รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าดังกึกกัก จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงรถม้ารอบด้านค่อยๆ หายไปตรงทางแยก ดูท่าเหยียลี่ว์ฉีคงใช้วิธีการเดิมอีกครั้งคือใช้เป้าหมายน่าสงสัยคล้ายคลึงกันมากมายมาทำให้กงอิ้นไร้หนทางแน่ใจเส้นทางของนาง
แต่นางกลับรู้สึกว่า มหาเทพกงมีพลังมองทะลุเบาะแสในม่านหมอกโดยฉับพลันอะไรแบบนั้น ซ้ำยังมีความสามารถในการโจมตีจุดศูนย์กลางโดยตรง เหยียลี่ว์ฉีสิ้นเปลืองความคิดมากมายขนาดนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเสียแรงเปล่า
รถม้าเคลื่อนไปได้ประมาณหนึ่งเค่อ ในความรู้สึกนางผ่านทะลุประตูมากมาย มีผู้สืบเท้าขึ้นมาสอบถามอย่างต่อเนื่องแต่ถอยออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ฟังจากน้ำเสียงของผู้สอบถามคล้ายเป็นทหาร ฟังจากปฏิกิริยาโต้ตอบของทหาร บุคคลในรถม้าถ้าไม่ใช่เศรษฐีคงต้องเป็นผู้สูงศักดิ์
จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงประตูปิดลงจากด้านหลังตนอย่างแน่นหนัก เสียงดังแอ๊ดอ๊าดหนักอึ้งแบบนั้นทำให้นางนึกถึงประตูพระราชวังโบราณหนาหนัก…คงจะไม่ได้มาถึงพระราชวังแห่งกษัตริย์เทียนหนานหรอกมั้ง
ในที่สุดรถก็หยุดลง เหยียลี่ว์ฉีจะอุ้มนางลงไปแต่สตรีในห้องโดยสารยกมือห้ามเพียงครั้ง เอ่ยวาจาเจือด้วยอารมณ์หึงหวงเล็กน้อยว่า “เหตุใดจะต้องรบกวนเจ้าอุ้มนางไป เปิ่นหวัง[1]จะเรียกข้ารับใช้ในวังมาปรนนิบัติ”
จิ่งเหิงปัวรู้ได้ทันทีว่านางคือใคร แท้จริงแล้วนางคือกษัตริย์เทียนหนานผู้อาศัยความงามและกลอุบายได้ตำแหน่งกษัตริย์องค์นั้นในตำนานของเขตซีเอ้อ
กษัตริย์เทียนหนานหิ้วกระโปรงไว้ลงจากรถด้วยท่าทางอรชรอ้อนแอ้น ทั้งๆ ที่เบื้องล่างรถมีผู้หมอบรอให้นางเหยียบหลังทว่านางไม่ขยับเขยื้อน เม้มปากยิ้มมองไปยังเหยียลี่ว์ฉี
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มกระโดดลงจากรถม้าแล้วยื่นมืออกไปให้นาง
ครานี้กษัตริย์เทียนหนานจึงลงจากรถมาอย่างพอใจ ด้านหนึ่งรับสั่งให้คนพาจิ่งเหิงปัวลงจากรถ อีกด้านหนึ่งเอ่ยว่า “องครักษ์แห่งวังหลวงประจำการสามร้อยนาย จะต้องเฝ้าประตูวังให้ดีทั้งทิวาแลราตรี จับกุมผู้บุกรุกพระราชวังทุกคน”
“ฝ่าบาท” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มเตือนว่า “องครักษ์สามร้อยนายไม่ต้องเอ่ยว่ามิอาจจับเป็น เกรงว่าเสริมกำลังทั้งหมดเข้าไปยังไม่พอขัดขวางฝีก้าวของเขา”
“ร้ายกาจเยี่ยงนั้นเชียว” นัยน์ตาของกษัตริย์เทียนหนานทะลักล้นแสงธารสุกสกาวออกมา ไม่รู้สึกหวาดกลัวทว่ายิ่งเพิ่มพูนด้วยความสนใจหลายส่วนเอ่ยว่า “เช่นนั้นเพิ่มกำลังองครักษ์วังหลวงทั้งหมดคอยรับมือ…ทว่าเฝ้าประตูแน่นหนาเกินไปพาให้เขาตกใจเขาจนหนีไปจะทำเยี่ยงไร”
