จากนั้นนางภาคภูมิใจขึ้นมา นั่งลงข้างกายเขาเชื่องช้า กล่าวว่า “วันนี้ข้า…”
“ยินดีด้วย” เขาเอ่ย
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน ที่แท้เขารู้แล้ว เขาติดตามความเคลื่อนไหวในห้องหนังสือของจิ้งถิงอย่างใกล้ชิดโดยตลอดเลยใช่ไหม?
“มีความรู้สึกแปลกประหลาดใดหรือไม่?” นางจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “ไม่กลัวความทะเยอทะยานของข้าพวยพุ่ง สุดท้ายแล้วแย่งชิงตำแหน่งและอำนาจของเจ้าหรือ?”
“หากเจ้ามีความสามารถนี้ มาแย่งชิงได้เลย”
“ระวังเถิดถือดีมากเกินไปจะพลาดท่าเสียที” จิ่งเหิงปัวเชิดคางครั้งหนึ่ง
กงอิ้นนั่งขัดสมาธิ นิ้วมือกวักเพียงครั้ง ผ้าคลุมสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งบนชั้นวางข้างเคียงร่วงหล่นเชื่องช้า เขาหลับตาปรับปราณ
จิ่งเหิงปัวมองดูผ้าคลุมหนานั้นอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย จากนั้นดีอกดีใจขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าหายดีแล้วหรือ? ยังไม่ถึงสิบสองชั่วยามเลยนะ”
“ทำได้เพียงท่วงท่าง่ายดาย หากหวังฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ เกรงว่าคงต้องถึงเที่ยงคืน”
“ข้าจำได้ชัดเจนว่ายามเย็นเมื่อวานเจ้าดื่มน้ำแกงแล้ว” จิ่งเหิงปัวคำนวณชั่วยามแล้วผิดปกติ
“เกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้เสียเวลา” เขาชำเลืองตามองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวคิดโดยไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อยว่าคงเป็นเมื่อคืนนางบุกเข้ามาขวางครั้งหนึ่งนั้น
“หลายคืนนี้ซังต้งคงต้องเฝ้าดูแลหอคอยสูงเข้มงวดกว่าเดิม ผู้วิเวกตระกูลซังมีชื่อเสียงสะท้านตี้เกอ ไม่อาจดูแคลนกำลังการรบ” กงอิ้นเอ่ยโดยพลัน
“เจ้ากำลังเตือนข้าหรือ? หวังดีขนาดนี้เชียว?” จิ่งเหิงปัวมองเขาด้วยหางตา คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
“ทว่าข้ารู้สึกว่าเจ้าคงไม่ไปด้วยตนเองด้วยซ้ำ” กงอิ้นไม่ตอบรับหัวข้อสนทนาของนาง
จิ่งเหิงปัวไม่มีอะไรจะกล่าวกับสติปัญญาของมหาเทพกงเลย หัวเราะฮิฮิ เอนกายข้างหมอนเขาอย่างเกียจคร้านแล้ว กล่าวว่า “การฆ่าไก่จะใช้มีดสวยงามเช่นข้านี้ได้อย่างไรเล่า? เฟยเฟยก็พอแล้ว”
“ทดสอบเจ้าหน่อย” นางยื่นมือดึงผ้าคลุมของกงอิ้น กล่าวว่า “เจ้าทายสิว่าข้าจะทำอย่างไร? เจ้าทายสิว่าเหตุใดหอคอยสูงของตระกูลซังถึงหลบเลี่ยงฟ้าผ่าได้?”
