“เหมือนจะ…มีตัวอะไรสักอย่าง!” นางกล่าวอย่างตกตะลึง
“เจ้าหูฝาด” กงอิ้นมีท่าทีไม่ใส่ใจยิ่งนัก
เสียง สวบ! เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกคล้ายกับว่ามีลมหอบหนึ่งแฉลบผ่านข้างกายไป นางยื่นมือออกไปไขว่คว้า จนลูบเจอสิ่งที่มีขนรุงรังอะไรสักอย่าง ขณะที่นางกำลังจะคว้าออกมาด้านนอก เบื้องหน้าก็มีใบไม้กลุ่มหนึ่งที่เด้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใบไม้ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของนางเสียจนดวงตาของนางเจ็บปวด
จิ่งเหิงปัวคว้าใบไม้ออกมาจากดวงตาด้วยท่าทางโกรธเคืองแล้วกล่าวว่า “มีตัวอะไรสักอย่าง!”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิดลงแล้ว แสงสว่างยามพลบค่ำถูกกลบกลืนด้วยใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นและใบหน้าของทั้งสอง แม้เป็นเพียงลวดลายมืดมิดกลุ่มหนึ่ง ทว่าในดวงตาของจิ่งเหิงปัวคล้ายแกว่งไกวด้วยเงาดำนับไม่ถ้วน นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน
“ป่านี่อยู่ไม่ได้! มีตัวอะไรสักอย่าง! มีผี!” นางกรีดร้องเสียงแหลมว่า “เราออกไปกันเถอะ!”
คำตอบของกงอิ้นคือการตบหลังศีรษะของนางครั้งหนึ่งเหมือนตบสุนัขตัวน้อยที่เกิดโง่เง่าขึ้นมา
ในพงไพรพลบค่ำ คล้ายกับมีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังคิกๆ คักๆ แว่วเข้ามา
“ออกไปได้หรือไม่” จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้เอาเรื่องกับพฤติกรรมเสียนิสัยของกงอิ้น นางคว้ารองเท้าส้นสูงที่แกว่งไกวในมือของเขาเอาไว้พลางออดอ้อนว่า “ป่านี้มีผีจริงๆ นะ!”
กงอิ้นจ่อส้นของรองเท้าส้นสูงไว้ตรงปากของนาง
“ส้นรองเท้านี้แหลมยิ่งนัก” เขาเอ่ย
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่เอารองเท้าไปให้เขาถือ เอาไว้ในมือตนเองอย่างน้อยก็ยังเป็นอาวุธสังหารได้ชิ้นหนึ่ง!
ไม่มีอาวุธสังหาร แต่นางก็ยังมีพลังพิเศษ นางสูดลมหายใจ สายตาทอดมองลงไปบนเศษหินก้อนหนึ่งไม่ไกลนักบนพื้น
ขนาดกำลังพอดี ด้วยสภาพฟื้นคืนบ้างแล้วของนางในตอนนี้ คงจะพอไหว…
“เอาเถิด ไปก็ไป เกิดเรื่องขึ้นมาเจ้าก็ต้องปกป้องข้านะ ไม่อย่างนั้นหากข้าตายแล้ว เจ้าคงต้องถูกมัดไว้ในตาข่ายเดียวกันกับซากศพ” สายตาของจิ่งเหิงปัวทอดมองลงบนหินก้อนนั้นเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยจัง เราหยุดพักสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจา จิ่งเหิงปัวหยุดลงอย่างคิดเองเออเอง ร่างพิงอยู่กับริมต้นไม้ต้นหนึ่ง ตำแหน่งนั้นพอดีเสียจนทำให้กงอิ้นมองไม่เห็นก้อนหินนั้น แน่นอนว่าหากเขาขยับศีรษะสักหน่อย ก็ยังคงมองเห็นได้
เพื่อไม่ให้เขาขยับศีรษะ จิ่งเหิงปัวก็ได้แต่ขยับปากทำลายสมาธิของเขา
“ข้าเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่องแล้วกัน กาลก่อนมีเจ้าลิงน้อยตัวหนึ่ง เขามีศิษย์น้องชายสามคน คนแรกนามว่าราชาปีศาจกระทิง คนสองนามว่าเด็กแดง คนสุดท้ายนามว่าเทพจื่อสยา…”
สายตาทอดลงบนก้อนหิน ก้อนหินลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดีมาก ผ่านขั้นแรก!
