ฝนตกหนักเปล่งประกายแสงครามระยิบระยับกลางนัยน์ตาทุกคู่
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ตรงระเบียง มององครักษ์เคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว มองเหมิงหู่วิ่งห้อกลางสายฝน มองเห็นอิฐบนกำแพงด้านข้างที่หันสู่ภายนอกผืนหนึ่งเคลื่อนย้ายเปิดช่องน้อยนับมิถ้วนโดยพลัน ลูกธนูพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงทีละดอก พลธนูกองหนึ่งยืนน้าวสายธนูอย่างเยือกเย็นอยู่เบื้องหลัง
แววตานางกำลังส่องแสงเช่นกัน แพรวพราวดั่งเพลิงแผดเผา โลหิตทั่วร่างดั่งกำลังลุกไหม้ท่ามกลางการเตรียมสู้รบยามรุ่งอรุณแห่งสายฝนครู่หนึ่งนี้
“จะสู้รบกันแล้วหรือ?” นางถามอย่างตื่นเต้นดีใจเป็นล้นพ้น
กงอิ้นยืนอยู่ข้างกายนาง ผ้าคลุมสีขาวที่เปียกฝนชุ่มโชกเมื่อครู่ ยามนี้สายน้ำไหลรินเฉอะแฉะตามอาภรณ์แลเส้นลมปราณ แห้งสนิทภายในประเดี๋ยวเดียว
เขามองนางอย่างแปลกประหลาดเล็กน้อยปราดหนึ่ง
สตรีนางนี้ติ๊งต๊องอีกแล้ว
เมื่อครู่เพิ่งประสบอันตราย ร้องตะโกนโวกเวก ยามนี้ความเป็นความตายรบราฆ่าฟันเบื้องหน้า เป้าหมายของอีกฝ่ายคือนางแน่แท้ นางยังยิ้มแย้มอยู่ได้
“เจ้าเข้าตำหนักใหญ่ไป ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้า”
“ไม่ไป ข้างในเพิ่งมีผู้สิ้นชีพ ในใจข้ายังขนลุกอยู่เลย”
เขารู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเล็กน้อย ประเดี๋ยวผู้สิ้นชีพจะมากกว่านี้ นางกลับไม่กลัวแล้ว
“ซังต้งก่อเหตุด้วยจนตรอก ต้องทุ่มเทกระทำทุกสิ่งเป็นสิ่ง” เขาเอ่ยอย่างเฉยชาเฉื่อยเนือยว่า “ตระกูลซังของนางตั้งตระหง่านในตี้เกอได้หลายร้อยปี คงจะไม่อาศัยเพียงหอคอยสูงที่ไม่ถูกฟ้าผ่า”
“ยังมีสิ่งใดอีก? คงไม่ใช่ปืนอาก้าหรอกนะ” จิ่งเหิงปัวแบะปาก
กงอิ้นมีสีหน้าจริงจังหนักแน่นอย่างหาได้ยาก ไม่ได้ขานตอบวาจาของนาง แลคร้านจะถามนางว่าปืนอาก้าคือสิ่งใด ถึงอย่างไรวาจาของนางมักแปลกประหลาดพันลึกเสมอ
เหมิงหู่เดินเข้ามาอธิบายว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ประมาทเกินไป ตระกูลซังมีอาวุธลับที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ โหดร้ายยิ่งยวดแลล้ำค่ายวดยิ่ง เอ่ยกันว่าเพียงเคยใช้สอยสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือยามเผ่าฝูสุ่ยก่อกบฏกลางตี้เกอในปีแรกของการสถาปนาแคว้น ยามคับขันที่สุดเคยบุกเข้าพระราชวัง บรรพบุรุษตระกูลซังใช้สอยอาวุธพิฆาตสวรรค์บนหอคอยสูง สังหารกษัตริย์ฝูสุ่ยที่อยู่ไกลออกไปสามสิบจั้ง การกระทำเดียวสยบตี้เกอ อีกครั้งหนึ่งคือยามก่อนหน้านี้ห้ายุคสมัย ตระกูลซังพบเจอศัตรูเกรียงไกรที่จะแย่งชิงกองเซ่นไหว้ อีกฝ่ายมีกำลังมากมายมหาศาล มีศาสตร์อัศจรรย์ทั่วร่าง ได้รับความโปรดปรานจากราชครูที่ควบคุมมหาอำนาจผู้เดียวในยามนั้นยิ่งนัก เขากล้าเอ่ยให้ราชครูแก้ไขข้อกฎหมาย หวังจะเพิกถอนอำนาจการสืบทอดหลายชั่วคนที่ตระกูลซังมีต่อตำแหน่งกองเซ่นไหว้ คืนก่อนคำสั่งประกาศจะผ่านความเห็นชอบ ผู้นำตระกูลซังในยามนั้นถืออาวุธพิฆาตสวรรค์บุกเข้าเรือนของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง หลังจากเสียงหนึ่งดังสนั่น ผู้เลิศล้ำที่มีฉายาว่าฟันแทงไม่เข้าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นั้น สิ้นชีพคาเรือน”
จิ่งเหิงปัวยิ่งฟังสีหน้ายิ่งแปลกประหลาด
การบรรยายแบบนี้ ทำไมฟังแล้วคุ้นเคยขนาดนั้นนะ คงจะไม่ใช่…จริงหรอกมั้ง?
บรรพบุรุษตระกูลซังใช้สายล่อฟ้าหลอกคนอื่นได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีของสิ่งนั้นนะ
แต่หากมีของสิ่งนั้นจริง แบบนั้นคงอธิบายได้ชัดเจนว่าก่อนหน้านาง ต้าฮวงก็มีผู้ทะลุมิติแล้ว แต่ผู้ทะลุมิติในตำนานไม่ใช่มีดรรชนีทองคำเหรอ? ทำไมไม่ได้กระทำความเปลี่ยนแปลงอะไรต่อรูปแบบระบอบการปกครองและกำลังการผลิตของต้าฮวงเลย?
เดี๋ยวนะ บรรพบุรุษตระกูลซังเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นต้าฮวง ซ้ำยังยึดครองกิจการพื้นฐานยุคหลังหลายร้อยปีเพื่อตระกูลซังในยามแรกของการสถาปนาแคว้น จะกล่าวว่าไร้ซึ่งความดีความชอบเลยได้อย่างไร?
“บรรพบุรุษตระกูลซังคล้ายเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ” นางถามว่า “ยังกระทำสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ใดอีก?”
“บรรพบุรุษตระกูลซังสิ้นชีพตั้งแต่อายุน้อย เอ่ยกันว่าถูกพี่สาววางยาพิษ” เหมิงหู่เอ่ยว่า “ตระกูลใหญ่แย่งอิทธิพลชิงอำนาจกัน เรื่องนี้ไม่ได้พบเห็นได้ยากเย็นแต่อย่างไร”
ที่แท้เป็นไอ้ดวงซวยที่ไร้บทบาท
แต่หากเป็นของสิ่งนั้นจริง คงยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งของที่เกินกว่ากำลังการผลิตในขณะนั้น มักจะมีพลังสั่นสะเทือนอยู่เหนือไอสังหาร
หากตระกูลซังถูกบีบบังคับเกินควร จะแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขามของ “อาวุธวิเศษ” ชนิดใดชนิดหนึ่งอีกครั้ง เกรงว่าบารมีที่สูญเสียไปจากการพังทลายหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ จะถูกตระกูลซังเติมเต็มได้อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น…จิ่งเหิงปัวมองดูเบื้องหน้า ได้มีองครักษ์มารายงานต่อกงอิ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว เหล่าขุนนางสำคัญเดินทางมายามวิกาล ทยอยขอเข้าวัง
