ภายในร่างกายสบายขึ้นมาหน่อย ความรู้สึกอ่อนแรงที่ถูกกดทับไว้ก่อนหน้านี้จึงพวยพุ่งขึ้นมา นางก็ไม่ทันได้ห่วงจะปะทะคารมหรือทะเลาะวิวาทกับเหยียลี่ว์ฉี ขยับก้นเอนกายลงอีกฝั่งหนึ่งของที่นั่ง กล่าวว่า “เร็วหน่อย…”
“เรื่องใดกันแน่?” เหยียลี่ว์ฉีถาม
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถาม กล่าวกันตามตรง นางไม่ค่อยเชื่อใจเหยียลี่ว์ฉีจริงๆ
สุดท้ายแล้วคนคนนี้คือศัตรูการเมือง ไม่อาจฝากฝังและเชื่อถือทั้งใจด้วยเพราะความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว ใครจะรู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีกับซังต้งแอบสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่? แม้นางเชื่อว่านี่คือการโจมตีแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งก่อนตายของซังต้ง ด้วยตำแหน่งกับการปฏิบัติตัวของเหยียลี่ว์ฉีไม่ถึงขนาดหวังให้ตี้เกอเกิดความวุ่นวายราษฎรประสบภัยพิบัติ แต่อย่างไรระวังไว้สักหน่อยถึงจะดี
“เจ้ามีหน้าที่เร่งรถให้เร็วหน่อย พวกเราต้องตามให้ทันและขัดขวางพวกเขาก่อนไปถึงตรอกหลิวหลีก็พอแล้ว” นางตอบอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง
เหยียลี่ว์ฉีมองดูสีหน้านาง ล้วงยาเม็ดเม็ดหนึ่งออกมาโยนไปโยนมาในมือ ยิ้มแย้มพลางถามนางว่า “เป็นอย่างไร? กล้ากินหรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวยกมือขึ้นแล้วคว้าไปจากฝ่ามือเขา กลืนลงไปในปากโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ หลับตาลงเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ขอบใจนะ”
เหยียลี่ว์ฉีชะงักงันไปพริบตาหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่ลังเลที่จะเชื่อถือเลยแม้แต่น้อยโดยแท้
เขามองดูฝ่ามือ ความรู้สึกพริบตาหนึ่งเมื่อครู่ยังคงอยู่ นิ้วมือที่เกลี้ยงเกลาแผ่วเบาคว้าเพียงครั้งดั่งสะกิดเกาบนดวงใจเขา
ทว่าการหัวเราะเยาะของจิ่งเหิงปัวในครู่ต่อมากำจัดความรู้สึกประทับใจของเขาแล้ว
“ยามนี้หากเจ้าคิดทำร้ายข้าง่ายดายยิ่งนัก เหตุใดต้องสิ้นเปลืองความคิดทำยาพิษมาหลอกลวงข้า?” นางกล่าวอย่างลำพองใจว่า “อีกทั้งกงอิ้นเคยเอ่ยกับข้าว่าแม้เอ่ยว่าบางครั้้งยาเม็ดที่ดีกลิ่นรสสีสันไม่ได้ดีอย่างไร ทว่ากลิ่นรสของยาพิษต้องผิดปกติเป็นแน่ ยาเม็ดเม็ดนี้ของเจ้าหอมหวนเกลี้ยงเกลา สีทองม่วงดั้งเดิม มิใช่ยาวิเศษที่สืบต่อกันมานาม ‘เทียนเซียงจื่อ’ ในตำนานของตระกููลขุนนางเหยียลี่ว์ของเจ้าหรือ ชิบ ข้ายังพอตามีแววอยู่”
“เจ้ารู้จักแม้กระทั่งเทียนเซียงจื่อเชียว” สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีไม่ค่อยดีเล็กน้อย เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเทียนเซียงจื่อในตระกูลเหยียลี่ว์มีความแตกต่าง? แบ่งเป็นระดับสามหกเก้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาเม็ดที่ข้าให้เจ้าอยู่ระดับใด?”