กงอิ้นยื่นมือคว้าชายผ้าของตนเองกลับมาจากมือนางก่อน…หากไม่สนใจอีกประเดี๋ยวคงล่อนจ้อนแล้ว พลางเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ส่วนยอดของหอคอยสูงคงจะฝังสิ่งที่สามารถป้องกันอสนีบาตไว้”
“เก่ง!” จิ่งเหิงปัวปรบมือ กล่าวว่า “เจ้ารู้จริงด้วย”
“ยามข้าอยู่ที่ต้าเยียน เคยเดินทางผ่านพระราชนิเวศน์แห่งหนึ่ง มองเห็นชายคาสองฝั่งมีเศียรมังกรเชิดขึ้น โอษฐ์มังกรมีลิ้นทองแดงยื่นคดเคี้ยวออกไปทางท้องนภา ข้าเดาว่าสิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งที่ตอบรับสายฟ้าแลบ ภายใต้โคนลิ้นในโอษฐ์มังกรคงต้องมีเส้นทองแดงหรือเส้นเหล็กทะลุไปสู่พื้นดิน นำพาสายฟ้าไป”
“เก่งมาก!” จิ่งเหิงปัวปรบมืออีกครั้ง ต้องยอมรับว่าสติปัญญาของกงอิ้นนับว่าล้ำเลิศ นางน่ะไม่เคยสังเกตเลยว่าต้าเยียนใช้สอยต้นแบบของสายล่อฟ้ามานานแล้ว
“แท้จริงแล้วเคยมีหมอผีทูลเสนอปฐมจักรพรรดิให้วางกระเบื้องทองแดงทรงหางปลาบนยอดหลังคาของพระราชวัง สามารถป้องกันเพลิงสวรรค์ที่เกิดจากสายฟ้าได้ เสียดายว่าหมอผีท่านนั้นบังเอิญถูกฟ้าผ่าสิ้นชีพยามจัดวางกระเบื้องทองแดง คำเสนอแนะของเขาจึงกลายเป็นคำสาปแช่งอัปมงคล ไม่มีผู้ใดกล้าลองกระทำเช่นนั้นอีกเลย ภายหลังถึงได้ช่วยเหลือให้ตระกูลซังสมหวัง”
“ควรจะจบสิ้นแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้ม
“ตระกูลซังมีฐานะเป็นตระกูลกองเซ่นไหว้ มีอำนาจโยกย้ายทหารองครักษ์มากกว่าสามร้อยนายดำเนินการปกป้องหอคอยสูงยามอันตรายทุกขณะ ฉะนั้นภายในสามวันนี้ ตระกูลซังมีพรรคพวกอยู่ในวังไม่น้อย หากหอคอยสูงถูกฟ้าผ่าจริง” กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ระวังซังต้งกระทำการเลวร้ายด้วยจนตรอก”
“เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวงอขาขึ้นข้างหนึ่ง ข้อศอกค้ำบนเข่า ไม่พบเห็นความร้อนรนบนใบหน้า ยิ้มแย้มจ้องมองเขา
ตำหนักใหญ่แสงหม่นมืดมัว ทว่านางกลับสว่างไสวกลางส่วนลึกของแสงมัวสลัว เจิดจ้าพราวแพรวจากนัยน์เนตรถึงปลายเล็บ รอยยิ้มครึ่งหนึ่งคือความเป็นธรรมชาติยามยั่วเย้าแดนมนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งคือความกล้าหาญแข็งแกร่งเกรียงไกร
แววตาของกงอิ้นทอดลงสู่ริมฝีปากแดงที่แบะขึ้นมาเพียงน้อยโดยไม่รู้ตัวของนาง ในใจหวั่นไหวสะท้าน อดจะเบนสายตาออกไม่ได้
ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่วบางเพิ่มพูนในพริบตาเดียว กลบกลืนการใคร่ครวญโดยละเอียด
สตรีนางนี้ นางคล้ายไร้ดวงใจ ทว่ายังมีดวงใจ
นางสวยสดงดงาม หลงระเริง หอมหวน แลไม่สงวนตนที่จะประชิดใกล้ทุกผู้คน แสดงความสวยสดงดงามหอมกรุ่นของนางอย่างกระตือรือร้น ยามทุกผู้คนถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดจนแววตาตามติดอย่างควบคุมไม่ได้ นางอาจจะเบนสายตาออกไปตามใจชอบอีกครั้งแล้ว