“เท่าที่ข้ารู้” เหยียลี่ว์ฉีมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งเอ่ยว่า “เรื่องเช่นนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น”
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง กระหวัดริมฝีปากยิ้มครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “จริงแท้แน่นอน รู้ว่าเจ้าอยู่เขาย่อมต้องมาแน่”
เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้ว แม้รู้ว่าวาจานี้มิผิดแน่ เขาส่งตัวแทนต่อกรกับคนที่กงอิ้นส่งไปไล่ล่าสังหารที่ชายแดนซีเอ้อ ตนเองหลบพักผ่อนรักษาบาดแผลอยู่ในวังของกษัตริย์เทียนหนานที่ซีเอ้อ เรื่องนี้ถูกกงอิ้นพบเข้าโดยไม่ตั้งใจเขาย่อมไม่ปล่อยไปแน่
เพียงแต่ยามวาจาธรรมดานี้เอ่ยออกมาจากปากของจิ่งเหิงปัว ไฉนจึงรู้สึกว่าแปลกประหลาดเยี่ยงนี้เล่า…
ความรู้สึกนี้มิใช่เขาเพียงผู้เดียว
กษัตริย์เทียนหนานชำเลืองตามองสีหน้าแปลกประหลาดของจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งแล้วชำเลืองมองเหยียลี่ว์ฉีปราดหนึ่ง ขมวดหัวคิ้วขึ้นมา เอ่ยถามว่า “วาจานี้ของเจ้าหมายความว่ากระไร”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะอย่างชั่วร้าย แบะริมฝีปากเพียงครั้งกล่าวว่า “ท่านถามเขาสิ แต่ข้าว่าเขาคงจะไม่บอกท่านหรอก ฮิๆๆ…”
แววตาของเหยียลี่ว์ฉีล่องลอยมา เจือด้วยความครุ่นคิดพิจารณาหลายส่วน
สำหรับองค์ราชินีองค์นี้ เขายอมรับว่าตนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง นางแลคล้ายเลอะเลือนโง่เขลาแท้จริงแล้วในสมองมีความคิดบรรเจิดเลิศล้ำทุกสิ่ง หากไม่ระวังเพียงน้อยย่อมจะเข้าทางของนาง ยังมิรู้ว่าวาจานี้ของนางในยามนี้หมายความว่ากระไรทว่าคิดแล้วคงมิใช่ความหมายดีแต่อย่างใด
เขายิ้มน้อยๆ เพียงครั้ง เอ่ยกับกษัตริย์เทียนหนานว่า “ต้าหวัง[2] สตรีนางนี้ดูท่าทางเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มิสู้ให้ข้าคุมตัวนางแทนท่าน…”
วาจาของเขายังมิทันสิ้น สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานก็เปลี่ยนไป
จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าท่าทางมองไว้ในนัยน์ตาก่อนแล้ว ก้มศีรษะด้วยท่าทีวุ่นด้วยความยินดีปรีดาไม่น้อยไปกว่าขวยเขิน ใบหน้าเปี่ยมด้วยบทพูดแทรกว่า “ข้าน่ะรู้ว่าเจ้าต้องการเช่นนี้ เจ้านี่มันร้ายเสียจริง”
กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยโดยพลันดังคาดการณ์ว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีมิต้องหักโหม สตรีนางนี้ข้าย่อมคุมตัวนางด้วยตนเอง เจ้าจงพักผ่อนให้เต็มที่เถิด”