“เจ้าลิงได้กล่องแสงจันทร์ใบหนึ่งมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวจ้องมองหินก้อนนั้นแล้วกล่าวต่อไปว่า “กล่องวิเศษกล่องนี้สามารถพาคนย้อนกลับไปในอดีตเพื่อมองเห็นผู้ที่มีบุญกรรมสามชาติภพกับตน…”
ก้อนหินเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ดีมาก ผ่านขั้นที่สอง!
“เจ้าลิงใช้กล่องแสงจันทร์ย้อนกลับไปในอดีต พบว่าตนเองเป็นเพื่อนร่วมหอพักสามชาติภพของราชาปีศาจกระทิง…”
“สิ่งใดคือเพื่อนร่วมหอพัก”
“คือผู้ที่นอนด้วยกัน” จิ่งเหิงปัวตอบโพล่งมา ไอ้หยา ก้อนหินขยับออกมาครึ่งเมตรแล้ว!
กงอิ้นคล้ายจะ “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง เสียงนั้นมีความนัยลึกล้ำอยู่บ้าง แต่ว่าขณะนี้จิ่งเหิงปัวสนใจเสียที่ไหน
“เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพแรกนามว่าจวินเคอ เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพที่สองนามว่าไท่สื่อหลัน เป็นยัยผู้ชาย เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพที่สามนามว่าเหวินเจิน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร วลีเด็ดของนางคือ ‘เนื้อคู่ที่ดีเหมือนวัตถุดิบอาหารชั้นดี’ ใช้วัตถุดิบมากไปสิ้นเปลืองกำลัง ต้องพิถีพิถันรสชาติน้ำเนื้อดั้งเดิม กินเรียบเกลี้ยงจานว่องไวไปผุดไปเกิดไวว่อง”
“สิ่งใดคือเนื้อคู่ที่ดี”
“ผู้ที่เจ้าอยากร่วมหลับนอนด้วยคนนั้น…อย่าส่งเสียงสิ อย่ารบกวนจินตนาการของข้า” จิ่งเหิงปัวบังคับก้อนหินเลี้ยวครั้งหนึ่งอ้อมไปด้านหลังของทั้งสองคน
“อ้อ”
“เจ้าลิงมองดูทั้งสามชาติภพของราชาปีศาจกระทิงจนจบแล้วก็ได้พลัดพรากจากเขา ยามที่เจ้าลิงกำลังคิดจะมองดูสามชาติภพของเด็กแดงก็ได้พานพบสตรีนางหนึ่งนามว่าเจินหวน เจินหวนเอ่ยกับเขาว่าเด็กแดงคืออันหลิงหรงศัตรูเก่าแก่ในชาติภพก่อนของเขา ชอบสวมใส่อาภรณ์สีขาวและสวมใส่ไข่มุก จิตใจเ**้ยมโหดวรยุทธ์ไร้จำกัด ซ่อนเร้นตัวตนซุ่มโจมตีอยู่ข้างกายเขาเพื่อวันหนึ่งวันใดจะได้กินเนื้อของเขา หากอยากเอาชนะเด็กแดงย่อมต้องร่วมมือกับเทพจื่อสยา…”
จิ่งเหิงปัวตั้งใจพูดจามั่วซั่ว หินก้อนนั้นเข้าใกล้สองคนแล้ว!
