คมมีดสว่างราวหิมะดุจทางช้างเผือกห้อยลงภายใต้แสงจันทร์ เรียกเสียงกรีดร้องจากราษฎรที่หลบอยู่ไกลห่างรอบด้าน
เงาคนสีดำเหลือบเงินกะพริบวูบ มือคู่หนึ่งคล้ายดั่งพลันปรากฏกลางอากาศ ต้านมีดที่กำลังจะสะบั้นลงมาเอาไว้ ในขณะเดียวกันชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง…หินก้อนหนึ่งพลันกระแทกบนหลังเท้าเขาอย่างรุนแรง!
ชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องโหยหวน ถูกเหยียลี่ว์ฉีที่รีบตามมาช่วยเหลือเตะล้มลงไปในเท้าเดียว จิ่งเหิงปัววิ่งตะบึงเข้ามา…เหยียบย่ำใบหน้าของชายรูปร่างสูงใหญ่โดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ในใจของจิ่งเหิงปัวเจือด้วยโทสะ พุ่งผ่านมารวดเร็วยิ่ง เรือนร่างพุ่งออกไปหลายก้าว เผชิญกับทางแยกตรอกหลิวหลีที่เชื่อมต่อทั่วถึงกันพอดี พอเงยหน้า รถม้าสีดำเทาคันหนึ่งพลันพุ่งเข้าสู่ม่านตา
ในใจนางสั่นสะท้านหนักหน่วง
รถม้าตระกูลซัง!
ทำไมยังเหลืออยู่อีกคัน?
พระปลอมกับทหารม้าชุดเหลือง มีเส้นทางหนึ่งขัดขวางไว้ไม่ได้เหรอ? อย่างนั้นยังเหลืออีกกี่คัน? จะมีอีกหรือเปล่า? วิกฤตกาลของราษฎรยังไม่ได้รับการแก้ไขเหรอ?
ในสมองของจิ่งเหิงปัวดังก้องหวึ่งๆ ดวงใจที่เพิ่งปล่อยวางพุ่งขึ้นมายังปากคอหอยอีกครั้งทันที สถานการณ์พลันเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายยิ่งขึ้น!
นางพุ่งเข้าไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
เรือนร่างกะพริบวูบเผชิญหน้ารถม้านั้นแล้ว ตอนนี้ขับไล่ราษฎรไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องคิดหาวิธีจัดการรถม้านั้น!
แต่คราวนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นดีดลูกคิดรางแก้วอีกแล้ว!
รถม้าในคราวนี้พุ่งมารวดเร็วยิ่ง ครู่หนึ่งนั้นที่จิ่งเหิงปัวพบเข้า ในมือของคนบนรถมีประกายไฟผืนหนึ่งแฉลบผ่าน ร่วงหล่นลงบนตัวรถแล้ว!
“พรึ่บ” เสียงหนึ่ง รถม้าระเบิดลุกไหม้ในพริบตา! ชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นวัตถุขนาดมหึมาที่ทั่วคันเปี่ยมด้วยเปลวเพลิงแดงสดคันหนึ่ง พุ่งตรงเข้ามากลางฝูงชน
ดุจโลงศพแ่งความตายโลงหนึ่ง พัดสายลมพาเปลวเพลิง พุ่งเข้าสู่ความตาย!
แทบจะฉับพลัน เสียงกรีดร้องได้ท่วมท้นทั่วทั้งตลาดกลางคืน!
ฝูงชนที่เอะอะวุ่นวายเบียดเสียดกันกรีดร้องร่ำไห้ รองเท้าถุงเท้าที่เหยียบย่ำหลุดร่วง รถม้าลุกไหม้ที่พุ่งมาตามใจไร้กฎเกณฑ์ ทั้งพ่อค้าแผงลอย ทั้งเด็กและผู้ชรานับไม่ถ้วนที่ล้มหมอบร้องไห้บนพื้นกันเละเทะระเกะระกะ…เปลวไฟลุกโชนสาดย้อมความมืดมิดยามราตรีให้สว่างไสว ส่องสะท้อนฝูงชนที่ตื่นตะลึงวุ่นวาย ชั่วครู่นั้นตลาดกลางคืนที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นปรโลกแดนมนุษย์ เสียงกรีดร้องทะยานสู่ท้องนภา
ความยุ่งเหยิงในตรอกหลิวหลีก่อเกิดความติดขัดในทันใด ราชองครักษ์กับทหารคั่งหลงที่ได้เปิดทางจากไกลโพ้นตระเตรียมห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลและรักษาความสงบพลันถูกขัดขวางไว้
“เหยียลี่ว์ฉี!” จิ่งเหิงปัวตะโกนท่ามกลางความยุ่งเหยิงว่า “กระจายฝูงชน! กระจายฝูงชน!”
