จิ่งเหิงปัวใช้นิ้วมือลูบไล้ของสิ่งนั้น อบอุ่นเกลี้ยงเกลา เจือด้วยอุณหภูมิร่างกายของเขา สิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในมือเขาล่ะมั้ง นำติดตัวมาด้วยแบบนี้ ในชั่วครู่สุดท้ายยังนำออกมาให้นาง
คือเครื่องรางที่ให้นางเหรอ?
นางเคยโกรธที่เขาดูถูกและไม่เชื่อถือตนเอง สาบานนับไม่ถ้วนครั้งว่าจะทำให้เขาต้องมองนางกันใหม่ แต่ตอนนี้ในใจกลับเหลือเพียงความอบอุ่น
“ขอบใจนะ” นางยิ้มแย้มเบิกบาน กล่าวว่า “ข้าจะถือว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญแทนใจที่เจ้าให้ข้าได้หรือไม่?”
เขาไม่ตอบรับด้วยซ้ำ เหลียวมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเรื่องอื่นว่า “ของสิ่งนี้ให้เจ้าน่าเสียดายเสียแล้ว หวังว่าเจ้าอย่าได้ใช้จะเป็นการดีที่สุด”
“ของขวัญแทนใจของเจ้าข้าจะตัดใจใช้ได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตาไปทางเขา กล่าวว่า “เชื่อพี่นะ พี่ต้องทำให้เจ้ามองพี่ใหม่ให้ได้!”
“เดินเส้นทางของเจ้าให้ดีเถิด” เขาประคองไหล่ของนางให้ตรง ชี้ไปยังเบื้องหน้า เอ่ยสืบต่อว่า “เบื้องหน้า”
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นบัลลังก์บนปะรำพิธีเบื้องหน้า ในใจสั่นสะท้าน ความตื่นเต้นดีใจเมื่อสักครู่นี้อ่อนลงแล้ว นางเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย
เหล่าราษฎรค่อยๆ เงียบสงบลงเช่นกัน หันหน้าจดจ้องบัลลังก์หลังฉากกั้นหลากสี ยามนี้พวกเขาจึงนึกถึงฉากสำคัญของพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนี้ พอนึกถึงเรื่องหนึ่งนี้ ในใจของทุกคนต่างจมดิ่งลง
ผู้ใดต่างรู้ว่า หากอยากจะแสดงความสามารถพิเศษที่ทำให้ทุกผู้คนเลื่อมใสในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เหล่าราษฎรเสียดายอยู่บ้าง ต่างนึกว่ายากจะได้เห็นราชินีที่เป็นกันเองอนาคตไกลขนาดนี้องค์หนึ่ง พริบตาเดียวจะสูญเสียนางไปแล้ว ให้โฉมสะคราญเช่นนี้ผู้หนึ่งปลิดชีพตนเองหรือถูกเนรเทศล้วนโหดร้ายเหลือเกิน
กงอิ้นเอามือไพล่หลังมองดูเงาด้านหลังของจิ่งเหิงปัว เอ่ยกับเหมิงหู่อย่างเฉื่อยเนือยว่า “ตระเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ” สีหน้าของเหมิงหู่กลับลังเลอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ท่านจะทำจริงหรือ…”
“ให้หลงฉีสนับสนุน คั่งหลงสกัดกั้นอยู่ด้านหลัง” กงอิ้นคล้ายไม่ได้ยินวาจาของเขา เอ่ยสืบต่อว่า “หากพบว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ มิต้องขอคำแนะนำจากข้าอีก เปิดฉากโดยพลัน”
“ขอรับ”
“อีกทั้ง” กงอิ้นจ้องมองเวทีพิธีการสูงใหญ่ที่ประดับประดางดงามนั้นพลางค่อยๆ เอ่ยว่า “เวทีสูงใหญ่ก่อสร้างเมื่อใดหรือ?”