กงอิ้นฟังอย่างตั้งใจไม่เบา เอ่ยติเตียนว่า “นิทานเรื่องนี้ของเจ้าคล้ายจะมั่วซั่วไปสักหน่อย”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร จุดสุดยอดของนิทานอยู่ภายหลังต่างหาก” จิ่งเหิงปัวกลอกตาหนึ่งครั้ง อืม ก้อนหินพลิกเล็กน้อย ด้านแหลมคว่ำลง
“ยามนี้เทพจื่อสยากลับชาติมาเกิดใหม่ในห้าร้อยปีก่อน เจ้าลิงใช้กล่องแสงจันทร์ย้อนกลับไปในห้าร้อยปีก่อน ดึงกระบี่จื่อชิงที่เทพจื่อสยาเก็บรักษาไว้ออกมา เทพจื่อสยายินยอมสมรสกับเจ้าลิงแล้วกลับไปปราบเด็กแดงด้วยกัน…”
“เจ้าเพิ่งเอ่ยว่าเทพจื่อสยาคือศิษย์น้องชายของเจ้าลิง” กงอิ้นฟังแล้วมีช่องโหว่จึงเอ่ยทักขึ้นมา
“ข้าได้เอ่ยว่าเจ้าลิงเป็นเพศผู้หรือ? อีกอย่างต่อให้เป็นบุรุษเพศ พวกเขาจะเป็นเกย์กันมิได้หรือ?”
จิ่งเหิงปัวฉวยโอกาสนี้หันหน้าไปถลึงตาใส่เขา เมื่อกลอกสายตา อื้อหือ! ก้อนหินเคลื่อนมาถึงฝั่งขวาด้านหลังของนางแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กงอิ้นพบเจอ นางหันหน้ากลับมาทันที
“เจ้าไม่รู้ว่าเกย์คืออะไรใช่ไหมเล่า” เพื่อทำลายสมาธิของเขา นางก็ชิงตอบเสียเองว่า “ก็คือบุรุษรูปร่างหน้าตางดงามสองคน ที่ร่วมรสร่วมรักด้วยกัน อืม ดั่งเช่นเจ้ากับเหยียลี่ว์ฉี…”
พอนึกถึงภาพกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีมีอะไรกัน สาววายขั้นสูงสุดในโลกปัจจุบันอย่างจิ่งเหิงปัวก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายจนเกือบจะลืมหินก้อนนั้นเสียแล้ว
ก้อนหินมาถึงด้านหลังข้างกายนาง จิ่งเหิงปัวใช้สายตามองอีกไม่ได้แล้วจึงใช้ความคิดเคลื่อนย้ายก้อนหินแทน นางหลับตาลงพร้อมกับควบคุมก้อนหินให้เคลื่อนไหวไปทางกงอิ้นทีละเล็กละน้อย
“…ถึงครึ่งทางเทพจื่อสยาพลัดหลงอยู่ในทะเลทราย ถูกอันหลิงหรงที่ชอบสวมอาภรณ์สีขาวและชอบสวมไข่มุกลักพาตัวไปบีบบังคับให้สมรสด้วย เจ้าลิงขี่เมฆาห้าสีมาช่วยจื่อสยา ช่วงเวลาสำคัญ…”
ก้อนหินเฉียดผ่านศีรษะของนางดังฟิ้ว อีกเดี๋ยวจะถึงเหนือศีรษะของกงอิ้น จากนั้นก็จะทุบจนเขาสลบไสล นางก็จะหนีไปจากป่าผีสิงแห่งนี้ได้ รอให้ไปจากที่นี่แล้วเขายังจะเอ่ยอะไรได้อีก? งานใหญ่สำเร็จลุล่วง!
“เจ้าลิง!” พอถึงช่วงเวลาสำคัญกงอิ้นตะโกนขึ้นมาทันใด
“อ๊ะ?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามาโดยจิตสำนึก ความคิดพลันหยุดแล่น
จากนั้นนางจึงรู้ว่าแย่แน่ แต่ว่าไม่ทันการเสียแล้ว
เพี้ยะ!