ข้ามผ่านศีรษะมนุษย์คลาคล่ำ นางมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้กระจายราษฎรแต่เหินขึ้นกลางอากาศ พุ่งตรงมาทางนาง
“อย่าเพิ่งแสดงความสามารถ หลีกไป!”
รถม้าพุ่งมาเบื้องหน้าตลอดทางระเบิดลุกไหม้ตลอดทาง เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังกึกก้อง มีร่างคนที่ลุกไหม้ร่วงหล่นจากบนรถม้าดุจไม้ผุท่อนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพาให้ผู้คนหวาดกลัวมากขึ้น ตัวรถม้าผ่านการออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่เพียงพุ่งต่อไปข้างหน้าได้ประมาณสิบจั้งยามไร้คนขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้นโคลนน้ำมันภายในอัดแน่นแยกชั้น ทุกระยะทางหนึ่งซึ่งขยับเขยื้อน โคลนน้ำมันร่วงลงมาก่อเกิดการระเบิดกับการลุกไหม้ระลอกใหม่ รถม้ายังไม่ทันได้พุ่งสู่ฝูงชนโดยสิ้นเชิง ประกายไฟที่พุ่งออกมาทั่วทิศได้ก่อเกิดการเผาไหม้ผู้คนมากมาย มีคนถูกเบียดตกลงไปในน้ำ กรีดร้องอุทานอย่างตื่นตะลึง แลมีคนถูกเตือนสติด้วยเพราะเหตุนี้ ร้อนรนไร้ทางเลือกจนกระโดดน้ำเอาชีวิตรอด เสียงตกน้ำดังตู้มๆ ไม่หยุดหย่อน
รถม้าพุ่งสู่บริเวณรถม้าที่ถูกบังคับให้หยุดก่อนหน้านี้คันนั้น ดังตูมตามเสียงหนึ่งในฉับพลัน ก่อเกิดเพลิงไหม้รถม้าคันนั้น เปลวเพลิงมืดฟ้ามัวดิน แทบจะชั่วครู่นั้นได้เผาทำลายกำแพงบ้านเรือนที่รถม้าแอบอิงอยู่ โชคดีที่รถม้าคันนั้นจอดสนิทแล้ว ผู้ได้รับบาดเจ็บไม่มาก ท่ามกลางเสียงถล่มลงมามีคนกรีดร้อง มีคนตะโกนลั่นว่า “ตรงนี้ยังมีอีกคัน!” ผู้คนส่วนมากเริ่มกระโดดลงในน้ำ เบียดเสียดกันบนผิวน้ำประหนึ่งต้มเกี๊ยว มีคนหลงลืมว่าตนเองว่ายน้ำไม่เป็น พอลงน้ำเริ่มเป็นตะคริวก็ส่งเสียงกรีดร้อง โผล่ศีรษะมาสักพักแล้วหายไป ทุกคนรอบด้านนั้นสับสนอลหม่าน ความตายของชีวิตหนึ่งไม่มีผู้ใดห่วงใยด้วยซ้ำ บนผิวน้ำลอยล่องด้วยเสียงกรีดร้องร่ำไห้และซากศพมากมาย
พอมองเห็นสภาพน่าสังเวชของโลกมนุษย์คราวนี้ จิ่งเหิงปัวแทบจะเสียสติ…นางใช้เรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น ได้รับบาดเจ็บ ใช้ความคิดมากมายขนาดนั้น สุดท้ายแล้วยังคงไม่อาจกอบกู้สถานการณ์!
ชั่วพริบตาหนึ่งนี้นางเกลียดชังคนออกแบบรถม้าคันนี้อย่างยิ่ง…เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์! แต่กลับเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่อำมหิตที่สุด! คนแบบนี้ให้เขามีชีวิตอยู่โดยมีความแค้น ต้าฮวงคงไร้ซึ่งวันเวลาแห่งความสงบสุขตลอดกาล!
แต่ตอนนี้ไม่ทันได้คิดอาฆาตผู้ริเริ่ม นางหันหน้ากลับมามองดูฝูงชน ไม่ไหว ฝูงชนวิ่งหนีมั่วซั่วไปหมดแล้ว การกระจายฝูงชนคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เรื่องที่ยิ่งแย่กว่าคือคล้ายว่ากองทัพก็กำลังรีบตามมา ขัดขวางทางออกทุกแห่งพอดี ขณะนี้ทั่วทั้งตรอกหลิวหลีมีแต่ผู้คน ขอเพียงรถม้าพุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะพุ่งชนที่ไหนต่างต้องบาดเจ็บล้มตายย่อยยับ
ตอนนี้เหลือเพียงวิธีเดียว
ให้รถม้าพุ่งไปยังสถานที่ซึ่งมีคนน้อยที่สุด!