“กงอิ้นเคยบอกข้าว่าเทียนเซียงจื่อคือยาเลื่องชื่อซึ่งเป็นความลับที่ไม่ถ่ายทอดสู่ภายนอกของตระกูลเหยียลี่ว์ของเจ้า มิได้มีเพียงระดับสามหกเก้า ซับซ้อนมากหลาย ทว่าใช้นิ้วเท้าเดายังรู้เลยว่ายาเม็ดที่เจ้าให้ข้าต้องเป็นระดับธรรมดาที่สุดเป็นแน่ล่ะ” นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสั่นไหวอย่างสบายใจกลางอากาศ กล่าวต่อไปว่า “ทว่าเจ้าไม่ต้องกังวลว่าด้วยเพราะเหตุนี้ข้าจะไม่รับน้ำใจของเจ้า วางใจ ข้ารู้ว่าเทียนเซียงจื่อระดับล่างสุดข้างนอกยังมีมูลค่าสูงลิบลิ่ว น้ำใจคราวนี้ข้าจดจำไว้แล้ว” นางทำท่าวาดมือกลางอากาศอย่างตั้งใจยิ่งคล้ายดั่งเบื้องหน้ามีสมุดบัญชีเล่มหนึ่งอยู่จริง ซ้ำยังขีดเครื่องหมายถูกอย่างจริงจังตั้งใจ กล่าวว่า “เช่นนั้น ความแค้นครั้งเก่าที่ป้อนขี้นกเรื่องนั้นในยามนั้นก็ลบหายในฝ่ามือเดียวตรงนี้ เจ้าติดค้างข้า…” นางหรี่ตาขึ้น นับในความว่างเปล่าอย่างเป็นจริงว่า “หนึ่งสองสามสี่…อืม บุญคุณความแค้นห้าครั้ง ห้าครั้ง จำไว้ว่าค่อยๆ ชดใช้ ยาเทียนเซียงจื่อระดับหนึ่งระดับสองอะไรนำมาแลกเปลี่ยนก็ได้นะ ขอบคุณ”
นางพูดเองเออเองพลางแกว่งมือคล้ายได้จัดการเรียบร้อยเช่นนี้แล้ว บนใบหน้าผลิบานสีสันแพรวพราวเจือจางชั้นหนึ่ง
เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางอย่างแน่วแน่ คล้ายอยากหัวเราะทั้งคล้ายอยากถอนใจ
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เขาพลันพบว่าตนเองชื่นชอบมองนางเอ่ยวาจายิ่งนัก มองริมฝีปากบางของนางขยับเขยื้อนขึ้นลง พ่นวาจาท่อนใหญ่บลาๆ ท่อนหนึ่งที่ทำให้คนคล้ายเข้าใจทว่าไม่เข้าใจ บางครั้งฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านางกำลังเอ่ยเรื่องใด ทว่ารู้สึกได้ถึงความอิสระ ความปล่อยตน ความโดดเด่นและมีชีวิตชีวาของนางอย่างแจ่มชัดขนาดนั้น
จนทำให้หากนางหยุดเอ่ยวาจา เขาพลันรู้สึกได้ถึงความเหินห่างเย็นชาในอากาศ พอนางเอ่ยปาก คล้ายดั่งมวลผกาผลิบานใบไม้เขียวชอุ่มทั่วทั้งโลกหล้า พอนางนิ่งเงียบ ฟ้าดินสิ้นสีสันซีดเผือดในพริบตา
แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะในวาจาทุกช่วงต่างต้องมีกงอิ้น เช่นนั้นย่อมยิ่งสมบูรณ์แบบแล้ว
จิ่งเหิงปัวที่เอนกายพิงอยู่ สีหน้าเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น เขามองเห็นสีสันแวววาวผืนหนึ่งปรากฏกลางหน้าผากนาง เจือด้วยควันสีม่วงเจือจางผืนหนึ่ง
เทียนเซียงจื่อระดับต่ำที่สุดหรือ?
เหอะๆ
เขาหัวเราะ ไม่ได้ครุ่นคิดความนัยของการกระทำในวันนี้ของตนเองให้แจ่มแจ้ง ทว่าไม่อยากคิดให้มากมายด้วย เป็นศัตรูกับนางมาเนิ่นนานขนาดนี้ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เคยทำร้ายนางไม่น้อยครั้ง ยามทำร้ายนางไม่ได้ลังเล ยามช่วยเหลือนางออกมาจากเจตนาเดิมเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดน่าครุ่นคิด
จิ่งเหิงปัวพักผ่อนไปสักพัก รู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้ว ตัดสินใจว่าพยายามอีกเพียงครั้งย่อมสำเร็จ จัดการรถคันที่สามไปด้วยเลย
นางสะบัดม่านรถขึ้น ค้นหาตำแหน่งของรถนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปภายในแวบเดียว กล่าวว่า “เร็วขนาดนี้เลย! ถึงตรอกหลิวหลีแล้ว! กรี๊ด! รถคันนั้นเล่า?”
