กลางหน้าผากกงอิ้นแลคล้ายกำเนิดหิมะน้ำแข็งเช่นกัน มองดูศัตรูทางการเมืองที่ตนเองต่อสู้มานานหลายปีอย่างเฉยเมยปราดเดียว เงาขาวกะพริบวูบสูญสลายหายไป
การแพ้ชนะอาจจะตัดสินชี้ขาดในชั่วครู่หนึ่งนี้
…
“พลั่ก” จิ่งเหิงปัวร่วงลงบนพื้น ข้อเท้าเจ็บปวด เรือนร่างเอนเอียงไปทางด้านหลังนั่งลงไปเต็มก้น
ตอนที่นั่งลงไปนางได้ยินเสียงร้องอย่างตกตะลึงเสียงหนึ่งรำไร ซ้ำยังคล้ายได้ยินเสียงซู่ซู่ ใต้ก้นลุกไหม้เจ็บปวดระลอกหนึ่ง นางร้อง “ว้าย” เสียงหนึ่งกุมก้นไว้เด้งกายขึ้นมา
“เจ็บจัง! เจ็บจังๆ!”
ข้างกายมีคนผู้หนึ่งซึ่งร้องได้เศร้าสลดเสียยิ่งกว่านาง
“อ๊าก! สตรีนี่มาจากที่ใด! ทับสายชนวนดับแล้ว!”
จิ่งเหิงปัวกะโดดออกมาสามจั้ง หันหน้ากลับมาอย่างงงงัน ข้างหลังกายห่างไปไม่ไกล มีชายชาตรีชุดดำคนหนึ่ง ในมือคว้าคบเพลิงอันหนึ่งไว้ สีหน้าฉายแววสิ้นชีพ มองดูสายชนวนท่อนหนึ่งบนพื้นอย่างงงงัน
สายชนวนลุกไหม้ไปแล้วครึ่งใหญ่ ยามนี้มอดไหม้แล้ว เผยรอยไหม้ดำเกรียมท่อนหนึ่งออกมา
ในสมองของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา
นางหายตัว นึกไม่ถึงว่าจะหายตัวไปยังที่จุดชนวนดินระเบิด ก้นของนางนั่งทับสายชนวนจนดับสนิทแล้ว!
นี่เรียกว่าอะไร เจตจำนงของสวรรค์เหรอ
ทหารกล้าตายที่รับผิดชอบจุดไฟดินระเบิดผู้นั้นตะลึงงันไปชั่วครู่ ทว่ากัดฟันกรอด นำคบเพลิงเข้าใกล้สายชนวนอีกครั้ง
“เฮ้ๆๆ!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าคนที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ยังจะหาเรื่องตายอีก รีบเร่งเหินพุ่งเข้าไปดึงแขนเจ้าคนนั้นไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรไป อยากตายหรือไร ยังจะจุดมันทำอะไรอีก!”
“ปล่อยนะ!” ทหารกล้าคนนั้นต่อสู้ตายดิ้นรน ยืนหยัดนำคบเพลิงประชิดใกล้สายชนวนอย่างไม่ลดละ
“มีชีวิตย่อมดีกว่าตาย!” จิ่งเหิงปัวเกิดโมโหขึ้นมา สะบัดเขาดังพลั่กๆ เพียะๆ กล่าวว่า “เจ้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ยังไม่รีบหนีอีก ยังจุดอะไรอีกเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือการก่อกรรมทำเข็ญ เจ้าจะตาย ซ้ำยังมีคนบริสุทธิ์อีกมากมายต้องตาย!”
“ทว่า!” เจ้าคนนั้นสะบัดจิ่งเหิงปัวออกไปในครั้งเดียว ตวาดฉับพลันว่า “วันนี้หากข้าไม่ตายอยู่ที่นี่ ทั้งบ้านข้าจะตายกันหมด!”
