ม่านกั้นหลากสีสยายลงมาสะบั้นเสียงโห่ร้องของราษฎรจากภายนอก แสงสว่างพลันมืดมิด ด้านล่างเวทีคลาคล่ำด้วยเงาคน แต่ละคนเคร่งขรึมดุจรูปสลักหน้าสุสาน จิ่งเหิงปัวมีความรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องมืด
สิ่งที่เรียกว่าพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จคือการดำเนินการภายใต้สภาวะแวดล้อมถูกปิดกั้นรอบด้าน มีคนนับไม่ถ้วนล้อมรอบแย่งอากาศแบบนี้เหรอ มอบความกดดันทางจิตใจให้คนได้ง่ายมากจริงแท้ แสดงความสามารถพิเศษภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ดีสิถึงจะแปลก
“บรรดาขุนนางต้าฮวง ถวายบังคมพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินีพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนอื่นเสนาพิธีการนั้นตะโกนเสียงดังเสียงหนึ่ง ขุนนางลักษณะแตกต่างกันหนึ่งแถวใหญ่เดินแถวยาวเหยียดขึ้นเวที แบ่งเป็นสองแถวแล้วโค้งคำนับให้จิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ในใจคิดว่าทำไมไม่เรียกว่าฝ่าบาท เรียกพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี ความหมายใต้คำนั้นคือยังไม่ยอมรับราชินีอย่างเป็นทางการมั้ง
แล้วพอมองสีหน้าท่าทางของคนเบื้องล่าง ในความสงบเงียบเคร่งขรึม ผู้คนจำนวนมากเผยให้เห็นความเหยียดหยามและตามใจซึ่งปิดไว้ไม่มิด
ด้านล่างมีเก้าอี้อีกสองตัว ซ้ายตัวหนึ่งขวาตัวหนึ่ง ดำตัวหนึ่งขาวตัวหนึ่ง ผ่านไปสักครู่ กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีเลิกม่านเข้ามานั่งลงตามลำดับ ทุกคนถวายคำนับให้ทั้งสองคนอีกครั้ง ยังคงเข้าคำนับกงอิ้นก่อนเช่นเคย ดูท่าต้าฮวงคงจะยกย่องฝ่ายขวา
กงอิ้นเพียงโบกมือ เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพยักหน้า สายตาสองคนสอดประสานกลางอากาศ เหยียลี่ว์ฉีกะพริบตา กงอิ้นเบนสายตาอย่างเฉยเมย เบนไปทางจิ่งเหิงปัวบนเวทีโดยไม่หลีกเลี่ยงการจับจ้องของเหยียลี่ว์ฉี
สตรีบนเก้าอี้สูงดูท่าทางสุขุมยิ่งนัก มุมปากเขากระหวัดขึ้นมาเพียงน้อย…รู้อยู่แล้วว่านางใจกล้าบ้าบิ่น โฉมภายนอกตามใจภายในใจเย่อหยิ่ง
“ฝ่าบาท” เสนาพิธีการเริ่มต้นขั้นตอนพิธีการตามระเบียบปฏิบัติ ครั้งนี้กลับเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว เพียงแต่น้ำเสียงนั้นยังคงเสียดสีอยู่บ้าง เอ่ยสืบต่อว่า “เทพธิดาจุติใหม่นับเป็นความโชคดีแห่งต้าฮวงของเรา หกแคว้นแปดชนเผ่ารับเสด็จไกลร้อยลี้ ขุนนางและราษฎรต้าฮวงปูพรมแดงสิบลี้ ธุลีเหลืองรองเส้นทาง ธารบริสุทธิ์สาดถนน สามก้าวตั้งหนึ่งโต๊ะ สิบก้าวจุดธูป ทว่าขอเพียงได้รับแสงรุ่งโรจน์แห่งขบวนเสด็จเช่นกัน…”
เขาถือป้ายฮู่[1]ไว้ในมือ เอ่ยติดต่อกันครั้งใหญ่อย่างสุภาพเรียบร้อย จิ่งเหิงปัวไม่เข้าใจสักอักษรหนึ่ง รู้สึกแค่ว่าเหนื่อยมาก กระโปรงบนเอวหนักอึ้งคล้ายจะหลุดอีกแล้ว นางยืนขึ้นมากะทันหัน