“พวกเราใช้ทางลัด” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ในเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่ ไม่สู้ไปรอคอยข้างหน้า”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดี ถอนใจเฮือกหนึ่ง มองเห็นตลาดกลางคืนมีฝูงชนจ้อกแจ้กจอแจ หน้าอกอดจะเกร็งแน่นไม่ได้
หวังว่าเส้นทางสองสายนั้นจะถูกขวางไว้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น…
“เจ้าไปแจ้งราษฎร คืนนี้ที่แห่งนี้ถูกควบคุมไว้แล้ว ให้พวกเขากระจายกันโดยพลันเถิด”
“มีเพียงกงอิ้นถึงมีคุณสมบัติประกาศคำสั่งภาวะฉุกเฉินของตี้เกอ ต้องใช้กองทัพดำเนินการ” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ข้างกายข้าไม่ได้พาองครักษ์มามากมาย แลไม่ได้พกตราราชการด้วย ไปขับไล่ราษฎรคงไม่ได้ผล” เหยียลี่ว์ฉีเห็นสีหน้านางเอาจริงเอาจังจึงไม่ได้ทำตามใจชอบอีก อธิบายว่า “คืนนี้เดิมทีประกาศภาวะฉุกเฉินห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล เพียงแต่ทหารอวี้จ้าวหลงฉีและคั่งหลงต่างไปตรวจสอบยึดทรัพย์สินจากกำลังน้อยใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ในตี้เกอของตระกูลซังแล้ว ราชองครักษ์ออกมาช้าไปหน่อย คาดว่าผ่านไปอีกไม่นาน เหล่าราษฎรต่างต้องแยกย้ายกลับบ้าน”
“ช้าเกินไปแล้วช้าเกินไปแล้วไม่ใช่ไหว้วานให้คนไปแจ้งตั้งนานแล้วหรือกงอิ้นกับราชองครักษ์มัวทำสิ่งใดกันอยู่เมื่อคืนใช้แรงมากเกินไปแล้วหรือ…” จิ่งเหิงปัวกำลังพึมพำ พลันได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจระลอกหนึ่งเบื้องหน้า
พอชะโงกหน้ามองดู เห็นรถม้าขบวนหนึ่งพลันพุ่งเข้าสู่ตลาดกลางคืนเบื้องหน้า คนกลุ่มนั้นสวมชุดองครักษ์สีสันสดใส หน้านิ่วคิ้วขมวด ใช้แส้โบยตีราษฎรที่เดินเหินทุกสารทิศเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง
“หลีกไป! หลีกไป! คุณชายผู้บัญชาการมาถึงแล้ว หลบหลีกโดยพลัน!”
แส้สะบัดดังฟึ่บฟั่บ ราษฎรกุมศีรษะหลบลี้ เสียงร้องไห้ของเด็กและเสียงกรีดร้องของสตรีดุเดือดวุ่นวายกลายเป็นกลุ่มก้อน เบื้องหน้าเป็นบริเวณใจกลางตรอกหลิวหลีพอดี มีแม่น้ำอวี้ไต้สายหนึ่ง ริมแม่น้ำสะท้อนเงาโคมแดง สะพานโค้งดุจดวงจันทร์เหนือแม่น้ำ ทุกสิ่งคือทิวทัศน์เลิศล้ำของตรอกหลิวหลีตลอดมา และยังเป็นที่ซึ่งฝูงชนรวมกลุ่มกันที่สุด คนที่มาตลาดกลางคืนหลิวหลีมากกว่าครึ่งชื่นชอบมาเดินเล่นที่นี่ ยามนี้ฝูงชนใต้สะพานถูกขับไล่ รวมเป็นกลุ่มก้อนวิ่งซ้ายวิ่งขวา มีคนถูกชนร้องตื่นตระหนกไม่หยุดหย่อน ตลาดกลางคืนเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งในทันใด
“คุณชายผู้บัญชาการคนใด?” จิ่งเหิงปัวหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “ที่นี่ควบอาชาได้หรือ? รบกวนราษฎร!”