เหยียลี่ว์ฉีชำเลืองมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง นางชม้ายสายตายิ้มแย้มมาให้เขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมมิรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของต้าหวังแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีกลับเด็ดขาดตรงไปตรงมา คำนับด้วยท่วงท่าสง่างามครั้งหนึ่งแล้วหันกายเดินจากไป
แขนเสื้อกว้างสีเงินเหลือบดำของเขาเยื้องกรายร่อนระบำใต้แสงอาทิตย์อัสดง สายตาของกษัตริย์เทียนหนานจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างลุ่มหลง
จิ่งเหิงปัวกลับจ้องมองดวงพักตร์ด้านข้างของกษัตริย์เทียนหนานกล่าวแช่มช้าทันทีว่า “ชอบเขาหรือ”
เรือนร่างของกษัตริย์เทียนหนานสะท้านน้อยๆ เพียงครั้ง แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง
“ชอบเขา แต่รู้สึกว่าคนผู้นี้ยากจะครอบครอง” จิ่งเหิงปัวคล้ายไม่สนใจความเย็นชาของนาง ห่วงแต่พูดจาให้ตนเองฟังว่า “เขาทั้งสง่างาม เอาใจใส่ มีมารยาท ละเอียดรอบคอบแลมีเสน่ห์ลึกลับ เพียงแต่ความอบอุ่นเอาใจใส่นั้นคล้ายปฏิบัติต่อใครก็แบบเดียวกัน ท่านหาสิ่งพิเศษที่เขาปฏิบัติต่อท่านไม่พบ รอบกายเขาคล้ายปกคลุมด้วยม่านหมอกเบาบาง ท่านมองได้ไม่ชัดเจนแลรู้สึกว่าตนเองไร้หนทางเข้าชิดใกล้อย่างแท้จริง”
กษัตริย์เทียนหนานเรือนร่างสั่นสะท้านอีกครั้ง ผินหน้าจ้องมองนาง
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่งในใจรู้แล้วว่าบทของนิยายรักน้ำเน่ามีประโยชน์ ผู้ชายแบบเหยียลี่ว์ฉีจะมาหวั่นไหวกับผู้หญิงแบบกษัตริย์เทียนหนานง่ายๆ เสียที่ไหน เป็นเพียงการหลอกใช้เท่านั้นแต่กษัตริย์เทียนหนานเป็นผู้หญิงย่อมมีจุดอ่อนไหวของผู้หญิงจึงสับสนกระวนกระวายเป็นธรรมดา
นางสับสนก็จัดการได้โดยง่ายแล้ว
“บุรุษเช่นนี้เอ่ยว่าจัดการได้ยากย่อมยาก” นางทำเสียงจิ๊จ๊ะถอนหายใจเสียงหนึ่งคล้ายเสียดายกล่าวต่อไปว่า “เอ่ยว่าจัดการได้ง่ายย่อมง่าย”
สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานพินิจนางอย่างไม่แน่ใจ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องรักใคร่ชายหญิงเป็นเรื่องที่ผู้อื่นช่วยได้เสียที่ไหน หากเจ้าเอ่ยวาจาพิกลพิการเดาจิตเดาใจข้าอีกครา ข้าจะกรีดใบหน้าของเจ้าให้ด่างพร้อย ส่งเจ้าไปเป็นนางบำเรอในค่ายทหาร!”
“คนเช่นข้านี้เยื้องกรายมาถึงเบื้องหน้าท่าน ท่านไม่รีบเร่งเรียนรู้ดูแลให้เต็มที่ซ้ำยังเอ่ยวาจาเหลวไหลโหดร้ายเหล่านี้ด้วยเหตุใด” จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วเรียวยาวกล่าวต่อว่า “สิ้นเปลืองโอกาสสิน่าอับอาย เข้าใจหรือไม่”
“โอกาสหรือ” กษัตริย์เทียนหนานมองนางด้วยหางตา
“ท่านว่าข้าเป็นเช่นไร” จิ่งเหิงปัวผลิแย้มรอยยิ้มเฉิดฉายให้นาง
กษัตริย์เทียนหนานจ้องนางชั่วครู่ แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งอย่างไม่สมัครใจยวดยิ่งเอ่ยว่า “พอดูได้ ธรรมดา”