เมื่ออันตรายไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้แต่เลือกลดอันตรายลงให้น้อยที่สุด
สถานที่ซึ่งมีคนน้อย…
มีเพียงใต้สะพานที่ก่อนหน้านี้ได้ขับไล่ราษฎรไปแล้วมีคนน้อยที่สุด!
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา มองเห็นใต้สะพานที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งขึ้นในขณะนี้แห่งนั้น เหล่าคุณชายร่ำรวยและเหล่าองครักษ์ที่อาศัยอิทธิพลกลั่นแกล้งคนของเขาต่างตกใจจนชะงักงัน อ้าปากค้างยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลงลืมแม้แต่วิ่งหนี
พอหันหน้ากลับมามองรถม้าอีกครั้ง บนรถยังเหลือสารถีอีกคนหนึ่ง ด้วยเพราะนั่งอยู่บนแอกรถ การลุกไหม้ลุกลามมาจากท้ายรถ เขาจึงยังมีชีวิตอยู่ ยังคงบังคับรถด้วยร่างกายแข็งทื่อ คนคนนี้คล้ายสูญเสียความรู้สึกทุกสิ่งท่ามกลางเปลวเพลิงลุกโชนโชติช่วง ทั่วร่างมอดไหม้จนดำขลับ ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวประหนึ่งผีดิบ
จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอด เรือนร่างกะพริบวูบ
เหยียลี่ว์ฉีที่เพิ่งพุ่งมาถึงข้างกายนางคว้าไว้ได้เพียงชายผ้าผืนหนึ่งของนาง
พริบตาต่อมาท่ามกลางความตื่นตะลึง คนมากมายพลันมองเห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏกายโดยพลันบนม้าลากรถของรถม้าที่ลุกไหม้อยู่เบื้องหน้า
สตรีรวมทั้งท่าทางที่อัปลักษณ์นักของนาง ใบหน้าหันไปทางก้นม้าหมอบอยู่บนร่างม้า เรือนร่างถูกสะบัดจนอันตรายคล้ายอีกประเดี๋ยวจะร่วงหล่นลงมา
ผู้คนอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่าฉากหนึ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แทบจะหลงลืมว่าต้องวิ่งหนี
ในท้องของจิ่งเหิงปัวกลับกำลังด่าทอยกใหญ่
ทำไมหายตัวมาทิศทางนี้!
หน้าอกอึดอัดดวงใจเต้นเร่า วิงเวียนศีรษะสายตาพร่าเลือน นางรู้ว่าตนเองอ่อนล้าถึงขีดจำกัดแล้ว แต่จำต้องกลืนน้ำลายเจือโลหิตอึกหนึ่งลงไป เรือนร่างกะพริบวูบอีกครั้งร่วงหล่นลงบนแอกรถ
เหยียลี่ว์ฉีที่ไล่ตามถึงบนหลังม้าเฉียดผ่านชายผ้าของนางอีกครั้ง
“โอ๊ยแม่งเอ้ยร้อนชิบ!” จากนั้นเสียงกรีดร้องของนางดังขึ้น กระโดดเหย็งบนแอกรถสุดชีวิต “ร้อนชิบๆ จะตายแล้วๆ!” กรีดร้องไปพลางแย่งชิงแส้ม้าของสารถีนั้นไปพลาง พอคว้าแส้ไว้ได้กรีดร้องอีกเสียงหนึ่งว่า “บ้าเอ้ยทำไมมันร้อนขนาดนี้!” แม้ปากกำลังกรีดร้องทว่ามือไม่ชักช้าแม้เศษเสี้ยว ถีบเจ้าคนใกล้ตายลงจากรถม้าในเท้าเดียว หอบหายใจซี้ดซ้าดยกแส้สะบัดในทันใด สะบัดโดนบนก้นม้าฝั่งซ้ายอย่างรุนแรงดังเพียะเสียงหนึ่ง
“ไปทางนั้น!” เสียงนางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ใต้ท้องฟ้ายามราตรี กลบกลืนเสียงร้องโหยหวนของผู้อื่นและกลบกลืนเสียงฝีเท้าของทหารคั่งหลงที่รีบตามมายังปากตรอกข้างหลังกาย
เชือกบังเ**ยนที่ผูกม้าเป็นเชือกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษจึงยังไม่ถูกเผาไหม้จนขาด ม้าคำรามยืดยาวเสียงหนึ่ง กีบเท้าเชิดขึ้น เปลี่ยนทิศทางแล้ว
พุ่งสู่ทิศทางที่จิ่งเหิงปัวได้ชี้ไป
ใต้สะพาน คุณชายผู้บัญชาการและองครักษ์สุนัขรับใช้เกาะกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กเบาบางกลุ่มหนึ่ง
คุณชายผู้บัญชาการหลบอยู่ใต้สะพาน เดิมนึกว่าหากไม่อยู่บนทิศทางข้างหน้ารถม้า ต้องผ่านพ้นภัยร้ายครั้งนี้ได้แน่ ทว่ายามนี้พอเงยหน้าพลันมองเห็นรถม้าลุกไหม้ที่ตะบึงเข้ามา บนรถม้ามีสตรีที่ผมยาวปลิวสยายนัยน์ตาหนาวเหน็บ
สตรีที่เมื่อครู่ยังถูกเขาเชยคางจะฉุดจะฆ่านางนี้ ยามนี้ทั่วหน้าเปี่ยมด้วยไอดุร้าย แส้ม้ามรณะในมือกำลังชี้มาที่เขาอย่างแม่นยำ!