จิ่งเหิงปัวชะงัก มองดูทหารกล้าตายน้ำตานองหน้าผู้นั้น ดวงใจบีบเกร็งทันที
ทางตันไม่อาจเลือกนี้
ในสังคมมหาอำนาจเช่นนี้ ผู้ที่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่าไม่มีแม้แต่อิสระในการการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเลยเหรอ
ทหารกล้าตายออกแรงทันใด ผลักจิ่งเหิงปัวออกไปอย่างรุนแรง จิ่งเหิงปัวล้มออกไปไกลลิบ ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งเท้าที่แพลงอยู่แล้วยิ่งบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้แม้แต่ความเป็นไปได้ในการคลานขึ้นมาของนางยังไม่มีเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขัดขวางแล้ว
ทหารกล้าตายน้ำตานองหน้า มองนางอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง นำคบเพลิงประชิดใกล้สายชนวนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
จิ่งเหิงปัวยิ้มขมขื่นหลับตาลง ดิ้นรนคลานขึ้นมากะพริบวูบหายไป
ช่างเถอะ! ช่างเถอะ!
คนเดินไปเกือบหมดแล้ว ใต้หลุมเวทีคงจะไม่มีคนแล้วล่ะ ถ้ามีคนตายอีกนับว่าเขาดวงซวยเกินไป!
…
ครู่หนึ่งนั้นที่สายชนวนถูกนั่งทับจนมอดไหม้
ในหลุมเวที เหยียลี่ว์ฉีที่หลับตารอความตายนับนิ้วคำนวณเวลา ทว่ามิได้ได้ยินเสียงอำลาโลกเสียงหนึ่งนั้นในเวลานั้น
เขาลืมตาฉับพลัน เร่งโคจรปราณให้เร็วขึ้น ผลึกน้ำแข็งรอบกายค่อยๆ ละลาย…
สายชนวนจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
น้ำแข็งหนาเยือกแข็งรอบกายเหยียลี่ว์ฉีปรากฏร่องรอยสูญสลาย
สายชนวนลุกไหม้ฟู่ๆ ค่อยๆ หดสั้น
ไอสีขาวบนศีรษะเหยียลี่ว์ฉียิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในหลุมเวทีคล้ายเกิดหมอก ผลึกน้ำแข็งเปล่งเสียงแครกๆ แตกร้าวอย่างต่อเนื่อง
กงอิ้นที่ออกห่างจากเวทีสูงไปไกลแล้วแลไล่ต้อนฝูงชนอย่างฉับพลัน หันหลังกลับมาอย่างงงงัน
สายชนวนลุกไหม้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!
“ตู้ม!” เสียงหนึ่งระเบิดกึกก้อง ก้อนน้ำแข็งแตกร้าว เหยียลี่ว์ฉีพุ่งออกมาจากน้ำแข็งแล้วทลายพื้นกระดานเวทีท่ามกลางเสียงดังครืนกึกก้อง แผ่นไม้และผลึกน้ำแข็งร่วมกระเซ็น เค้าร่างที่เหินขึ้นมาของเขาดุจมังกรเจียวหลง[1]สีดำตัวหนึ่ง
แทบจะในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงดังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงหนึ่งระเบิดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าเขาดุจดั่งมังกรแผ่นดินเคลื่อนกาย เวทีสูงสูญสลายในพริบตาเดียว เสาธงหักโค่น สิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งลานกว้างต่างกำลังสั่นไหวคล้ายจะร่วงหล่น ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อุทานอย่างตื่นตะลึงอยู่ห่างไกลถูกการสั่นสะเทือนของพื้นดินกับคลื่นกระแทกสะเทือนเกลือกกลิ้งออกไปไกลโพ้น ทั่วลานกว้างเงียบสงบอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้น เสียงกรีดร้องกึกก้องถึงท้องนภา
จากพื้นดินถึงกลางอากาศ เมฆหมอกสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นสูง พลิ้วไหวดุจมังกรพิโรธเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ” ทว่ามีผู้เปล่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งใจกลางเมฆนิล ในเสียงเปี่ยมด้วยปีติยินดี ร้องว่า “สวรรค์ไม่ทอดทิ้งข้า!”