เสนาพิธีการหยุดเอ่ย มองนางด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ตามกฎเกณฑ์ต้าฮวง ราชินีมิอาจมีกิริยาท่าทางใดๆ ก่อนตรัสตอบเหล่าขุนนาง
“อ๊ะ ข้ามิเป็นไร เจ้าเอ่ยของเจ้า ไม่ขัดกัน” พอจิ่งเหิงปัวกระดกก้นขึ้นมาก็มองเห็นสีหน้าท่าทางอ้าปากเอ่ยวาจาไม่ออกของกลุ่มหนึ่งเบื้องล่าง ยังนึกว่าพวกเขาอยากขึ้นมาช่วยเหลือ รีบเร่งโบกมือ กล่าวว่า “เอ่ยต่อ เจ้าเอ่ยต่อ”
“เอ่อ…” เสนาพิธีการลืมบทพิธีการเสียแล้ว
จิ่งเหิงปัวก้มหน้าตั้งใจทำเรื่องของนาง หิ้วส่วนเอวของกระโปรงขึ้นไปก่อน
ทุกผู้คนมองดูเอวบางของนาง…
แล้วบิดขี้เกียจ
ทุกผู้คนมองดูทรวดทรงรัดตึงน่าประทับใจของนาง…
นั่งลง ปรับท่านั่งเป็นท่าที่สบายและสามารถอดทนนั่งได้ยาวนาน เช่น ยกขาไขว่ห้าง
ทุกผู้คนมองดูขาซ้อนกันของนาง…
หลังจากยกขาไขว่ห้าง นางไม่ชอบใจที่กระโปรงหนักเกินไป จับซ้ายครั้งหนึ่งจับขวาครั้งหนึ่ง พับกระโปรงวางไว้บนขา เช่นนี้เอง ขาท่อนล่างช่วงหนึ่งโผล่ออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทุกผู้คนกลอกลูกตามั่วซั่วยุ่งกับการมองดูขาท่อนล่างที่เรียวบางขาวราวหิมะ มองเสร็จแล้วพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หันกลับมามองท่านเสนาพิธีการผู้ดูแลพิธีการและมีอำนาจแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆ ของราชินีตลอดเวลาอย่างพร้อมเพรียง
เสนาพิธีการนึกไม่ออกว่าต่อไปควรทำสิ่งใดเสียแล้ว
เสนาพิธีการก็ไม่รู้ว่าควรจะขัดขวางราชินีเรื่องใดกันแน่แล้ว…ชั่วครู่เดียวนางฝ่าฝืนกฎเกณฑ์มากมายเหลือเกิน พฤติกรรมไม่เหมาะสมเยอะแยะเหลือเกิน…
“เอ๊ะ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เอ่ยต่อแล้ว เอ่ยสิ” จิ่งเหิงปัวจัดระเบียบตนเองจนสบายแล้วจึงนั่งนิ่ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าบรรยากาศผิดปกติ เงยหน้าอย่างงงงวย ลูกตาเบิกกว้างกลมโต สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วย “ชิบเหตุใดพวกเจ้าเชื่องช้าขนาดนี้แม่นางเช่นข้ายังรอคอยจนร้อนใจแล้ว” เต็มหน้า
เสนาพิธีการอึดอัดเล็กน้อย ควรจะแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมของราชินีให้ถูกต้องก่อนดีเล่าหรือว่าเอ่ยต่อดีเล่า
“ที่รัก” จิ่งเหิงปัวยกขาไขว่ห้าง ขาท่อนล่างแกว่งไกวเตะชายกระโปรงตนเองเป็นระลอก ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เข้าประเด็นหลักเถิด ร้อนยิ่งนัก”
ลูกตาของทุกคนแกว่งไกวตรงดิ่งตามขาท่อนล่างสีขาวราวหิมะนั้นไปด้วย…
“แค่กๆ” เสนาพิธีการกระแอมไอใช้สายตาบอกใบ้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท พระองค์นี้…”
“อ๊ะอันนี้หรือ” จิ่งเหิงปัวมองตามสายตาเห็นชายกระโปรงของตนเอง ขนคิ้วชี้ขึ้นทันที กล่าวด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ขาของเจิ้น เจ้ามองอะไรของเจ้า สายตาหื่นกามด้วย! เฒ่าตัณหากลับ!”