กงอิ้นมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “ขวางไว้แล้วปฏิเสธให้สิ้น บอกพวกเขาว่าในวังไร้ซึ่งเรื่องราว ห้ามรบกวนยามวิกาล โปรดกลับจวน”
จิ่งเหิงปัวหันข้างมองดูใบหน้าด้านข้างดุจน้ำแข็งสลักของกงอิ้น หน้าผากดำขลับของเขาราบเรียบ ทว่ากักเก็บไอสังหารเคร่งขรึมกลุ่มหนึ่งไว้
ดูท่าทาง การสังหารในคืนนี้จำต้องจบสิ้นภายในวังให้ได้
ประดุจซังต้งตัดสินใจแล้ว กงอิ้นตัดสินใจแล้วเช่นกัน
จิ่งเหิงปัวรู้ว่าในฐานะที่กงอิ้นเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของต้าฮวง ย่อมต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงของต้าฮวงเสมอไม่ว่าอยู่ในเวลาไหน กำลังของตระกูลซังนี้หยั่งรากฝังลึก เพียงพอจะสั่นคลอนตระกูลใหญ่ที่มั่นคงในตี้เกอ เขาย่อมไม่ยินยอมใช้วิธีที่รุนแรงที่สุดมาแก้ไข การสังหารในวันนี้อาจจะง่ายดาย การโจมตีย้อนคืนของตระกูลซังรวมทั้งสหายร่วมพรรคของพวกเขาในภายภาคหน้า จะสร้างความวุ่นวายให้การเมืองในราชสำนักได้
ยิ่งกว่านั้นข้างตระกูลซังกับตระกูลเซวียนหยวน ยังมีเหยียลี่ว์ฉีซึ่งมีกำลังมากมายมหาศาลยิ่งกว่า จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์โดยตลอด เขาถูกขังอยู่สำนักเจาหมิงย่อมพบความผิดปกติของกงอิ้นได้ตลอดเวลา พอลงมือขึ้นมาแทบจะจัดการเขาจนถึงตาย หากการเมืองในราชสำนักวุ่นวายขึ้นมา เขาจะไม่ฉวยโอกาสยามชุลมุนได้อย่างไร?
กงอิ้นคงไม่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาทำแบบนี้ด้วยเพราะ…นางเหรอ?
สายตาสุกสกาวของจิ่งเหิงปัวเวียนวน มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
พอกงอิ้นหันหน้ากลับมาได้มองเห็นละอองน้ำดุจแสงควัน นางยิ้มแย้มท่ามกลางไอควันนั้น แตกต่างจากความสวยสดงดงามลำพองตนสรวลดังกังวานยามปกติ เพิ่มความงามสงบเงียบซ่อนเร้นขึ้นมาสามส่วน คือกล้วยไม้ผลึกแก้วดอกหนึ่งซึ่งผลิบานท่ามกลางหมอกมัวสลัวยามรุ่งอรุณ
ความงดงามที่จ้องมองอยู่ห่างไกลได้ทว่าตัดใจทำลายไม่ลง
เขาถึงกับเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง หลงลืมว่าจะเอ่ยกระไร มองเห็นเพียงริมฝีปากของนางขยับเขยื้อนคล้ายกำลังเอ่ยวาจา ชะงักงันไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “กระไรนะ?”
จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าคนนี้ถึงปรากฏสภาวะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกะทันหัน นางยังนึกว่าเขาเป็นอินทรีย์มังกรบนท้องนภา แววตาแพรวพราวโดยตลอด
“ข้าเอ่ยว่า ให้พวกเขาเข้ามา”
กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนางโดยพลัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเอ่ยกระไร?”