“ว่ากันว่าถูกตระเตรียมเสร็จแล้วเมื่อห้าวันก่อนขอรับ”
“ใครเป็นผู้ก่อสร้างหลัก”
“มหาปราชญ์ขอรับ เขาใสซื่อมือสะอาด ไม่เข้ากับทั้งสองฝ่าย วางใจได้เป็นที่สุดขอรับ”
“อืม” กงอิ้นนิ่งเงียบเล็กน้อย สายตากลับไม่ได้เบนออกมา เอ่ยสืบต่อว่า “ไปสืบดูให้ดี”
“…ขอรับ”
ชายกระโปรงสีดำค่อยๆ ขยับเขยื้อนบนพรมสีแดง แสงเงาแน่นหนักภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผา
จิ่งเหิงปัวเดินอย่างยากลำบาก
ขุนนางกองพิธีการทั้งหมดสองแถวเดินอยู่ข้างกายของนาง มองนางแบกชุดพิธีการหนาหนักเดินเหินอย่างยากลำบากไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ ยังสอดมือไว้แขนเสื้อ ชี้ข้อบกพร่องในพฤติกรรมของนางด้วยท่าทางเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าบาท พระกฤษฎีต้องตรงแน่วมิอาจค่อมลง ไร้ซึ่งท่วงท่าแห่งกษัตริย์เกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท ทรงพระดําเนินมิอาจเร็วเกินไป ห้าสิบก้าวในเวลาหนึ่งเค่อจึงเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ…พระองค์ทรงพระดําเนินเร็วเกินไปแล้ว! ทรงหยุดยืน! หยุดสักครู่!…ยามนี้ช้าเกินไปแล้ว พระองค์จะต้องทรงพระดําเนินผ่านเร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝีก้าวต้องเชื่องช้า ชายฉลองพระองค์มิอาจขยับเขยื้อนพ่ะย่ะค่ะ! ฉลองพระบาทมิอาจโผล่พ้นชายฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”
“จะต้องทรงพระดําเนินผ่านเป็นเส้นตรง พระองค์ทรงพระดําเนินเบี้ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ถอยกลับไปพ่ะย่ะค่ะ! ที่แห่งนี้คือเส้นดวงใจกลางพระบรมมหาราชวัง การทรงพระดําเนินเป็นเส้นตรงของพระองค์แสดงว่าต้าฮวงของเราจะมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อำนาจของจักรพรรดิเป็นหนึ่งเดียว การทรงพระดําเนินเบี้ยวจะเป็นลางร้ายพ่ะย่ะค่ะ! ทรงถอยกลับไป จะต้องทรงพระดําเนินใหม่อีกรอบพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งเหิงปัวยืนนิ่ง หันข้างมาถลึงตามองขุนนางกองพิธีการข้างกายที่มีสีหน้าเข้มงวดคนนั้นด้วยความโกรธเคือง
ขุนนางผู้นั้นประสานสายตากับนางด้วยท่าทางไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ขุนนางกองพิธีการดูแลกิจธุระทุกสิ่งเกี่ยวกับพิธีการของราชสำนักรวมถึงราชสกุลและมีหน้าที่ตรวจตรามรรยาทของราชสกุล พวกเขามีอำนาจในการดำเนินการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทุกสิ่งของราชินี ราชินีมิอาจต่อต้านทุกสิ่ง ระยะเวลาที่ผ่านมา มิใช่ไม่เคยมีราชินีที่ทนรับกฎเกณฑ์จุกจิกวุ่นวายหนักหน่วงไม่ไหว วางแผนจะต่อต้าน สีหน้าบางนางย่ำแย่ยิ่งกว่านางนี้ในยามนี้ ทว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร? เครื่องจักรตรวจตราและตำราพิธีการมั่นคงเปี่ยมอำนาจที่ยิ่งใหญ่จะทำให้สตรีที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหล่านี้ยอมสยบในไม่ช้าก็เร็ว