เส้นผมยาวของเขาพลิ้วสยาย ชุดสีดำสะบัดพัดพลิ้ว ราษฎรตกตะลึงหันหน้าไปมอง เงาดำกระโจนขึ้นมาอย่างดีอกดีใจกลางเมฆนิลคละคลุ้ง ดุจปีศาจร้ายกระโจนออกมาจากเบื้องลึกในหุบเหว
กงอิ้นที่อยู่ห่างไกลหันหลังกลับมามองดูเหยียลี่ว์ฉีที่หนีเอาชีวิตรอดไปได้ แลมิได้ผุดเผยสีหน้าผิดหวัง มุมปากกลับเชิดขึ้นมาเจือจาง
“ไม่ตายก็ดี” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “มิฉะนั้นข้าคงต้องอ้างว้างเกินไปแน่”
…
จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ซอกมุมหนึ่งของจัตุรัสมองดูควันดำคละคลุ้งที่อยู่ห่างไกล ฝูงชนร้องโหยหวนวิ่งห้อ จัตุรัสที่เมื่อครู่ยังรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ตอนนี้รกร้างโรยรา ทุกแห่งหนบนพื้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้ารองเท้าที่ถูกทิ้งไว้ ชั่วพริบตาหนึ่งเจริญรุ่งเรืองชั่วพริบตาหนึ่งกลียุคเสียจริง รู้สึกเพียงว่าในดวงใจว่างเปล่าโหรงเหรง
พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้ วันแรกที่นางเข้าสู่นครตี้เกอแปรเปลี่ยนพลิกผันหลายหลายสีสันจริงๆ สุดท้ายยังมีเพลิงไหม้เวทีสูงระลอกหนึ่ง ควันดำกลุ่มหนึ่งบดบังใจกลางตี้เกอ เสียงดังครืนเสียงหนึ่ง ราษฎรหลบหนีอย่างตื่นตระหนก
ไม่รู้ว่าจะใช่ลางบอกเหตุว่าอนาคตของนางในภายหลังจะมืดมนหรือเปล่า
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจบีบคลึงข้อเท้า นั่งรอกงอิ้นมารับ
ราษฎรกลุ่มหนึ่งไหลผ่านข้างกายนางปานคลื่นธาร นางเกิดความรู้สึกอยากหลีกลี้กลียุคขึ้นมา อยากถอดมงกุฎราชินีทิ้ง หิ้วกระเป๋าเดินปะปนเข้าไปในฝูงชน ท่องทั่วโลกหล้า เป็นคนธรรมดานับแต่นี้
เดิมทีราชินีไม่ใช่แผนการของนาง
นางเท้าแก้มครุ่นคิดชั่วครู่ รู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านี้ที่ยังมาต่างโลก ช่วงระยะเวลาที่เป็นนางโลมนั้นยังคงเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด
เรื่องเป็นราชินีไม่สำเร็จก็เป็นนางโลมนี้ สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้วจะเป็นแบบไหนก็ได้ ในมุมมองของนางทั้งสองแบบมีจุดร่วมกัน…ต่างได้ชื่นชมบุรุษทุกชนิดปริมาณมาก มองจากมุมมองอิสระแล้ว นางยังรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงตกอับสบายใจกว่านิดหน่อย