วัตถุสีดำขลับก้อนหนึ่งซึ่งด้านแหลมคว่ำลงร่วงจากฟ้าหล่นใส่ศีรษะนางเสียงดังกังวานแจ่มชัด
เมฆาห้าสีล่องลอยเอย เคียงคู่ดวงดาราเอย…
ตุ้บ!
…
กงอิ้นก้มหน้าลงมองจิ่งเหิงปัวที่ถูกก้อนหินที่นางเองควบคุมร่วงใส่จนล้มลง
“เจ้าลิงเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเล่านิทานได้ย่ำแย่ยวดยิ่งนัก”
ผ่านไปชั่วครู่เขาคิดแล้วใช้ปลายเท้าเขี่ยจิ่งเหิงปัว
“ส่วนนามว่าอันหลิงหรงนามนี้ ข้าไม่ชอบ”
…
“…โอ๊ยมารดาข้าเถอะ ไอ้ติ๊งต๊องตัวไหนเขวี้ยงหินใส่ข้า!”
ชั่วพริบตาแรกที่จิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าผาก นางพาลด่าออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรอง หลังจากด่าเสร็จความคิดโลดแล่นเช่นเดิมแล้วจึงคิดเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้
นางรีบหุบปากแน่นพลางลืมตาขึ้นมา
มีเสียงเฉื่อยเนือยสงบเงียบเสียงหนึ่งถามนางว่า “ไอ้ติ๊งต๊องหมายความว่ากระไร”
“เฉลียวฉลาดสมบูรณ์พร้อม” นางตอบโต้รวดเร็วยิ่ง
กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจาแล้ว จิ่งเหิงปัวจึงกวาดตามองรอบด้านครู่หนึ่ง แล้วเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
ตาข่ายเหมือนจะหายไปแล้ว ตนเองอยู่ในห้องแห่งหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ห้องเล็กมาก กว้างเพียงแค่สองถึงสามตารางเมตร ใต้ร่างกายคือใบไม้แห้งกองหนา ทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงสีดำ บนกำแพงคล้ายมีเส้นสีขาวเทาหลายเส้น
ที่นี่คือที่ไหน
นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สลบไปนานเท่าไร ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ กงอิ้นยังได้รับบาดเจ็บ จะพานางเดินออกมาจากป่าได้อย่างไร ซ้ำยังหาห้องอย่างนี้เจออีกด้วยเหรอ?
แล้วตาข่ายที่ว่ากันว่าปลดแก้ไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นล่ะ?
กงอิ้นทำได้อย่างไร? เขามีถุงเฉียนคุน[1]เหรอ? พลังเคลื่อนย้ายจักรวาล[2]เหรอ? ย่นพสุธาพันลี้เหรอ? ถุงจักรวาล[3]เหรอ? หรือมีแหวนสะสมพลังเวทย์?
กงอิ้นนั่งปรับปราณโดยหันหลังให้นาง จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ในทันทีว่าใต้ร่างของตนเองแปลกประหลาดเล็กน้อย นางขยับกายนิดหน่อยก็พบทันทีว่ามีวัตถุอะไรสักอย่างดึงรั้งไว้ เมื่อก้มหน้ามอง เอ๋ เชือกตาข่ายเหรอ?
ตาข่ายยังอยู่เหรอ?
เช่นนั้นร่างกายของสองคนทำไมไม่ได้มัดอยู่ด้วยกัน?