นางนี้ย่อมไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเหงื่อทั่วร่างเพียงพอจะอาบน้ำได้แล้ว ระยะทางยาวไกล กระโปรงหนักเกินไป ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจในตอนแรกหายไปแล้ว น้ำหนักบนเรือนร่างถาโถมทับถมปานภูผาสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวล้วนเป็นภาระ ดวงอาทิตย์สูงส่งบนฟ้าสาดส่องลงมาอย่างร้อนแรงดุจเพลิง ขับหยาดเหงื่อขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วออกจากหน้าผากสีขาวราวหิมะของนางทีละเม็ดละเม็ด
ผู้ชราบางส่วนท่ามกลางฝูงชนมองดูฉากหนึ่งนี้แล้วผุดเผยแววตาสงสาร พวกเขาจำได้เลือนรางว่าปีนั้นคล้ายมีราชินีอ่อนวัยผู้หนึ่งได้รับพิธีเฉลิมฉลองเช่นนี้เช่นกัน นางตื่นเต้นดีใจจนดวงพักตร์น้อยแดงซ่านท่ามกลางฝูงชน น่าเสียดายว่านางร่างกายอ่อนแอ ยังไม่ทันได้เดินไปใต้ปะรำพิธีก็หมดแรงเป็นลมล้มลง แม้ได้รับการช่วยเหลือให้ดำเนินพิธีการต่อไป ทว่าขวัญกระเจิงแล้วจะทำเรื่องลำดับถัดมาให้ดีได้อย่างไร? นางจึงไม่ผ่านการทดสอบดังคาดการณ์ จากนั้นจึงถูกเนรเทศ ความเกริกก้องรุ่งเรืองในวันนั้น สุดท้ายแล้วกลายเป็นความฝันแสนสั้น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหมวกสูงชุดหนา พรมแดงสามลี้ พิธีการยามอู่และความกดดันหนักหน่วง แท้จริงแล้วเป็นช่วงที่เปี่ยมเล่ห์กลที่สุดในการทดสอบราชินีช่วงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวเช็ดเหงื่อบนหน้าผากครั้งหนึ่ง เวทีสูงใหญ่ที่มองดูคล้ายยิ่งเดินยิ่งไกล นางไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้นเหมือนที่ผู้ยืนดูอยู่ข้างๆ จินตนาการ ด้วยเพราะของสิ่งนั้นที่กงอิ้นให้นางกำจายไอเย็นอย่างเชื่องช้าปกป้องชีพจรของนางไว้โดยตลอด แม้ว่าร่างกายเหงื่อท่วมชุดหนา ทรมานอย่างมาก แต่ร่างกายไม่ได้มีเค้าที่ส่อให้เห็นถึงลมแดดแม้แต่น้อย
เพียงแต่เหงื่อท่วมชุดหนาแบบนี้แลดูจนตรอกอย่างมากเช่นกัน จิ่งเหิงปัวรู้ถึงเจตนาของเหล่าขุนนาง ราชินีที่หายใจหอบฮืดฮาดดวงพักตร์เลอะเทอะนางหนึ่งคงแสดงท่วงท่าอย่างงามสง่าเลิศล้ำที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใสออกมาให้เห็นได้ยาก
เฉกเช่นเบื้องหน้า ขุนนางน้อยตำแหน่งกระจ้อยคนหนึ่งยังกล้าสั่งให้นางถอยไปเริ่มใหม่
นางแค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง ไม่แม้แต่จะมองขุนนางกองพิธีการคนนั้น เท้าหยุดยืนนิ่งทันที
สายตาของทุกผู้คนเบนผ่านมา ขุนนางผู้นั้นมีสีหน้าย่ำแย่ เร่งเร้าด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ฝ่าบาท อย่าได้ทรงเสียมารยาท รีบเร่งเริ่มใหม่…”
“เจิ้นคือราชินี เจ้าแห่งต้าฮวง” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงสูงว่า “เหตุใดจึงต้องเดินผ่านเส้นทางยาวไกลเช่นนี้ด้วยตนเอง? ยกเกี้ยวมา!”