นางมักใกล้ชิดเช่นนี้เสมอ ถึงขนาดที่เขาไม่อาจจำแนกว่าท่วงท่าอย่างไรของนางถึงเป็นความหวั่นไหวอย่างแท้จริง รอยยิ้มนุ่มนวลเหล่านั้น คิ้วที่เชิดขึ้น สายตาหยาดเยิ้มที่ชม้ายมาและท่วงท่าที่สนิทสนมคล้ายว่าสามารถมอบให้ทุกผู้คนที่นางมองแล้วสบายตา คล้ายว่าคือความสนิทสนมคือความชื่นชอบ แลคล้ายว่าหยุดลงตรงนี้ เพียงชื่นชอบ มิได้เติมเต็มความรัก
ผู้หวั่นไหวง่ายทำตนเย็นชาเป็นที่สุด ผู้คล้ายเย็นชาหวาดกลัวความหวั่นไหว
พลันนึกถึงยามพบกันครั้งแรก หากยามนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพอ่อนโยน บัดนี้จะมีสภาพการณ์เช่นไรเล่า?
ในใจเขาเจ็บปวดเพียงน้อย ราวดวงใจถูกกลืนกิน
ทว่าบนใบหน้ายังคงไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “หากซังต้งเข้าตาจนแล้วลงมือกำเริบเสิบสานในวัง จะนำพาความยุ่งยากมาให้ข้าเช่นกัน”
“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้ผู้เป็นปรปักษ์ขนาดนี้ผู้หนึ่งยึดกุมอิสระผืนหนึ่งซึ่งเจ้ายังไม่อาจก้าวก่ายในวัง เรื่องนี้ไม่คล้ายอุปนิสัยของเจ้านะ”
กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา
เขายอมอ่อนข้อให้ด้วยเพราะเคยมีสัญญาลับต่อกัน กบฏวังครั้งหนึ่งในยามนั้น ช่วงสำคัญทุกขณะ ซังต้งกับเขาตกลงทำสัญญาร่วมกัน ถึงได้มีการสวรรคตโดยพลันของราชินีองค์ก่อนและการก้าวสู่ตำแหน่งของเขา
ผู้รวมอำนาจต้องถูกอำนาจควบคุมไว้ ยามอำนาจของตระกูลซังเพิ่มพูน ควบคุมการทดแทนอำนาจของกษัตริย์หลายชั่วอายุคนครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมจะไม่ยินยอมตกอยู่ภายใต้ผู้อื่น ต้องการการแทนที่ทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นตระกูลซังคิดเองเออเองว่ามีบุญคุณต่อเขา ผู้มีบุญคุณมักจะยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น
ตระกูลซังก่อการขลาดเขลาหลังจากเขาออกจากต้าเยียน คงจะเป็นฝีมือของเหยียลี่ว์ฉีด้วยส่วนหนึ่ง ทว่าเหยียลี่ว์ฉีนั้นไม่อาจใช้สอยตระกูลซังโดยสิ้นเชิง ตระกูลซังถึงผูกเป็นพันธมิตรกับตระกูลเซวียนหยวนด้วย เกรงว่าสิ่งที่ต้องการคงเป็นตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
สำหรับการต่อต้านราชินี แลด้วยเพราะแม้ว่าราชินีมีอำนาจจำกัด ทว่าสามารถสับเปลี่ยนโยกย้ายกองเซ่นไหว้ได้ ฉะนั้นสำหรับราชินีทุกนางที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซัง ตระกูลซังต่างหวังให้นางอย่าได้ดำรงอยู่
ทว่าความเหิมเกริมของตระกูลซังควรจะสำรวมได้แล้ว
หากพวกนางลงมือ จะล่วงล้ำเส้นตายที่เขาอดกลั้นได้
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่อาจอธิบายให้นางฟัง เขาเปลี่ยนแปลงหัวข้อสนทนา เอ่ยว่า “เหยียลี่ว์ฉีทำตนเรียบร้อยหรือไม่?”