นอกจากนั้นแล้ว รูปร่างของห้องนี้คล้ายเกิดความเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของนางเช่นกัน สี่ทิศแว่วเสียงเคลื่อนไหวซู่ๆ ระลอกหนึ่ง กลิ่นอายเขียวฝาดเข้มข้นของต้นไม้ใบหญ้าหอบหนึ่งพวยพุ่งมา
“เจ้าติ๊งต๊อง อย่าขยับมั่วซั่ว”
จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “…”
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ สามเฮือก นางก็กลั้นความใจร้อนอยากจะควบคุมวัตถุเขวี้ยงใส่คนอีกครั้งไม่ไหว พอเงยหน้ากวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าทั้งสี่ด้านไม่ใช่ผนังแต่เป็นตาข่าย ตาข่ายถูกกางออกกลายเป็นทรงสี่เหลี่ยม กำแพงสีเขียวคล้ำเหล่านั้นคือใบไม้ ใบไม้พันเกี่ยวเชือกตาข่ายขัดขวางลมและแสงสว่างไว้แน่นหนา บดบังกระทั่งทัศนวิสัย
เหนือศีรษะคล้ายเป็นกิ่งก้านแห้งอวบแข็งแรงของต้นไม้แก่พันปีต้นหนึ่งซึ่งกลายเป็นหลังคา รองเท้าส้นสูงของนางตรึงอยู่ที่มุมด้านบน ขึงสองมุมของเชือกตาข่ายให้กางออก สองมุมที่เหลือแต่ละมุมใช้กิ่งไม้แหลมคมแข็งแรงสองกิ่งขึงเอาไว้
นางกะพริบตาปริบๆ นึกไม่ถึงว่ารองเท้าส้นสูงยังนำไปใช้สอยแบบนี้ได้
สี่มุมด้านล่างกลับใช้ก้อนหินก้อนใหญ่สี่ก้อนทับเอาไว้ แบบนี้ตาข่ายทั้งผืนก็กลายเป็นห้องตาข่ายคลุมด้วยใบไม้ห้องหนึ่ง ตำแหน่งอาจเลือกอยู่ใต้ต้นไม้โบราณต้นใดต้นหนึ่ง
ใต้ร่างกายยังมีเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มคล้ายยังมีลำธารสายหนึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง นับเป็นสถานที่ดีงามน่าอัศจรรย์เสียจริง
ต้องกล่าวว่ากงอิ้นดูท่าทางสูงส่งยิ่งใหญ่เลิศล้ำ ยามลงมือเอาจริงขึ้นมาทั้งมีประสิทธิภาพและมีสติปัญญายิ่งนัก มีเพียงฟ้าที่รู้ว่าเขาคิดค้นห้องตาข่ายนี้ได้อย่างไร แบบนี้ทั้งกันลมได้ ทั้งหลุดพ้นจากการบีบรัดของตาข่าย ซ้ำยังอำพรางได้ดีเยี่ยม สัตว์ร้ายในป่ายากจะหาพบเจอ
จิ่งเหิงปัวทดสอบเชือกตาข่าย ประสิทธิภาพการยืดหดของตาข่ายนี้ดีมาก แต่ตอนนี้ก็ยืดออกถึงขีดจำกัดแล้ว ตาตาข่ายทำได้มากสุดเพียงยื่นกำปั้นหนึ่งออกไปเท่านั้น อยากจะพ้นจากการมัดยังเป็นไปไม่ได้
แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ เทียบกับการบุกป่าฝ่าดงยากลำบากในครึ่งชั่วยามก่อน จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปชั่วขณะ
น่าเสียดายว่าห้องตาข่ายนี้เตี้ยไปหน่อย ไร้หนทางยืดตัวตรง นางต้องอยู่ในสภาวะที่ร่างกายเป็นอิสระและยืดตัวตรงจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายหายตัวได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคงได้เป็นอิสระแล้ว