“ข้ารู้ว่าคืนนี้ตระกูลซังจะต้องใช้สอยสิ่งที่เรียกว่าอาวุธวิเศษนั้นเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวต่อไปว่า “พอดีเลย ให้เหล่าผู้อาวุโสของต้าฮวงเป็นประจักษ์พยานว่าสิ่งที่เรียกว่าอาวุธวิเศษที่พึ่งพาได้ชิ้นสุดท้ายของตระกูลซังของนางพังพินาศไปด้วยเถิด”
กงอิ้นมองนางอย่างลึกล้ำ หวังจะมองเห็นความเหลวไหลของวาจานี้จากกลางนัยน์ตายิ้มเยาะเย้ยชั่วกาลของนาง
จิ่งเหิงปัวไม่ได้กระทำสีหน้าสำรวม ยิ้มหยาดเยิ้มมองเขา คิ้วที่เชิดขึ้นผุดเผยรัศมีแห่งความอวดดีที่ซุกซ่อนไว้หลายส่วน
กงอิ้นหันหน้าไป
“เชิญใต้เท้าทุกท่านเข้าวัง”
“เชิญใต้เท้าทุกท่านเข้าวัง…” เสียงแหลมคมของราชองครักษ์แทงทะลุม่านพิรุณ ทะลุผ่านพระราชวังชั้นแล้วชั้นเล่า
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเบิกบาน นางนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายรอบหนึ่ง อย่างไรเสียให้เหล่าขุนนางใหญ่เข้าวัง สถานการณ์อาจจะปรากฏตัวแปรขึ้นมา ด้วยความสุขุมของกงอิ้น นางนึกว่าเขาจะไม่เห็นชอบเสียอีก
“เสี่ยวอิ้นอิ้นน่ารักจัง” นางพุ่งขึ้นไป กอดแขนเขาไว้แกว่งไปแกว่งมา กล่าวว่า “เค้าชอบคนที่เชื่อใจเค้าที่สุดเลยล่ะ”
กงอิ้นสะบัดเรือนร่าง ยืนมือคว้ากรงเล็บหมาป่าไม่สำรวมของนางไว้ หวังจะแกะนางออกไปจากบนแขน พอก้มหน้ามองเห็นริมฝีปากอมยิ้มของนางพอดิบพอดี รัศมีโค้งที่กระหวัดขึ้นเพียงน้อย เพริศพรายดุจรุ้งงาม
จากมุมสายตาของเขายังมองเห็นได้อีกมากมาย เช่น ลำคอทรวดทรงราบรื่น กระดูกไหปลาร้าประณีตเส้นหนึ่ง ผิวกายสีขาวราวหิมะครึ่งผืน…
ส่วนฝ่ามือที่คลุมครอบหลังมือของนางไว้ รู้สึกถึงความนุ่มนวลเกลี้ยงเกลาของผิวกายได้แจ่มชัดเพียงนั้น…
ในใจเขาสั่นสะท้าน จากนั้นคือความแสบร้อนเล็กน้อย ดั่งเข็มน้ำแข็งทิ่มแทงจิตใจจนแน่นขนัด เขาเบนสายตาออกโดยพลัน จูงมือของนางออกอย่างแน่วแน่ทว่าแผ่วเบา
“คิดแล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไร?”
“คิดเสร็จแล้ว”
“อื้ม?”
“เทพขวางฆ่าเทพ มารขวางฆ่ามาร” นางชม้ายชายตา กล่าวว่า “อาวุธวิเศษหรือ? มนุษย์ธรรมดาจะถืออาวุธวิเศษได้อย่างไร? เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้ ควรแจ้งเป็นของชำรุดได้แล้ว”
เขากระหวัดริมฝีปากยิ้มแย้มให้ความโอหังอวดดีและไอสังหารที่ซุกซ่อนอยู่ในกระดูกของนาง
นางกำลังเติบโตรวดเร็วเช่นนี้ หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัย ภายภาคหน้าต้องมีเงาร่างอาภรณ์สีชาดวาดแขนเสื้อพัดพาเมฆลมของนางในหอสักการะเทพแห่งต้าฮวง
พอเบนสายตากลับมามองเหล่าขุนนางสำคัญที่รีบเร่งตามมาท่ามกลางม่านพิรุณ มองดูใบหน้าที่ความคิดลึกล้ำแฝงด้วยเภทภัยของแต่ละคน รอยยิ้มของเขาหุบลงเพียงนิด ดวงใจจมดิ่งเพียงน้อย