“ระบำของข้าเมื่อครู่ท่านย่อมมองเห็นแล้ว เป็นเช่นไร”
“หากมิใช่มองเห็นระบำของเจ้าเมื่อครู่ ยามนี้เจ้าคงจะต้องซากศพเกลื่อนพื้นดินเสียแล้ว”
“ใช่แล้ว ต้าหวังปรีชาสามารถ ท่านค้นพบความล้ำค่าของระบำนั้นเช่นกันใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวต่อว่า “เช่นนั้น สิ่งอื่นข้ามิกล้าเอ่ย เอ่ยเพียงว่าอาศัยรูปร่างรูปโฉมของต้าหวังเองหากได้เรียนระบำนั้นของข้า มิต้องเอ่ยถึงบุรุษรูปงามเพียงผู้เดียวนี้ ต่อให้มาอีกสิบคนล้วนมีชะตาเพียงหมอบราบคาบแก้วใต้กระโปรงทับทิม[3]ของท่านทั้งสิ้น”
กษัตริย์เทียนหนานชำเลืองมองรูปร่างของจิ่งเหิงปัวปราดเดียว นัยน์ตาแฉลบผ่านด้วยแววตาริษยายากจะควบคุมสายหนึ่ง ความริษยาสายนั้นขับเคี่ยวเงียบเชียบในใจคับแคบของสตรีจนกลายเป็นไอสังหารยากจะกลบกลืนผืนหนึ่งกลางหว่างคิ้ว
จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ รีบเร่งเติมเชื้อไฟกล่าวว่า “ข้าทำได้มิใช่เพียงสิ่งเหล่านี้นะ ข้ายังสอนให้ท่านเสริมสวยเยี่ยงไร แต่งหน้าเยี่ยงไร บำรุงผิวพรรณเยี่ยงไร รักษารูปร่างเยี่ยงไรแลแต่งองค์ทรงเครื่องเยี่ยงไร ทำให้โฉมงามเก้าสิบคะแนนนางหนึ่งงามงดจนเป็นโฉมงามแห่งยุคเกินหนึ่งร้อยหนึ่งคะแนนได้ ศาสตร์ลับเหล่านี้ของข้าล้วนถ่ายทอดมาจากเทพยดาหนึ่งเดียวไม่มีสองแน่แท้ ของวิเศษไร้เทียบเทียมเสริมสวยแบบพื้นบ้านกระชากวิญญาณตกหนุ่มรูปงามที่พลาดครั้งนี้ไม่มีครั้งหน้า ต้าหวังหากท่านประหารข้า ประโยชน์สักน้อยสักไม่มีซ้ำยังสูญเสียโอกาสครั้งเดียวที่จะทำให้ตนเองงดงามยิ่งขึ้น การค้าขายขาดทุนเช่นนี้ ท่านจะทำหรือ”
กษัตริย์เทียนหนานนิ่งเงียบหันหน้ามองเงาด้านหลังของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ห่างไกล เขาอยู่บนหอสูงชมทิวทัศน์มองไกลไปยังประตูวังใต้อาทิตย์อัสดง เงาด้านหลังสูงส่งแลห่างไกลดุจต้นไม้หยก มิอาจแตะต้องได้ในแสงรัศมีมัวสลัว
ในใจของนางพวยพุ่งด้วยคลื่นร้อนแรงลูกหนึ่งคล้ายหวังจะม้วนกลืนโลกงดงามไปทุกสิ่ง ทว่ามิอาจท่วมท้นหาดทรายเย็นชาน้อยๆ ข้างกายเขา
จิ่งเหิงปัวที่อยู่เบื้องหน้ามีริมฝีปากแดงดุจเปลวเพลิงงามจนสะกดผู้คน นึกถึงระบำของนางสวยสดงดงามสะกดผู้คน เห็นเพียงครั้งแรกสังหารเข้าไปในสายตาแลจิตวิญญาณ นางเชื่อว่าบุรุษผู้ใดอยู่เบื้องหน้าระบำเช่นนี้ล้วนจะทิ้งโล่ทิ้งเกราะยอมพ่ายแพ้ราบคาบ
“เจ้าสอนข้าร่ายรำระบำนั้นแลสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ย” สุดท้ายนางจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่ประหารเจ้า”
ริมฝีปากบางของนางเม้มรอยยิ้มเจือด้วยความหนาวเหน็บสายหนึ่งออกมา แววตาในดวงเนตรผลุบโผล่ไม่แน่นอน…สตรีเช่นนี้มิควรดำรงอยู่ ยามนี้ยังไม่สังหารรอให้เรียนร่ายรำจากนางจนเป็นแล้วค่อยสังหารยังไม่สาย!
