หูของจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงดังเอะอะภายนอกยิ่งดุเดือดขึ้น มีเสียงตื่นตกใจโกรธเคืองรำไร นางหัวเราะอย่างพอใจ…กล่าวไปชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการคนมาช่วยป้องกัน จะรับผิดชอบความเป็นความตายด้วยตนเอง ซ้ำยังขีดเส้นเป็นเขตแดน ถ้าซังต้งกล้าให้คนบุกเข้ามา เข้ามาเดี่ยวฆ่าเดี่ยว เข้ามาคู่ฆ่าทั้งคู่! นางไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์ไม่เสียดายชีวิต!
จิ่งเหิงปัวมั่นใจว่าซังต้งไม่กล้าฝ่าฝืนบุกเข้ามา อย่างไรเสียหอคอยสูงยังไม่พังทลาย นางยังไม่จำเป็นต้องหักหน้ากันจนเกินงาม เพียงมาดูว่ากงอิ้นไม่อยู่ อีกทั้งรู้สึกว่าราชินีอ่อนแอ มากลั่นแกล้งสักหน่อยเท่านั้น
ความคิดนี้เพิ่งผันผ่าน พลันได้ยินเสียงดังก้องระลอกหนึ่งจากเบื้องหน้า จากนั้นประตูตำหนักเปิดออกดังพลั่กกึกก้องเสียงหนึ่ง คนผู้หนึ่งชนประตูเข้ามา
เขารวดเร็วยิ่งนัก ข้างหลังตามมาด้วยคนกลุ่มใหญ่ จิ่งเหิงปัวได้ยินอวี่ชุนตะโกนก้องว่า “ขวางมันไว้!” ซ้ำยังได้ยินอวี่ชุนตะโกนด่าว่า “สารเลว! กองเซ่นไหว้เสียสติแล้วหรือ? พวกเจ้าเสียสติแล้วหรือ? ขีดเส้นไว้แล้วยังกล้าฝ่าฝืนบุกเข้ามาจริงหรือ? ทุกคนมาเร็ว ยิงธนูใส่พวกมันไปด้วยเลย!”
จากนั้นมีผู้ร้องตะโกนดังก้องว่า “ไม่ใช่! ไม่ใช่! อย่าเข้าใจผิดเชียวนะ! พวกเราไม่รู้จักคนผู้นี้! คนผู้นี้ไม่ใช่คนของตระกูลกองเซ่นไหว้ของพวกเรา! พวกเราไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใด!”
องครักษ์ในเขตพระราชฐานเร่งรีบกรูกันเข้าไปแล้ว มีดกระบี่ออกจากฝักเสียงดังเคร้งแคร้งผืนหนึ่ง แต่ยังคงได้ยินการถกเถียงชี้แจงที่ห่างไปไม่ไกลได้ชัดเจน วุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วเรียวยาว เกิดอะไรขึ้น? ฟังน้ำเสียงร้อนรนแปลกใจขององครักษ์กองเซ่นไหว้ที่คุมเชิงทางนั้น คล้ายว่าคนที่บุกเข้ามาไม่ใช่คนของซังต้งจริง? แล้วใครปะปนเข้ามากะทันหัน? จุดมุ่งหมายคืออะไร?
นางก้าวขึ้นไปสองก้าวโดยสำนึก อยากจะมองดูอีกฝ่ายให้ชัดเจน คนผู้นั้นทะลุผ่านองครักษ์ที่สกัดกั้นหลายนายปานฟ้าแลบ พลันเงยหน้ามองมา
จิ่งเหิงปัวดุจถูกฟ้าแลบจู่โจม
แววตานั้นสว่างไสวเพียงนี้ เฉียบคมเพียงนี้ ดุจซุกซ่อนมีดสองเล่มไว้ ดั่งฝังไฟฉายที่มีพลังทะลุผ่านแข็งแกร่งอย่างยิ่งสองกระบอก จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดปกติในพริบตาเดียว ดวงตาของเขาคือรังสีเอกซ์! กำลังทะลุผ่านนาง มองไปยังที่แห่งหนึ่ง!
ที่แห่งหนึ่งอยู่ตรงไหน?
พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาก็มองเห็นกำแพงศิลาภาพภูเขาและสายน้ำข้างหลังตน หรือคือด่านยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนเข้าสู่วังบรรทมของกงอิ้น ประตูบานนั้นที่ไม่มีใครรู้รหัสผ่าน
นางมองเห็นสายตาของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองบนบานประตูเขม็ง เกิดลางสังหรณ์ไม่สบายใจ ถอยหลังสองก้าวไปขวางกั้นกำแพงศิลาไว้
คนนั้นมองนางปราดหนึ่ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกอีกครั้งว่าคล้ายดั่งถูกไฟฉายกวาดผ่าน
ดวงตาของเจ้าคนนี้คงพิเศษอย่างมากแน่นอน
แต่มองดูองครักษ์พุ่งเข้ามาทับซ้อนเป็นชั้น นางวางใจอย่างยิ่ง เขาบุกเข้ากำแพงมนุษย์แข็งแกร่งแบบนี้มาไม่ได้หรอก
คนนั้นกลับไม่ได้ฝ่าฝืนบุกเข้ามา หลังจากปราดแรกที่มองเห็นนางก็เริ่มร่นถอย หูของจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงคำรามยืดยาวของเขาเสียงหนึ่ง ชนคนที่ไล่โจมตีข้างหลังออกไปแล้วถอยกลับไปด้วยหยาดโลหิตหลั่งรินตลอดทาง
พอเห็นเช่นนี้พาให้ทุกผู้คนต่างงงงัน ไม่เข้าใจว่าเจ้าผู้นี้พลีชีพบุกเข้าลานด้านในอย่างยากลำบาก เหตุใดจึงร่นถอยกลับไปโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวยิ่งรู้สึกว่าแปลกประหลาด หรือว่าเจ้าคนนี้เพียงเพื่อจะมองกำแพงศิลาแวบหนึ่ง?
มองอย่างเดียวแต่ไม่ผลักมันไม่เปิดหรอกนะ
…
มือสังหารที่ปะปนเข้ามากระเซ็นโลหิตล่าถอยออกไป พวกอวี่ชุนไล่ล่าไม่ยอมลดละ มองเห็นเจ้าผู้นั้นไม่ได้หลบหนีออกไปนอกวัง ข้ามผ่านทางหลักแล้ววิ่งไปทางสำนักเจาหมิงประดุจรีบร้อนไร้ทางเลือก
พอเหมิงหู่ที่รีบตามมาเห็นว่าผิดปกติ ตวาดว่า “ยิงธนู!”
ลูกธนูสีครามบดบังท้องนภา แหวกสลายชั้นเมฆคล้อยต่ำ พุ่งไปยังแผ่นหลังของคนผู้นั้นดังหวึ่งเสียงหนึ่ง
คนผู้นั้นกลับไม่หลบไม่หลีก เพียงพุ่งไปเบื้องหน้าสุดชีวิต ข้ามผ่านกำแพงลานของสำนักเจาหมิง
ลูกธนูผืนใหญ่เหินขึ้นจากภายในสำนักเจาหมิง หลังท้องของคนผู้นั้นต้องธนู หลั่งโลหิตปานตัวเม่นพุ่งไปเบื้องหน้าเพียงครั้งแล้วเข้าไปในลานบ้าน
เบื้องหน้าหน้าต่างภายในลานบ้าน เหยียลี่ว์ฉีที่ยืนรอคอยอยู่โดยตลอดผลักหน้าต่างเปิดออก
ทหารกล้าตายหมอบอยู่ไม่ไกลจากเบื้องหน้าหน้าต่างของเขา ลูกธนูทั่วร่าง ดิ้นรนเงยหน้าขึ้น
ทหารกล้าตายคล้ายวางใจแล้ว เงยหน้าขึ้นพ่นวาจาระลอกหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เหยียลี่ว์ฉีใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วพลันเอ่ยว่า “กลอนซ่อนนามราชินี!”
เขาไม่ได้เปล่งเสียงออกมา เป็นเพียงการขยับริมฝีปาก ชายชาตรีนั้นอ่านแล้วพลันแหงนหน้าขึ้น ตะโกนก้องเสียงหนึ่ง
“ราชินีซ่อนนามกลอน!”