“ฝ่าบาท!” ผู้ชราหมวกสูงท่านหนึ่งเอ่ยโดยพลันว่า “กฎเกณฑ์ทุกสิ่งที่คัมภีร์พิธีการแห่งองค์ปฐมจักรพรรดิได้ทรงกำหนดไว้ต่างเป็นบรรทัดฐานที่จะต้องเสด็จผ่านตามแม้ศตวรรษต่อมา เหล่าข้ายามเข้าราชสำนักเป็นขุนนางแต่ละยุคสมัย ต่างเคยให้สัตย์สาบานใต้ประตูจิ่วเฮ่อว่าจะปกป้องคัมภีร์พิธีการแห่งราชสำนักด้วยชีวิต หากมีผู้ฝ่าฝืน สวรรค์ลงทัณฑ์ อสนีบาตสังหารผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ถามองครักษ์ที่ถือขวานข้างกายคนหนึ่งว่า “เฮ้ ตาแก่นี่เอ่ยอะไรหรือ?”
“ฝ่าบาท เสนาพิธีการหมายความว่า พระองค์จะต้องเสด็จผ่านเส้นทางสายนี้ตามกฎเกณฑ์ ผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์สวรรค์จะถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยงพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แต่ขู่ขวัญผู้อื่น” จิ่งเหิงปัวแบะปาก “ไม่ให้เกี้ยวข้าก็ไร้หนทางแล้วหรือ?”
“เจิ้นคือจักรพรรดิ เจ้าแห่งชะตาสวรรค์!” นางเอ่ยอย่างน่าเกรงขามว่า “เจ้าไม่ให้เกี้ยว ข้าจะเพรียกหงส์สีรุ้งบนฟ้าพาข้าขึ้นเวที!”
“หา!” เสียงหนึ่ง ราษฎรพลุ่งพล่านแล้ว
“อา?” เหล่าขุนนางเงยหน้างงงัน
เหยียลี่ว์ฉีกระแอมไอโดยพลัน มุมปากของกงอิ้นผุดเผยรอยยิ้มจาง
“อา?” เหล่าขุนนางกองพิธีการที่กำลังคิดจะตำหนินาง ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมต่างขมวดเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นมีผู้เริ่มหัวเราะเย็นชา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ตรัสวาจาเพ้อเจ้อต่อหน้าธารกำนัล พระองค์จะต้องทรงสำนึกตน…”
“ดูสิ!” จิ่งเหิงปัวยกแขนขึ้นสูง ชี้ไปยังท้องฟ้าพลางตะโกนว่า “หงส์สีรุ้งว่องไว พาข้าเหินนภา!”
“แกว๊ก” เสียงหนึ่งดังขึ้นรำไร คล้ายเป็นเสียงนกร้อง ทุกผู้คนเงยหน้าโดยพร้อมเพรียง
บนฟ้าไม่มีสิ่งใดเลย ไม่เห็นขนนกแม้เพียงอันเดียว
ทุกคนชะงัก…ราชินีทรงโกหกต่อหน้าธารกำนัลหรือ? ทรงเสแสร้งแกล้งทำหลอกลวงอาณาประชาราษฎร์หรือ?
นี่แย่ยิ่งกว่าไม่ผ่านการทดสอบเสียอีก!
ทุกคนทอดสายตาลงมาอย่างผิดหวัง กำลังตระเตรียมจะจ้องราชินีบนพรมแดงด้วยแววตาโมโหปราดหนึ่ง มีผู้อุทานอย่างตกตะลึงโดยพลันว่า “ฝ่าบาททรงหายไปแล้ว!”
จากนั้นผู้คนส่วนใหญ่ร้องตกใจขึ้นมา
“หายไปแล้ว! ฝ่าบาททรงหายไปแล้วจริงๆ!”
“ฝ่าบาททรงประทับหงส์สีรุ้งเหินนภาแล้วจริงด้วย!”
“เมื่อครู่เสียงหนึ่งนั้นคือหงส์ร้องมิใช่หรือ? วิเศษยิ่งนัก!”
เจ้าหงส์หมาโง่ยื่นท้องออกมา ร้องแกว๊กๆ แผ่วเบาสองเสียง เฟยเฟยแบกมันทะลุผ่านช่องว่างระหว่างขาของฝูงชนไปอย่างปราดเปรียว
…
เหล่าขุนนางจ้องมองพรมแดงว่างเปล่าผืนนั้นอย่างตื่นตะลึง ขยี้ดวงตาหลายรอบ
เป็นไปได้อย่างไร?