“อึก” เสียงหนึ่ง เสนาพิธีการเฒ่าผู้สูงวัยมากบารมีเกือบจะกระอักโลหิตอึกหนึ่งออกมา…
เสนาพิธีการเฒ่าผู้น่าสงสารถูกหามลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เหลือเบนสายตาคืนมามองท้องนภาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท!” ขุนนางกองพิธีการอ่อนวัยผู้หนึ่งไม่พอใจ ออกจากแถวเอ่ยเสียงสูงว่า “พระองค์ทรงทำเกินไปแล้ว! ทรงไม่เคารพขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นนี้ได้อย่างไร! เพราะพระองค์ทรงฝ่าฝืนคัมภีร์พิธีการก่อน เสนาพิธีการชี้แนะให้ท่านแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ถูกต้องตามเหตุผล เหตุใดต้องประสบพบเจอการเหยียดหยามในที่สว่างไสวใหญ่โตเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
คนผู้นี้คือคนนั้นก่อนหน้านี้ที่ให้จิ่งเหิงปัวถอยกลับไปเดินใหม่ จิ่งเหิงปัวตัดสินใจว่าจะเชือดเขาเป็นตัวอย่าง
“กฎเกณฑ์กำหนดให้ข้าเพียงผู้เดียวหรือ” จิ่งเหิงปัวหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่อาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ได้แล้วพวกเจ้าฝ่าฝืนได้หรือ กฎเกณฑ์ไม่อนุญาตให้ข้าทำเรื่องนั้นทำเรื่องนี้แล้วกฎเกณฑ์อนุญาตพวกเจ้ามองราชินีมั่วซั่วหรือ กฎเกณฑ์ข้อใดเขียนไว้ว่าได้ เอาออกมาเปิดให้พี่ดู! ขอเพียงมี พี่จะโขกศีรษะขออภัยเจ้า!”
“พวกเรามิได้มองมั่วซั่วนะพ่ะย่ะค่ะ…” ขุนนางอ่อนวัยคัดค้านเสียงแผ่ว
จิ่งเหิงปัวไม่พูดไม่จา กล่าวทันทีว่า “คันจัง…” รูดกระโปรงขึ้นไปด้านบนอีกครั้งดังพึ่บพั่บจนถึงบริเวณเข่า
ลูกตาเกลื่อนกลาดกลอกกลิ้งมั่วซั่วอีกครั้ง
“ฝ่าบาท!” ขุนนางเอ่ยด้วยท่าทางโกรธเคืองว่า “ห้ามผุดเผยพระฉวีตามใจชอบพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าผุดเผยผิวกายแห่งใดแล้วหรือ”
“พระชงฆ์…” ขุนนางเอ่ยวาจาเพียงครึ่ง ตะลึงลานรู้โดยพลันว่าตกหลุมพราง สำลักขึ้นมาแล้วไออย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง
“อื้อหือ เจ้าไม่ได้มอง! เจ้าไม่ได้มองมั่วซั่ว!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊ากๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เจ้าไม่ได้มองเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจิ้นโผล่ขาออกมา เจิ้นโผล่ขาออกมาหรือว่าพวกเจ้าไม่ควรถอยห่างหลบหลีกโดยพลัน ยังมีหน้ายืนตาซ้ายกลอกมาตาขวากลอกไปลวนลามเอาเปรียบไม่จบไม่สิ้นอยู่ตรงนี้ แล้วเป็นกฎเกณฑ์ข้อใดอนุญาตพวกเจ้าลวนลามเจิ้นตามใจชอบ พวกเจ้ามีฐานะเป็นขุนนางกองพิธีการ ควรจะนำพาผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกรูปแบบอย่างแน่วแน่ พวกเจ้ายังหน้าไม่อายมองเจิ้นมั่วซั่วทำลายกฎเกณฑ์เสียเอง มีหน้าอะไรมายืนอยู่เบื้องหน้าฝูงขุนนางเสแสร้งจะให้เจิ้นทบทวนตน ถุ้ย รีบเร่งซื้อกระจกสักบานมาส่องแล้วพุ่งชนจนสิ้นชีพไปเลย โจรคุณธรรมปัญญาชนจอมปลอมที่สารคัดหลั่งขาดดุลฝูงหนึ่ง! ไอ้เวรเสแสร้งแม่งเอ้ย!”