จากนั้นเขาก้มศีรษะลง สิ้นลมหายใจ
เหยียลี่ว์ฉีมองซากศพของเขาอย่างลวกๆ ปราดเดียว นิ้วมือสะบัดเพียงครั้ง หน้าต่างปิดลงดังแอ๊ดเสียงหนึ่ง
ผนึกกลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นกับท้องนภาครึ้มฝนไว้นอกหน้าต่าง
จากนั้นเขาหันกายนั่งลงท่ามกลางความมืดมิดในห้อง ผ่านไปนเนิ่นนาน ริมฝีปากกระหวัดเป็นรอยยิ้มเจือจาง
ดุจดอกบัวนิลที่ผลิแย้มเชื่องช้ากลางบึงโคลนเลี่ยหั่วยามเที่ยงคืน
น้ำเสียงเฉื่อยเนือยทว่าแจ่มแจ้งวนเวียนแผ่วเบาภายในห้อง
“ที่แท้ความรู้สึกของเจ้าสลักฝังลึกเช่นนี้เนิ่นนานแล้ว…”
…
ผู้คนเบื้องนอกรู้สึกประหลาดใจมากหลาย
ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้ปะปนเข้ามาในกองทัพองครักษ์ของกองเซ่นไหว้ได้อย่างไร อีกทั้งเหตุใดถึงพลีชีพบุกเข้าจิ้งถิงแล้วพลีชีพล่าถอย จากนั้นพลีชีพบุกเข้าสำนักเจาหมิง สุดท้ายยังตะโกนวาจาพิลึกพิลั่นขนาดนั้นประโยคหนึ่ง
คล้ายว่าเขากระทำท่าทางประหลาดเหลือเชื่อมากมายขนาดนั้น มุ่งสู่การสิ้นชีพที่ไม่มีโอกาสรอดชีวิต เพียงเพื่อวาจาที่ไร้ซึ่งผู้ฟังเข้าใจประโยคหนึ่ง
ในเมื่อเขาสิ้นชีพ อวี่ชุนเหมิงหู่ก็วางใจแล้ว สั่งให้คนลากซากศพออกไป องครักษ์ทางนั้นของกองเซ่นไหว้ประสบเหตุการณ์หนึ่งนี้แล้วไม่กล้าอาละวาดอีก ต่างทยอยถอยไปยังหลังเส้นสีที่อวี่ชุนวาดไว้
ทว่ายามผู้หนึ่งเก็บกวาดผู้หนึ่งร่นถอย ฝูงชนวุ่นวายเล็กน้อยยากหลีกเลี่ยง
เงาคนสีดำสายหนึ่งขยับออกไปจากกองทัพองครักษ์กองเซ่นไหว้อย่างเงียบเชียบ แล้วประชิดใกล้เพียงครั้งอย่างเงียบเชียบ ถึงหลังกายราชองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังอวี่ชุน
รูปร่างเขาสูงโปร่ง ความเคลื่อนไหวลึกลับไร้สรรพเสียง มีความจืดจางโดยกำเนิดภายใต้ผืนนภามืดครึ้มแสงสลัว ผู้คนทั่วทิศกำลังยุ่งวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจถึงการดำรงอยู่และความเปลี่ยนแปลงของคนผู้นี้
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ผู้ควรถอนกำลังต่างถอนกำลังแล้ว พอจัดการทุกสิ่งเสร็จสิ้น อวี่ชุนหลงเหลือคนส่วนหนึ่งไว้ป้องกันเส้นนั้นแล้วพาองครักษ์ที่เหลือกลับสู่จิ้งถิง คนผู้นั้นติดตามข้างหลังองครักษ์คนสุดท้ายผู้หนึ่งอย่างเงียบเชียบ เลียนแบบทุกฝีก้าว มุ่งตรงเข้าสู่ลานบ้าน
หลังจากคนผู้นี้เข้าสู่ลานบ้าน องครักษ์ที่อยู่ทั่วลานบ้านกลับไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงเขาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
หากยามนี้มีผู้จ้องมองเขาอยู่ ย่อมพบว่าแท้จริงแล้วเขาเคลื่อนย้ายเล็กๆ น้อยๆ โดยตลอด เปลี่ยนแปลงทิศทางร่างกายไม่หยุดหย่อน การเคลื่อนย้ายทุกครั้งต่างกระทำการปรับเปลี่ยนตามทิศทางที่สายตาผู้อื่นกวาดผ่านมา เข้าสู่มุมอับสายตาของผู้อื่น ทำให้สายตาแจ่มแจ้งของผู้คนกวาดผ่านสถานที่ซึ่งมีเขาดำรงอยู่ทว่ามองไม่เห็นเขา