ท่ามกลางมวลชนจ้องมอง คนผู้หนึ่งทั้งคน เอ่ยว่าหายไปก็หายไปแล้วจริงหรือ?
ขี่หงส์ลอยล่อง? เหลวไหล! หงส์อยู่ที่ใด?
แล้วคนล่ะอยู่ที่ใด?
คนอยู่บนเวที
เสียงร้องตะโกนใสไพเราะระลอกหนึ่งแว่วมาจากบนเวทีสูงใหญ่ที่อยู่ห่างไกล
“เฮ้! ข้าอยู่ตรงนี้!”
ทุกคนหันหน้ากลับมาดังสวบ ลูกตาต่างนูนออกมาจนแทบกลิ้งกุกกักเกลื่อนกลาดออกไป
บนเวทีสูงใหญ่ จิ่งเหิงปัวยืนอยู่อย่างสงบจิตสงบใจกำลังยื่นมือออกไปเชื่องช้า ทำท่วงท่า “ปล่อยเหิน” ท่าหนึ่งพลางกล่าวอย่างซาบซึ้งใจกับ “หงส์” บางตัวที่ไม่ได้มีอยู่ในอากาศด้วยซ้ำว่า “ขอบใจเจ้าที่มาส่งข้าตลอดเส้นทางนี้ กลับไปบอกเจ้าแม่ซีหวังหมู่[1]ว่าข้าสบายดี มีโอกาสมาเล่นด้วยบ่อยๆ นะ หากมีใครกลั่นแกล้งข้าข้าจะบอกพวกเจ้า”
นิ้วมือนางยกขึ้นครั้งหนึ่งปล่อย “หงส์” เหินสู่นภา เจ้าหงส์หมาโง่ที่เป็นตัวแสดงสำคัญในเอ้อร์เหรินจ้วน[2] ร้อง “แกว๊ก…” เสียงหนึ่งจากซอกมุมของเวทีสูงใหญ่ได้ทันเวลา
ทุกคนจ้องมองท้องนภาอย่างฉงนสนเท่ห์…ว่ากันว่าที่นั่นมีหงส์
ทว่าได้ยินเพียงเสียงแต่มิเห็นวิหคเจ้าของเสียง
คล้ายว่าเสียงนั้นก็ไม่ค่อยเพราะเท่าไร…
จ้องนานแล้ว ทิวเมฆเป็นกลุ่มก้อนกลางอากาศนั้น แลดูคล้ายหงส์จริงยิ่งนัก…
“มิต้องมองแล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างสงสารบนเวทีว่า “ระดับมนุษย์ธรรมดามิอาจมองเห็นวิหคเทวะ ให้พวกเจ้าได้ฟังเสียงของมันเสียงหนึ่ง นับเป็นวาสนาของพวกเจ้า”
ทุกคนเคร่งขรึม
หลังจากความเงียบสงัด ราษฎรเปล่งเสียงโห่ร้องยินดีปานเสียงคลื่นโหมซัดอีกครั้ง…ราชินีครานี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา! ราชินีครานี้มีพลังมหัศจรรย์! เบื้องบนพิทักษ์! วิหคเทวะร่วมส่งเสด็จ!
สวรรค์พิทักษ์ต้าฮวง เทพีจุติจากสวรรค์!