“เอ่อ…” ฝูงขุนนางเลอะเลือนไประลอกหนึ่ง เหตุใดเอ่ยไปเอ่ยมาจึงเพิ่มขึ้นไปถึงโทษสถานหนักเช่นลวนลามฝ่าบาทแล้ว
คนของกองพิธีการยิ่งสับสน แต่ก่อนพวกเขาต่างเชิดคอสั่งสอนราชินีให้ราชินีรักษากฎเกณฑ์ วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปนานจึงได้หลงลืมกฎเกณฑ์ที่ตนเองควรจะปฏิบัติตาม พวกเขาสืบค้นคัมภีร์พิธีการในสมองอย่างเพียรพยายาม อยากจะหาข้อระเบียบมาโต้แย้งราชินี ทว่าควรจะให้ขุนนางปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อนเล่าหรือว่าควรให้ราชินีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อนกันแน่ ประมวลกฎหมายต้าฮวงมีข้อหนึ่งว่า “ไม่อนุญาตให้ข้าราชบริพารมีเรื่องราวล่วงละเมิดใดๆ ต่อพระบรมวงศานุวงศ์” มองผิวกายราชินีนับว่าเป็นข้อหนึ่งแน่แท้ ทว่าหากมิอาจมองพฤติกรรมเช่นราชินีเป็นต้น ภายหลังนางจะวิ่งเปลือยกายจะทำอย่างไร…
“พวกเจ้าสุภาพบุรุษจอมปลอมวางมาดภูมิฐานเหล่านี้!” จิ่งเหิงปัวสั่งสอนต่อไปว่า “ควรจะเรียนรู้จากราชครูฝ่ายขวาของพวกเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมองข้ามั่วซั่ว!”
เขาลูบคลำโดยตรงเลย เหอะ
กงอิ้นที่กำลังดื่มชาอยู่เกือบจะสำลักพรวดอึกหนึ่ง กลืนใบชาลงไปแล้ว…
“พลั่ก” ขุนนางอ่อนวัยที่สืบค้นจนแทบล้มประดาตายตั้งแต่เริ่มจนจบมิอาจหากฎข้อบังคับที่โต้แย้งจิ่งเหิงปัวเจอ เขาครุ่นคิดจนหมดสติทั้งเป็นแล้ว
…
จิ่งเหิงปัวที่พลิกกลับมาชนะหนึ่งตาลำพองใจ พลิกมือไปข้างหลังทำสัญญาณชัยชนะให้กงอิ้น
กงอิ้นนั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน มุมปากเชิดรัศมีโค้งแบบจำใจผืนหนึ่ง
วาจาประโยคเดียวทำให้สองขุนนางกองพิธีการที่ถือกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ที่สุดโกรธจนแทบสิ้นชีพ มีเพียงนางผู้ก่อความวุ่นวายนิสัยหน้าไม่อายผู้นี้สามารถทำได้
จิ่งเหิงปัวคว้ากระโปรงวางใหม่ให้ดีอีกครั้งแล้วเชิดคางขึ้น
นางจงใจน่ะสิ เป็นไงล่ะ
ประสบการณ์บนพรมแดงคือการวางอำนาจใส่นาง แล้วไหนเลยจะไม่ใช่ด่านแรกที่นางเองอยากจะท้าทาย
รู้แต่แรกแล้วว่ากฎเกณฑ์ต้าฮวงยิ่งใหญ่ ราชินีคล้ายแม่หม้ายน้อยที่สามีตายไปแล้ว นางจะไม่เป็นราชินีนี้ ถ้าจะเป็นก็จะไม่อดทนอดกลั้นไม่มีปากมีเสียง ถูกข้อบัญญัติมากมายไม่มีเหตุผลนั้นผูกมัดไว้แน่นอน
วันนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น โจมตีไม่กี่คนนั้นที่เรียกร้องพิธีการระดับสูงสุดจนสลบไสลไปก่อน พวกเขาจะได้ไม่กลั่นแกล้งนางในพิธีเฉลิมฉลองไปเรื่อยน่ารำคาญ หลังจากนั้น ถ้ามีพวกพลิกตำราหนังสือจนทั่วมาอีก พี่ยังรับไหว!