ในตอนแรกนางเคยคิดว่าเรื่องหอนางโลมนี้ จะให้ดีที่สุดต้องบุกเบิกเป็นธุรกิจระยะยาว รอให้นางคุ้นเคยกับกระบวนการการทำงานของหอนางโลม นางจะหาวิธีแลกอัญมณีเป็นเงิน เปิดสโมสรระดับสูงที่มีสไตล์ มีรสนิยม มีรายการแสดงที่แตกต่างไม่เหมือนใครสักแห่ง ตนเองเป็นเถ้าแก่เนี้ย ทั้งหาเงินดำรงชีวิตได้ทั้งจะได้ไม่มองหนุ่มหล่อนับไม่ถ้วนเสียเปล่า รอให้สโมสรโด่งดังแล้วจะประกาศต่อโลกหล้าว่ารับสมัครแม่ครัวที่พิเศษที่สุด บอดี้การ์ดหญิงที่เย็นชาที่สุด หมอหญิงที่เชี่ยวชาญการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บที่สุด แบบนี้เหวินเจินที่เชี่ยวชาญด้านการทําอาหาร ยัยผู้ชายไท่สื่อหลัน รวมทั้งตาทิพย์น้อยจวินเคอจะไม่ถูกตนเองหาเจออย่างสบายอกสบายใจแล้วเหรอ
คิกๆๆ สมบูรณ์แบบจริงแท้อะไรขนาดนี้
จากนั้นนางก็ถอนหายใจเฮือก
มีคำเรียกว่าอะไรนะ ขี่หลังเสือยากจะลง ลมหายใจเฮือกเดียวช่วงชิงมาถึงตอนนี้ ราชินีคงไม่เป็นไม่ได้แล้ว
นางชื่นชอบราษฎรต้าฮวงที่มีน้ำใจไมตรี นางอยากจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของที่นี่ นางไม่อยากให้มหาอำนาจอยู่เหนือกว่าชีวิตตลอดไป ไม่อยากให้โศกนาฏกรรมของทหารกล้าตายเมื่อครู่นั้นซ้ำรอยเดิม
นางครุ่นคิดปัญหาชีวิตหนักหน่วงข้อนี้อยู่ชั่วครู่ ในใจสะท้านขึ้นมากะทันหัน รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรผิดปกติ
เบื้องล่างไม้กระดานเวทีก่อนหน้านี้ ตอนที่กงอิ้นทำลายตุ๊กตา เหมือนจะทำลายตุ๊กตาทิ้งไปแค่ตัวเดียว ยังมีอีกตัวหนึ่งนะ…
คนผู้หนึ่งนั่งลงข้างกายนางกะทันหัน ขัดจังหวะความรู้สึกนึกคิดของนาง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ เขากอดกระเป๋าของนางไว้ไม่ปล่อยมือประหนึ่งของล้ำค่า
“เอากระเป๋าคืนมา” ตอนนี้มองเห็นกระเป๋านางก็เจ็บปวดใจ สาบานว่าภายหลังจะล็อกกุญแจรหัสตลอดไป ไม่มอบให้คนอื่นอย่างเด็ดขาด
“ไม่ให้” อีชีคัดค้าน ชนไหล่นางอย่างลึกลับซับซ้อนโดยพลัน เอ่ยว่า “เฮ้ ของสิ่งนั้นก่อนหน้านี้ นั่นคือสิ่งใด คือสิ่งใดหรือ”
จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าอัปลักษณ์ท่วมท้นนั้นของเขาแล้วอยากจะอกแตกตาย
โอ้สวรรค์คนที่มองเห็นแล้วมีกี่คนกันแน่นะ
“สิ่งใด สิ่งใดหรือ” ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความไร้เดียงสา กล่าวว่า “ในกระเป๋าข้าล้วนเป็นสิ่งของที่พวกที่สตรีใช้ พวกเจ้าเหล่าบุรุษมองมั่วซั่วโดยไม่ละอายใจเลยหรือ”