ทุกคนมโนว่าองค์ราชินีผู้เลอโฉมสวมมงกุฎรุ่งโรจน์ ทรงประทับหงส์สีรุ้งเหินนภา ล่องลอยมาจุติ ณ บึงโคลนต้าฮวง ที่ซึ่งปลายพระดัชนีสัมผัส โคลนดำเหือดหาย หน่ออ่อนโผล่พ้นผืนดิน แตกกิ่งก้านผลิใบ มวลผกาแย้มบานใบไม้เขียวชอุ่ม นับแต่นี้ต้าฮวงอุดมสมบูรณ์พันลี้ ใกล้เคียงแดนสุขาวดี
เสียงโห่ร้องยินดีในภาพมโนงดงามเช่นนี้ยิ่งดุเดือดขึ้น เป็นระลอกระลอกดั่งคลื่นกำลังจะพลิกคว่ำนครตี้เกอที่เงียบสงบนี้ ฉากกั้นหลากสีถูกคลื่นเสียงและแขนผลักดันจนพัดพลิ้วปลิวไสว ศีรษะนับมิถ้วนเบียดไปเบียดมาเบื้องหน้าฉากกั้นหลากสีดั่งคลื่นสมุทรจะพุ่งสู่สายรุ้ง
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของราษฎร เหล่าขุนนางและเหล่าผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้าร่วมพิธีเผยให้เห็นท่าทางระมัดระวัง ขุนนางกองพิธีการสีหน้าย่ำแย่ ผู้คนที่เหลือส่วนใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม มีผู้เงียบเชียบมิเอ่ยวาจากำลังคำนวณความเป็นไปได้ในการใช้วิชาตัวเบาปรากฏกายบนเวทีสูงใหญ่โดยพลันในระยะเวลาสั้นขนาดนั้น ทว่าคำนวณไปคำนวณมา ผลลัพธ์ต่างเป็นไปไม่ได้
ทว่าการก้าวข้ามเกือบสิบจั้งในชั่วเวลากะพริบตาเพียงครั้ง ปรากฏกายบนเวทีสูงใหญ่โดยพลัน เรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตของศิลปะการต่อสู้ มีเพียงวิชาย่นพสุธาซึ่งเป็นศาสตร์ศิลป์การต่อสู้มหัศจรรย์แห่ง “แดนสวรรค์” ในตำนานต้าฮวงพอเป็นไปได้ ทว่าหากเป็นวิชาย่นพสุธาจริง นั่นก็เกือบจะเอ่ยได้ทัดเทียมเทพแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจเชื่อถือ ลูกไม้หนึ่งนี้ของราชินีไม่ปลอมแปลงเลยแม้แต่น้อยท่ามกลางสายตามวลชนจ้องมอง คำว่า “มหัศจรรย์” สองคำนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง คนจำนวนมากสูดหายใจเฮือกหนึ่งปานปวดฟัน…ต้าฮวงดินฟ้าอากาศหลากหลาย ภูมิศาสตร์พื้นที่ซับซ้อน สัตว์ประหลาดศาสตร์อัศจรรย์มากมายเหลือคณานับ ฉะนั้นจึงเป็นแว่นแคว้นหนึ่งซึ่งตำนานเทพนิยายแพร่หลายที่สุดเช่นกัน ราษฎรเต็มใจอย่างยิ่งที่จะอธิบายเรื่องราวที่ยากจะอธิบายทั้งหมดเป็นโองการเทพ อีกทั้งกราบไหว้บูชางมงายไร้สงสัย บัดนี้ราชินีกระทำลูกไม้หนึ่งนี้ต่อหน้าธารกำนัล แสดงให้ราษฎรนับพันนับหมื่นเห็นความมหัศจรรย์งดงามดั่งจินตนาการฉากหนึ่งนี้ นึกแล้วพอจะรู้ได้ว่า ตี้เกอหลังจากวันพรุ่ง การสนับสนุนราชินีองค์ใหม่กำลังจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดครั้งใหม่
จิ่งเหิงปัวพินิจสีหน้าของเหล่าขุนนางเบื้องล่าง รู้สึกแค่ว่าสบายใจสบายอารมณ์
นางชำเลืองตามองเหยียลี่ว์ฉีแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้รู้ความจริงนี้คล้ายไม่ได้คิดจะเปิดโปงนาง ยิ้มอย่างลึกลับอยู่ข้างหนึ่ง
นางยิ้มแย้มเช่นกัน สนใจเขาทำไม จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉากสำคัญของนางยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลย
นางเชิดหน้าขึ้นหันกายครั้งหนึ่ง นั่งลงไปบนกึ่งกลางที่นั่งซึ่งประดับเพชรนิลจินดาปูด้วยฟูกแพรต่วนสีแดงแห่งนั้น