เสียงท้องกำลังร้องโครกคราก จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ห้องตาข่ายนี้แม้ว่าจะดี แต่จำกัดการเคลื่อนไหวร่างกาย แบบนี้จะไปล่าสัตว์หรือเก็บผลไม้ป่าที่สามารถกินได้ได้อย่างไร? รู้อย่างนี้เมื่อครู่ฉวยโอกาสเก็บมาบ้างตั้งนานแล้ว
“นี่” นางใช้ปลายเท้าเขี่ยหลังของกงอิ้นแล้วกล่าวว่า “มีหนทางหาของกินบ้างหรือไม่”
กงอิ้นเบี่ยงกายเล็กน้อย หางตาหลุบต่ำลงครั้งหนึ่ง มองเห็นหลังเท้าหดเกร็งของนางขาวใสนุ่มลื่นราวหิมะ เล็บเท้าทาสีแดงสว่างในถุงเท้าโปร่งแสงโผล่ออกมารำไร สีสดใสจนคล้ายเปลือกหอยสีแดงที่ถูกขัดเงา แสงสลัวเลือนรางกับถุงเท้าเบาบางบดบังแนวสายตา ทว่ายิ่งเพิ่มความเย้ายวนด้วยเหตุนี้
การแต่งกายและท่วงท่าเช่นนี้ หากอยู่ในต้าฮวงคงจะสามารถลงโทษนางในข้อหา ‘กำเริบเสิบสานไร้ความเคารพ’ ได้ข้อหนึ่ง
เขาไม่ได้เอ่ยวาจา วัตถุทรงกลมลูกหนึ่งในมือเด้งออกมาเพียงครั้ง
“โอ๊ย” หลังเท้าของจิ่งเหิงปัวถูกเขวี้ยงวัตถุใส่จนต้องรีบเร่งหดเท้า ตอนนี้จึงพบว่ามีผลไม้กลิ้งอยู่บนพื้น นางหยิบขึ้นมาเช็ดเปลือกผลไม้ พอกัดลงไปจึงส่งเสียง “โอ๊ย” อีกครั้ง
ฝาดชะมัด!
จิ่งเหิงปัวทำหน้ายู่ จะอ้วกก็เสียดายแต่จะโยนทิ้งก็ลังเล มองเห็นในมือกงอิ้นไม่มีผลไม้อย่างอื่นแล้ว ของกินคงไม่ใช่สิ่งนี้หรอกมั้ง?
“เจ้าติ๊งต๊อง กินไม่กินแล้วแต่เจ้า” เขายังคงใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยทำให้คนอื่นโกรธแทบตายเสียงนั้น
“เจ้าสิเจ้าติ๊งต๊อง! ทั้งตระกูลเจ้านามว่าเจ้าติ๊งต๊อง!” จิ่งเหิงปัวกัดผลไม้อย่างรุนแรงคำหนึ่งด้วยอดรนทนไม่ได้ ดุจดั่งสิ่งที่กัดลงไปคือใบหน้าของกงอิ้นพลางเอ่ยว่า “พี่ชื่อว่าจิ่งเหิงปัว! คำว่าเหิงจากยลข้างเห็นยอดผา ยลหน้าเห็นเทือกเขา คำว่าปัวจากคลื่นใหญ่โค้งเว้า!”
กล่าวไปพลางเบี่ยงกายดันหน้าอก ใช้เส้นละติจูด ลองติจูดจริงแท้แสดงสิ่งที่เรียกว่าความแท้จริงของคลื่นใหญ่และเทือกเขา
น่าเสียดายว่าสายตาหวานคล้ายทำให้คนตาบอดดู กงอิ้นไม่ได้เหลือบมองแม้แต่ปราดเดียว เขากำลังกินผลไม้
กลิ่นหอมหวานตลบอบอวลออกมา ในอากาศคล้ายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นน้ำผึ้งและกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์หอบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองดูผลไม้อวบอิ่มกลมลื่นสีม่วงในมือเขาอย่างสงสัย แล้วมองดูผลไม้ผอมแกร็นสีเขียวในมือตนเอง ฉับพลันก็ย่นจมูกเข้าไปดมกลิ่น ฉิบ ไม่มีกลิ่นหอมแต่มีกลิ่นฝาดเจือจางหอบหนึ่ง
ผลไม้ที่เขากินมีกลิ่นอายแบบนี้ ต้องหวานมากแน่ๆ!