จิ่งเหิงปัวยิ้มกว้างสดใสคล้ายรู้ก่อนแล้วว่าชีวิตตนเองไร้กังวล
“ต้าหวัง” คางนางชี้ไปที่ตนเองกล่าวอย่างสนิทสนมว่า “ข้าคล้ายจะถูกเจ้าคนนั้นสกัดจุด ท่านว่าเช่นนี้เราจะเรียนได้ร่ายรำได้หรือ”
กษัตริย์เทียนหนานมองนางอย่างระแวดระวังปราดเดียว บอกใบ้ให้หญิงรับใช้สืบเท้าขึ้นมามัดมือสองข้างของนางไว้แล้วจึงเอ่ยกับบุรุษชุดเหลืองผู้หนึ่งข้างหลังว่า “คลายการสกัดจุดให้นาง”
บุรุษนั้นคงจะเป็นผู้มีฝีมือสูงแห่งวังหลวง ติดตามข้างหลังกษัตริย์เทียนหนานไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว สีหน้าท่าทางสูงส่งหยิ่งยโส ได้ยินวาจาพยักหน้าเพียงน้อยสืบเท้าขึ้นมาคลายจุดให้จิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวประเมินท่วงท่าความสามารถของเขารู้สึกว่าเทียบกับกงอิ้นและเหยียลี่ว์ฉีขึ้นมายังห่างชั้นอยู่มาก สองคนนั้นเพียงสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวก็จัดการได้อยู่หมัด
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับนางแล้ว นิ้วมือนิ้วเดียวของเขายังพอจะบีบนางจนตายได้
จิ่งเหิงปัวส่งสายตาขอบคุณให้เขา สายตาของบุรุษสะท้านน้อยๆ นิ้วมือชะงักไปอย่างอดไว้มิได้ คิดจะสัมผัสผิวพรรณของนาง จิ่งเหิงปัวกลับยิ้มแย้มก่อนแล้วหลีกมือออกไป
กษัตริย์เทียนหนานมองฉากหนึ่งนี้ไว้ในดวงตาเนิ่นนานแล้ว ถลึงตาใส่ขุนนางใต้บัญชาผู้ไม่ได้เรื่องของตนเองปราดเดียว ในใจก็เลี่ยงจะสนใจจิ่งเหิงปัวไม่ได้…สตรีนางนี้งดงามแต่กำเนิดดังคาด เพียงแววตาสายหนึ่งยังทำให้ฟู่เซียง[4]ผู้ถูกฝึกปรือฝีมือลึกล้ำแห่งกองกำลังในบังคับบัญชาของนางเกือบจะตกอยู่ใต้การควบคุม
จิ่งเหิงปัวมัดสองมือไว้เดินตามกษัตริย์เทียนหนานท่องวังหลวงด้วยท่าทีสงบนิ่งเป็นปกติ กษัตริย์เทียนหนานสมกับใช้ความงามก่อร่างสร้างตัว ทุ่มเทสุดกำลังพัฒนาความงามแห่งสตรีเพศของตน นางมีตำหนักและจตุรัสสำหรับซ้อมร่ายรำโดยเฉพาะ ทั้งวังหลวงเดินไปทางไหนล้วนมีห้องแต่งตัวพร้อมให้นางแต่งหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ยามนี้นางวางแผนจะพาจิ่งเหิงปัวไปชมลานเต้นรำของตนเองก่อน สังหารความภาคภูมิใจของโฉมสะคราญนางนี้โดยง่าย
ขุนนางกลุ่มใหญ่ถูกเรียกมาติดตามกษัตริย์เทียนหนานเพื่อตระเตรียมรับฟังโองการของนางแลน้อมนำไปกระทำโดยพลันตลอดเวลา เบื้องหน้ากษัตริย์เทียนหนาน สายตาของบุรุษส่วนมากไม่วอกแวก ยามก้มศีรษะน้อมคำนับหางตากลับกวาดผ่านใบหน้าและรูปร่างของจิ่งเหิงปัวอย่างอดมิได้ จิ่งเหิงปัวกระหวัดมุมปากรอยยิ้มหวานหยดย้อยใช้สายตาตอบรับการสอดส่องของทุกผู้คนอย่างไร้เสียง ในใจกลับกำลังคิดว่ากษัตริย์เทียนหนานนางนี้คงต้องโหดเ**้ยมมากแน่ ดูท่าทางเจ้าพวกเจ้าชู้พวกนี้ก้มศีรษะจนแทบคิดจะมุดเข้าไปในเป้ากางเกงเพื่อมองนาง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรเหยียลี่ว์ฉีปรากฏกายเช่นกัน เขากลับไม่ได้เลือกไปสกัดกั้นล้อมโจมตีกงอิ้นที่ประตูวังทว่ายืนอยู่ข้างกายกษัตริย์เทียนหนานอย่างเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง จิ่งเหิงปัวทำเป็นมองไม่เห็นเขา เขาคล้ายไม่สนใจจิ่งเหิงปัวเช่นกัน ประคองแขนของกษัตริย์เทียนหนานด้วยตนเองยิ้มพลางเอ่ยว่า “ต้าหวังกำลังเอ่ยวาจาว่ากระไร แลท่าทางอารมณ์ดี”
“พานางนี้ไปเปิดหูเปิดตาจะได้พบเห็นรู้จะวังหลวงของเรา” ยามนี้กษัตริย์เทียนหนานเพิ่งนึกถึงจิ่งเหิงปัวเอ่ยถามว่า “เจ้ามีนามว่ากระไร”
“โอ๊ยเพียงผู้ผ่านทางไฉนต้องรู้นามกันเล่า” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือกล่าวต่อว่า “เรียกข้าว่าปัวอันดับหนึ่งผู้ซึ่งเป็นหนึ่งไม่มีสองก็พอแล้ว”
“สิ่งใดเรียกว่าปัว” กษัตริย์เทียนหนานใฝ่รู้ยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวยืดอกกล่าวว่า “อาวุธคมหนึ่งเดียวที่สตรีทั่วหล้าใช้ปราบปรามเหล่าบุรุษ!”