“ไม่มีความเคลื่อนไหวใด” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากจะคุยเรื่องมองเห็นขุนนางแปลกประหลาดที่ปากประตูสำนักเจาหมิงกับกงอิ้น พลันได้ยินเสียงกระดิ่งถี่รัวระลอกหนึ่งแว่วมาจากหลังเตียง
กงอิ้นยื่นมือเพียงครั้ง ลากเส้นทองคำสายหนึ่งออกมาจากหลังเตียง บนเส้นนั้นมีกระดิ่งน้อยผูกไว้ มือเขาถือกระดิ่งน้อย ตั้งใจฟังการสั่นไหวของเส้นและกระดิ่งน้อยโดยละเอียด
นี่คงจะเป็นวิธีการสื่อสารระหว่างเขากับลูกน้องโดยเฉพาะ
ผ่านไปชั่วครู่เขาเอ่ยว่า “อวี่ชุนขอเข้าพบ เอ่ยว่ามีหน้าที่สำคัญ”
จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เจ้าขยับเขยื้อนไม่ได้ไม่ใช่หรือ? ข้าจะไปฟังว่ามีเรื่องใด?”
กงอิ้นลังเลเล็กน้อย พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อย่าออกห่างตำหนักใหญ่มากเกินไป”
“เสียดายข้าหรือเสี่ยวอิ้นอิ้น?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ ลุกขึ้นเดินออกไป
นางวิ่งเร็วเกินไป ไม่ได้มองเห็นข้างหลัง กงอิ้นเม้มริมฝีปาก หลุบขนตาลง
ภายในตำหนักใหญ่มีกลไกสำหรับเปิดประตู ก่อนหน้านี้กงอิ้นได้บอกกล่าวจิ่งเหิงปัวแล้ว จิ่งเหิงปัวเปิดประตูออกไป มองเห็นอวี่ชุนผู้อวบอ้วนยืนอยู่ใต้ระเบียงพอดี
จิ่งเหิงปัวหันหลังให้ประตูศิลาภาพภูเขาและสายน้ำ กล่าวว่า “กงอิ้นให้ข้ามาฟังว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
อวี่ชุนผุดเผยสีหน้าลำบากใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ต้องเรียนราชครูต่อหน้า…”
จิ่งเหิงปัวไม่ได้โกรธเคือง
“เช่นนั้นเจ้าไปบอกเขาอีกครั้งเองสิ”
“เฮ้อ! กราบทูลฝ่าบาท” อวี่ชุนพลันเอ่ยว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เจ้ากองเซ่นไหว้ซังส่งองครักษ์สามร้อยนายเข้าวังมาปฏิบัติหน้าที่ เอ่ยว่าจะเพิ่มการป้องกันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ให้แข็งแกร่งขึ้น ราชองครักษ์เห็นว่าคนเหล่านั้นเปี่ยมกำลังวังชา ไม่คล้ายองครักษ์ธรรมดา กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการป้องกันพระราชวังจึงขอคำแนะนำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เจ้ากองเซ่นไหว้ซังเอ่ยว่าระยะนี้จะมีผู้ลักลอบเข้าหอคอยสูง กังวลว่าจะมีหัวขโมยซ่อนอยู่ภายในวัง เป็นภัยต่อความปลอดภัยของราชครูกับราชินี ขยับขยายวงล้อมองครักษ์จัดวางกำลังป้องกันเป็นพิเศษ ยามนี้ขยายมาถึงบริเวณจิ้งถิง เรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาต คนของพวกเรากำลังเจรจาหารือกับกองเซ่นไหว้ กองเซ่นไหว้ยืนกรานจะป้องกันจิ้งถิง ไม่ยอมจากไป พวกเราต้องการการออกคำสั่งของราชครู ขับไล่กองเซ่นไหว้”
พอจิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้ว่าเรื่องนี้พุ่งเป้ามายังนาง บางทีรอให้ถึงกลางดึกคืนพายุฝน ฟ้ามืดลมแรงมองเห็นไม่ชัดเจน แล้วจะมี “หัวขโมย” ปรากฏกายบริเวณจิ้งถิง จากนั้นองครักษ์กองเซ่นไหว้ไล่ล่าสังหารมาตลอดทาง ท่ามกลางการสู้รบที่ยากเข็ญยวดยิ่ง ฝ่าบาทโชคร้ายถูกหัวขโมยลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต ส่วนองครักษ์หอคอยกองเซ่นไหว้ที่กล้าหาญ หลังจากมหาสงครามอาบโลหิตได้โจมตีหัวขโมยจนสิ้นชีพ ชำระแค้นให้ฝ่าบาท นับแต่บัดนี้เริงระบำสงบสุขยิ่ง ความปีติยินดีล้นพ้น ทุกท่านดำรงตำแหน่งเดิม หอคอยสูงปลอดภัย
“เรื่องนี้ต้องแนะนำสิ่งใดอีก? ไม่รู้ว่าควรจะไล่สุนัขที่บุกเข้าประตูตออกไปให้สิ้นโดยพลันหรือ?” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “ไปบอกพวกเขาว่าความปลอดภัยของเจิ้นกับราชครูย่อมมีราชองครักษ์และองครักษ์คั่งหลงคอยเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คนนอกมาวุ่นวาย คนของหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ให้ดีก็พอแล้ว ให้พวกเขาจำไว้ว่าหากสถานที่ของเจิ้นแห่งนี้เกิดเรื่องขึ้น ไม่จำต้องให้พวกเขามารับผิดชอบ หากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาถึงจะศีรษะหลุดจากบ่า จัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจนก่อน”
“เรื่องนี้…หากพวกเขายืนหยัด…” อวี่ชุนแอบชื่นชมราชินีที่แลดูเกียจคร้านทว่าแท้จริงแล้วมีนิสัยแข็งแกร่งของราชครูไปพลาง ลังเลเล็กน้อยไปพลาง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกอย่างแท้จริงว่ากฎเกณฑ์ของกงอิ้นมีอำนาจเกินไป ไม่ยอมปล่อยอำนาจบ้าง ทำให้หัวหน้าองครักษ์เหล่านี้คิดมากขลาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีความโหดเ**้ยมแม้แต่นิดเดียว
“ไป” นางฉวยมือชี้ไปยังช่างฝีมือที่ทาสีเสาระเบียงอยู่ไกลโพ้นผู้หนึ่ง กล่าวว่า “หิ้วถังสีของเขาออกไปวาดเส้นเส้นหนึ่งล้อมรอบจิ้งถิงกับวังบรรทมของข้า พาดลูกธนูโก่งคันศรภายในเส้น ผู้อื่นที่เหลือไม่อนุญาตให้ก้าวเข้ามาในเส้นแม้เพียงก้าวเดียว ได้ยินว่าในวังไม่ค่อยเรียบร้อย นี่คือการเพิ่มกำลังป้องกันจิ้งถิงของพวกเรา ประเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว พายุฝนฟ้าคะนองทัศนวิสัยไม่ชัดเจน หากมีผู้ใดบุกเข้ามา ถูกพวกเราสังหารด้วยนึกว่าเป็นหัวขโมย แล้วอย่าได้โทษพวกเราว่าไม่ได้บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า”
“พ่ะย่ะค่ะ!” อวี่ชุนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ถูมือวิ่งจากไป หิ้วถังสีขึ้นมาแล้ววิ่งห้อ