“ข้ามิได้มองมั่วซั่ว!” อีชีสาบานต่อฟ้า เอ่ยว่า “ทว่าข้ามองเห็นมันกลิ้งมาทางข้า ตุ๊กตาอนาจารที่กอดกันและกันคู่หนึ่ง! อีกทั้งตุ๊กตาผู้หญิงหน้าตาคล้ายเจ้านัก รูปร่างนั้น…” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ยิ่งอึกหนึ่งดังเอื๊อกเสียงหนึ่ง ดวงตาจ้องมองจิ่งเหิงปัวทั่วเรือนร่างคล้ายว่ากำลังเปรียบเทียบสัดส่วน
“วาจาใดที่เจ้าเอ่ยมาข้าฟังไม่เข้าใจเลยสักเพียงน้อย” จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “นั่นคืออาวุธลับที่มือสังหารขว้างออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของข้าชัดๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย”
“ขอเพียงเจ้าบอกข้าว่าตุ๊กตานี้ประดิษฐ์อย่างไร ยามที่ประดิษฐ์ใช้คนจริงเป็นต้นแบบใช่หรือไม่ ยามนั้นเจ้าแต่งกายเช่นนั้นให้คนประดิษฐ์ตามจริงหรือ เจ้าทำให้ข้าบ้างสักตัวได้หรือไม่…” อีชีเต็มหน้าตื่นเต้นดีใจ เอ่ยวาจาจุกจิกเจื้อยแจ้ว
จิ่งเหิงปัวมีเพลิงโทสะเต็มหน้าท้อง กล่าวอย่างเปี่ยมด้วยเจตนาร้ายว่า “ในเมื่อปิดบังเจ้าไว้ไม่ได้ข้าก็ยอมรับแล้วกันว่าเป็นเรื่องจริง ไม่เพียงใช้คนจริงเป็นต้นแบบ นี่คือไสยศาสตร์ชนิดหนึ่ง บุรุษผู้นั้นก็เป็นคนจริง เขาได้ล่วงเกินข้า เรียกข้าว่าภรรยามั่วซั่ว ทั้งแย่งชิงกระเป๋าของข้า ฉะนั้นข้าจึงเชิญแม่มดมาสังหารเขา ใช้เส้นผมของเขาทำเส้นผมของตุ๊กตา ใช้ผิวกายของเขาทำผิวกายของตุ๊กตา กักขังวิญญาณของเขาไว้ในตุ๊กตา ฉะนั้นตุ๊กตานี้ถึงได้แลดูเสมือนจริงยิ่งนัก” กล่าวเสร็จดวงตาเอนเอียงเพ่งเล็งทั่วเรือนร่างเขาคล้ายกำลังพิจารณาว่าควรลงมีดตรงไหน
“เป็นเรื่องจริงหรือ…” ดวงตาของอีชีเปล่งประกายคล้ายว่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเหลือตุ๊กตาเช่นนี้ไว้สักตัวหนึ่งน่าสนุกยิ่งนัก ภายหลังยามที่เจ้าคิดถึงข้าก็จะได้กอดข้าลูบข้า…กระเป๋านั่นเหตุใดจึงต้องคืนให้เจ้า ให้ข้าเล่นสักหน่อยก่อนสิ้นชีพ…” เขาหลับตาควานไปควานมาในกระเป๋า ครู่ต่อมาล้วงออกมาชิ้นหนึ่ง มองปราดเดียว ร้องเสียงดังว่า “โอ้โหนี่คือสิ่งใด ตู้โตวหรือ”
จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่ง โยะชิ บรา
ครู่ต่อมาอีชีลากของสิ่งหนึ่งออกมาอีก เอ่ยว่า “อ๊ะ นี่คือสิ่งใด กล่องสมบัติหรือ”
จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่ง โพลารอยด์แบบการ์ด ก่อนหน้านี้นางเก็บกลับไปแล้ว
“อย่ารื้อของของข้ามั่วซั่ว!” นางแย่งบรากลับมายัดเข้าไปในกระเป๋า คว้าโพลารอยด์มา
“อย่านะ” อีชีไม่ให้
ท่ามกลางการทะเลาะโต้เถียงก็ไม่รู้ว่านิ้วมือของใครโดนปุ่มกดเข้า ภาพถ่ายใบหนึ่งถูกปล่อยออกมากะทันหัน