ลำคอยืดตรงของนางเรียบลื่นงามประณีตแผ่ขยายเส้นโค้งชิดแน่นน่าตระหนกออกมา รูปทรงดังกุณโฑหยกสลักใบหนึ่งโดยกำเนิด สายตาลื่นไถลทอดลงไปก็คล้ายจะเคลิบเคลิ้มจนลอยขึ้นมา
บุรุษกลุ่มหนึ่งจะเคยพบพานสตรีผู้มีเสน่ห์แลอวดตนปานนี้ได้เยี่ยงไร ยืนอยู่ด้านหนึ่งลมหายใจถี่กระชั้นนิ้วมือบีบเกร็ง ทุกมุมสายตาแอบชำเลืองมาคล้ายเป็นตะคริว เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มแลมิได้ยิ้มสายตาแฉลบผ่านอย่างสุขุม พลันนึกถึงสาบเสื้อหลุดลุ่ยน้อยๆ ของสตรีในตาข่ายกลางหุบเขาพายุฝนในวันนั้นขึ้นมา
ทิวทัศน์ทุกแห่งหนงามยิ่งนักดังคาดไว้…
เขาพลันรู้สึกว่ายามนั้นจั้นเจวี๋ยสิ้นชีพโดยง่ายดายเกินไป…
กษัตริย์เทียนหนานมองผ่านจิ่งเหิงปัวด้วยความอิจฉาริษยาปราดเดียว สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองนางแวบหนึ่งพอมองก็เปรียบเหมือนขนมผิงตราวั่งไจ่[5] นางเข้าไปกระซิบข้างหูแผ่วเบาว่า “ข้ายังมีอาวุธร้ายกาจเลิศล้ำทั่วหล้าที่ช่วยท่านอวบอิ่มได้ด้วยนะ! พอสวมแล้วเพิ่มขนาด อาวุธสังหารแห่งโลกมนุษย์!”
ดวงตาของกษัตริย์เทียนหนานประกายวูบกำลังจะเอ่ยถาม เหยียลี่ว์ฉีพลันเอียงศีรษะหัวเราะพลางเอ่ยว่า “กระซิบกระซาบกระไรอยู่หรือ อาวุธสังหารหรือ”
“ต้าหวังข้าบอกเลยนะ บางคนแลดูไม่ค่อยแข็งแรงด้วยนางระทมทุกข์กับความสุขของนาง” จิ่งเหิงปัวมองรอยยิ้มของเขา โกรธแต่ไม่เปิดเผยออกมาสักแห่ง เงยหน้าขึ้นมายิ้มเสแสร้งกล่าวต่อว่า “ข้าเอ่ยว่าเข้าใจได้ทั้งสิ้น บุรุษที่จมูกพังน่ะไร้ประโยชน์ พอแตะต้องก็ถดถอย อาวุธน้อยแห่งโลกา”
“…”
เงาด้านหลังของจิ่งเหิงปัวเลี้ยวโค้งไปเสียแล้ว เหยียลี่ว์ฉียังยกมือลูบจมูกตนเองอยู่
พังหรือ
——