ไอ้เลวแบ่งผลไม้ฝาดให้นาง ส่วนตนเองกินผลไม้หวานเหรอ?
ซ้ำยังไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวแล้วผลไม้มาจากไหน?
จิ่งเหิงปัวจ้องเขาอย่างสงสัย มองเห็นกงอิ้นกินผลไม้เสร็จแล้วฉวยมือดีดเมล็ดผลไม้ลอดผ่านช่องว่างออกไป เงาดำกะพริบวูบฉับพลันในช่องว่าง รอให้กงอิ้นหดมือกลับมาในฝ่ามือมีผลไม้เพิ่มมาหลายลูกอีกครั้ง มีผลไม้สีม่วง ผลไม้สีเหลืองและผลไม้สีเขียว
เบื้องนอกใบไม้ดังซู่ๆ คล้ายมีตัวอะไรลอยผ่านเหนือศีรษะ…
จิ่งเหิงปัวขนลุกชันขึ้นมาทั่วร่าง คำว่า “มีผี” คำหนึ่งจะโพล่งออกมาจากปากอีกครั้ง
กงอิ้นโยนผลไม้สีเหลืองหนึ่งผลมาอุดเสียงร้องตกใจของนางไว้
ผลไม้ลูกนี้ก็ไม่ได้อร่อยอะไรนักหรอก จิ่งเหิงปัวจ้องผลไม้หอมหวานของเขาอยากกินจนน้ำลายไหลน่าเสียดายว่าลูกไม้ใช้สายตาบ่งบอกเป็นนัยนี้ไม่ได้มีผลต่อมหาเทพกงแม้แต่น้อย จิ่งเหิงปัวได้แต่ดมกลิ่นหอมที่ทำให้คนลุ่มหลงนั้นพลางแทะผลไม้ฝาดของตนเงียบเชียบด้วยท่าทีแอบโกรธเคือง
แต่ว่านางไม่ได้ถอดใจ
ในกลุ่มสี่คนของสถาบันวิจัย จิ่งเหิงปัวเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีนิสัยแปลกประหลาดที่สุด นางหัวไวกว่าจวินเคอ แต่ไม่หัวแข็งเหมือนไท่สื่อหลัน และไม่ได้คิกขุอ่อนหวานเท่าเหวินเจิน นางเจ้าชู้แต่ไม่สำส่อน นางขี้เกียจกลัวเกิดเรื่อง แต่ไม่ได้เกียจคร้าน นางเรื่อยเฉื่อยไม่ใส่ใจ แต่ละเอียดรอบคอบ นางดูคล้ายตามใจตน แต่รู้จักเทียมทันสถานการณ์ นางไม่ใจร้อน แต่ไม่ขาดความกล้าหาญ ในยามคับขันแน่นอน นาง…ใช้คำวิจารณ์ของไท่สื่อหลันกล่าวได้ว่า กระบอกหมื่นดอกไม้หลายสีสัน ปั้นกลมบีบแบนดั่งดินน้ำมัน
พูดง่ายๆ ก็คือไร้กฎเกณฑ์
เพราะว่าไร้กฎเกณฑ์ นางจึงมีนิสัยยืดหยุ่นสูง ไม่เหมือนไท่สื่อหลันที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวตรงไปตรงมา และไม่เหมือนจวินเคอที่ระแวงรอบคอบระมัดระวังทุกฝีก้าว นางจะทดสอบเส้นตายความอดทนของผู้อื่น ก่อนจะถึงเส้นตายจะทำอย่างไรก็ได้ แต่พอถึงเส้นตายหดกลับฉับพลัน
เส้นตายของกงอิ้น นางอยากจะสัมผัสสักหน่อย
“กรี๊ด! มีผี!” นางกระโดดขึ้นมาโผเข้าสู่อ้อมกอดของกงอิ้นทันที
——