวบออกมาจากท้ายฝูงชนมองดูเจ้านายที่ถูกลากไปด้วยท่าทีแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงแทบทะลักออกมา
เสร็จแล้วเขาถอนหายใจเอือกคล้ายอยากหัวเราะทว่าสุดท้ายมิได้หัวเราะออกมา เพียงหันหลังออกคำสั่งกับลูกน้องว่า “คนของพวกเรากลับมาหรือยัง?”
“ยังขอรับ แต่ส่งข่าวมาว่าพักนี้ราชครูเหยียลี่ว์ปรากฏกายในชายแดนเขตซีเอ้อ โผล่ออกมาแถบภูเขาเฮยใกล้เมืองเฮยสุ่ย คนของพวกเราไล่ตามไปแล้วขอรับ”
“เมืองเฮยสุ่ยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเป่าฟั่นใกล้เจี๋ยหูเข้ามาแล้ว ในเมื่อเหยียลี่ว์ฉีมาถึงที่นั่นแล้วคงจะไม่คิดพลิกผันหันหลัง ยิ่งกว่านั้นเขาถูกไล่สังหารตลอดทางไร้โอกาสพักรักษาร่างบาดเจ็บสาหัส ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส่งสารให้องครักษ์ไล่ล่าเบื้องหน้าว่าจะต้องรีบเร่งพยายามดับชีวีเหยียลี่ว์ฉีที่นอกแคว้นให้จงได้”
“ขอรับ”
องครักษ์ส่งสารสลายไปในฝูงชน เหมิงหู่ยักไหล่น้อยๆ พักนี้เขาได้รับคำสั่งบัญชาการองครักษ์ของกงอิ้นให้กระทำการไล่สังหารตอบโต้เหยียลี่ว์ฉีที่หลบหนีเพราะบาดเจ็บ ด้านหนึ่งด้วยคิดจะเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ อีกด้านหนึ่งด้วยให้เหยียลี่ว์ฉีเหน็ดเหนื่อยจากการหลบหนีเอาชีวิตรอดจนไม่คิดจะไปก่อกวนกงอิ้นอีก
มองสถานการณ์ยามนี้ เหยียลี่ว์ฉีหลบหนีเอาชีวิตรอดแทบไม่ทัน เขากำลังจะออกจากเขตซีเอ้อแล้วตะบึงเส้นทางตรงสู่ต้าฮวง เมืองเป่าฟั่นเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด
สายตาของเหมิงหู่กวาดผ่านกลางฝูงชน…เอ๊ะ เพียงเวลาเอ่ยวาจาไม่กี่ประโยค เจ้านายกับฝ่าบาทหายไปเสียแล้วหรือ?
…
——