“เฮ้อ เจ้าอย่าได้รีบร้อนต่อว่า เอ่ยขึ้นมาแล้วผู้นี้คงนับได้ว่าเป็นคนไว้ใจของเจ้าด้วย” เหยียลี่ว์ฉีพลันยิ้มพราวเอ่ยปาก
“อาไร้? คนไว้ใจของข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปอย่างไม่เชื่อสายตา
“ผู้บัญชาการคือผู้บัญชาการทหารคั่งหลง ควบคุมการงานทุกสิ่งในตี้เกอของทหารคั่งหลง มีความสัมพันธ์สายตรงกับกงอิ้น ยามนี้เจ้ากับกงอิ้นสนิทสนมแน่นแฟ้นกันขนาดนี้ แม้แต่การฟังการเมืองเขายังอนุญาตโดยนัยให้เจ้าไปช่วงชิงแล้ว ผู้บัญชาการทหารคั่งหลงผู้นี้จะไม่นับว่าเป็นคนไว้ใจของเจ้าได้อย่างไร?”เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม ในวาจาแลไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะหรือทอดถอนใจ
จิ่งเหิงปัวจำผู้บัญชาการท่านนี้ได้เลือนราง เงียบขรึมอย่างมาก ใบหน้าดำคล้ำใบหน้าหนึ่งซื่อตรงยิ่งนัก ถ้าใช้กระดาษตัดเป็นจันทร์เสี้ยวแปะบนใบหน้าตากแดดสักครึ่งเดือนคงจะสวมรอยเปาบุ้นจิ้นได้เลย บุคคลแบบนี้มองเพียงแวบเดียวรู้ว่ามีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่มีคุณธรรมคงไม่อาจได้รับความเชื่อถือจากกงอิ้น สั่งสอนลูกชายคนหนึ่งออกมาแบบนี้ได้อย่างไร?
“กงอิ้นก็เช่นกัน เหตุใดไม่ให้ลูกน้องอบรมสั่งสอนบุตรชายให้ดีหน่อย? ดูท่าทางใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้คล้ายว่าราษฎรแถวนี้ต่างเคยชินแล้ว พอเห็นเขามาต้องหลบซ่อน เห็นได้ชัดเจนว่ารบกวนราษฎรมิเพียงครั้งเดียว”
เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้ว ยิ้มแย้มทว่ามิเอ่ยวาจา ผู้บัญชาการเฉิงรักใคร่ตามใจบุตรชายย่อมมีสาเหตุของเขา มิใช่ผู้ใดต่างก้าวก่ายได้ ทั่วทั้งตี้เกอผู้ใดไม่รู้บ้างว่าล่วงเกินผู้บัญชาการเฉิงอาจจะไม่เป็นไร ล่วงเกินบุตรชายของผู้บัญชาการเฉิงจะต้องเป็นเรื่องแน่
แน่นอนว่าเขาไม่ช่วยกงอิ้นอธิบายหรอกนะ
ทว่าจากนั้นเขาจึงได้ยินมหาราชินีแซ่จิ่งเอ่ยเองเออเองว่า “ทว่าคงจะโทษเขามิได้หรอก สั่งสอนผู้บัญชาการได้ จะสั่งสอนถึงเรื่องราวในครอบครัวของลูกน้องได้หรือ? มารดามีเมตตามากด้วยบุตรล้างผลาญ คนผู้นี้ต้องเป็นบุตรชายคนเดียวแน่ ตามใจจนเสียนิสัยแล้ว!”
เหยียลี่ว์ฉีหันกาย คร้านจะเอ่ยวาจากับนางอีก…คล้ายว่าองค์ราชินีจะตามใจท่านราชครูฝ่ายขวาจนเสียนิสัยแล้วเช่นกัน!
เขาเพิ่งหันกายก็ได้ยินจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังพลันร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง
พอเขาหันหน้ามาก็อดจะร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งไม่ได้
จิ่งเหิงปัวหายไปอีกแล้ว!