ในสมองเขาว่างเปล่าขาวโพลน อีกสักพักหนึ่งถึงได้เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมรันทดเสียงหนึ่งว่า “อย่า! ช่วยด้วย ท่านพ่อ…”
“ตู้ม!”
รถม้าเปลวเพลิงที่สาดกระเซ็นประกายไฟอย่างต่อเนื่องกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามาปานพลิกภูผาคว่ำมหาสมุทรในพริบตา กลบกลืนคุณชายและบ่าวชั่วที่เผชิญอันตรายครั้งใหญ่ขยับเขยื้อนไม่ได้กลุ่มนั้น ตู้มเสียงหนึ่งประกายไฟที่ระเบิดออกทั่วท้องฟ้าลุกไหม้ต่อเนื่อง รถม้าเอนเอียงท่ามกลางเสียงครืนดังลั่น ชนราวสะพานจนพัง ม้าลากรถคำรามยืดยาวแหลมรันทด ดิ้นรนสะบั้นเชือกบังเ**ยนไฟลุกท่วมแล้วตะบึงจากไป ใต้กีบเท้าเหยียบย่ำคล้ายมีเลือดเนื้อดำเกรียมรำไร
“ลูกข้า…”
เสียงแหลมรันทดคำรามยืดยาวอีกสียงหนึ่ง ดังอยู่ปากตรอกที่ห่างไปไม่ไกล
เงาคนสายหนึ่งพุ่งออกมากลางอากาศ เหยียบย่ำผ่านศีรษะคนนับไม่ถ้วน สองมือแยกออกกลางอากาศทยอยเหวี่ยงคนที่ขวางทางออกไปดุจลูกบอลหนัง ไม่สนใจเปลวเพลิงดุเดือดใต้สะพานช่วงนั้น เหยียบย่ำเศษซากที่ลุกไหม้ทั่วพื้นแล้วพุ่งเข้าไป
“ผู้บัญชาการ!”
ทหารคั่งหลงตรงปากตรอกที่เพิ่งรีบตามมาทยอยร้องโหยหวน บนใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึง
“เย่าจู่!” ผู้บัญชาการทหารคั่งหลงเฉิงกูมั่วแทบจะเสียสติแล้ว ลูกของเขานั่นหนา! เขาสืบทอดเพียงคนเดียวมาสี่ชั่วคน ขอร้องหมอเลื่องชื่อ ภรรยาสิ้นชีพไปสามนาง บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ที่ใช้ทรัพย์สินในจวนจนหมดสิ้นถึงได้มายามอายุสี่สิบ!
เบื้องหน้าเขานั่นเอง กะพริบตาเพียงครั้งถูกรถม้าเพลิงที่พุ่งมาชนจนสิ้นชีพต่อหน้าต่อตา!
ยามเขาไปถึงปากตรอก ห่างจากบุตรชายเพียงไม่กี่จั้ง!
“เย่าจู่!” ผู้บัญชาการเสียสติแล้ว เผชิญไฟกองหนึ่งพุ่งเข้าไปในรถม้า ร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อนพลางเขวี้ยงแผ่นไม้ที่ลุกไหม้แตกร้าว ค้นหาบุตรชายโดยเปล่าประโยชน์ท่ามกลางเปลวเพลิงเป็นกลุ่มก้อน ร้องว่า “เจ้าออกมา เจ้าออกมา! เย่าจู่!”
ณ ปากตรอก กงอิ้นที่นั่งอยู่บนหลังม้ามีสีหน้าเขียวคล้ำ