ความสามารถเช่นนี้เอ่ยขึ้นมาแล้วเหลือเชื่อ แท้จริงแล้วเป็นการศึกษาค้นคว้าการหักเหของแสงรูปแบบหนึ่ง นับเป็นวรยุทธอำพรางวิชาหนึ่งในตำนานของต้าฮวง
จิ่งเหิงปัวมองเห็นทุกคนกลับสู่ตำแหน่งของตนเอง ภายในภายนอกต่างฟื้นคืนความเงียบสงบ นางวางใจแล้ว กลับสู่กลางพระราชวังของกงอิ้น
นางไม่ได้รีบร้อนเข้าสู่ตำหนักใหญ่ หันหลังให้กำแพงศิลา เผชิญแววตาสงสัยของกงอิ้น ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ไล่คนไปแล้ว มือสังหารก็ตายแล้ว เพียงรู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
นางเล่าความงงงวยในใจให้กงอิ้นฟัง หัวคิ้วของกงอิ้นขมวดขึ้น เอ่ยว่า “สำนักเจาหมิง?”
“ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวเฝ้าอยู่ปากประตูวังบรรทม ไม่ได้ตามไปยังทางหลักของสำนักเจาหมิงทางนั้น จึงไม่รู้วาจาประโยคนั้นที่มือสังหารร้องออกมายามสุดท้ายหลังบุกเข้าสำนัก รู้สึกสังหรณ์เพียงว่าแปลกประหลาด กล่าวว่า “ข้ามองเห็นเขาไปทางนั้นแล้ว จริงสิ สำนักเจาหมิงใกล้กับจิ้งถิงขนาดนี้ ยามนี้ยังขังเหยียลี่ว์ฉีไว้ ไว้ใจได้หรือ?”
“การป้องกันของสำนักเจาหมิงไม่อยู่ใต้อำนาจจิ้งถิง ยิ่งกว่านั้นในช่วงเวลาที่สอบสวนขุนนางผู้หนึ่งผู้ใด ผู้อยู่ในสำนักเจาหมิงไม่อาจเข้าออกได้ เอ่ยแล้วคงจะไม่มีปัญหา”
“ผิดปกติแล้ว” จิ่งเหิงปัวที่กำลังตระเตรียมเดินไปข้างหน้าหยุดฝีก้าวไว้ กล่าวว่า “ข้ามองเห็นขุนนางเข้าออกชัดแจ้ง”
“อะไรนะ?” กงอิ้นหรี่นัยน์ตาเพียงครั้ง
“คนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ก้าวเดินสองมือยังลูบอยู่หลังเอว คล้ายกับเพิ่งถูกโทษโบยกระนั้น…”
ขนคิ้วของกงอิ้นพลันเชิดขึ้น
“แน่ใจว่าเป็นขุนนางสำนักเจาหมิง?”
“อืม ออกมาจากสำนัก สวมชุดขุนนางสำนัก”
“ออกมายามนี้หรือ?”
“อืม”
“ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“อืม”
สีหน้าของกงอิ้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
“เมื่อครู่มือสังหารไปทางสำนักเจาหมิง?”
“คงจะใช่”
“เหิงปัว!” กงอิ้นพลันตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง พาให้จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ…นางไม่เคยได้ยินกงอิ้นเปล่งเสียงดังขนาดนี้มาก่อน ซ้ำยังไม่เคยได้ยินเขาเรียกชื่อของนางมาก่อน
“รีบหลีกไป!”อีกเสียงหนึ่งตะโกนลั่นไปถึงแก้วหูของนาง จิ่งเหิงปัวพุ่งลงพื้นทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
ตอนที่หมอบลงนางกำลังอธิษฐานว่าบนพื้นอย่าได้มีเศษหินอะไรเชียวนะ กระแทกแรงขนาดนั้น…
ความคิดยังไม่ทันได้ผันผ่าน เรือนร่างเพิ่งกระทบพื้น “ฉึก” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาจากข้างหลัง