ผู้ที่ไล่ตามหลังรถม้ายิ่งมากขึ้น กองทัพทหารม้าไปมาสลับซ้อน ขับไล่ฝูงชนอยู่ไกลโพ้น ทว่าต่างไม่กล้าลงมือ ดูท่าทางคล้ายกำลังปกป้องรถม้าคันนี้ ซังต้งคล้ายเสพสุขความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก ข้างมุมปากผุดเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยผืนหนึ่ง
“ดูสิ ทหารนับหมื่นคุ้มกันให้รถชนตำหนักอวี้จ้าว น่าเกรงขามเพียงใด ตระกูลซังไม่ได้น่าเกรงขามขนาดนี้มานานมากนักแล้ว เสียดายเพียงว่าเทียนสี่เจ้ามองไม่เห็นแล้ว”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงสะอึกสะอื้นของสตรีนางนี้ฟังแล้วโชคร้ายเหลือเกิน คงเพราะในท้องนางตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เทียนสี่? อ้อ ซังเทียนสี่ นายน้อยใหญ่ผู้เป็นที่รักของนาง ฟังจากน้ำเสียงแล้วพอรู้ได้ว่าเป็นนายน้อยใหญ่ที่ให้ความสำคัญและรักใคร่อย่างยิ่ง
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มขึ้นมาเล็กน้อย
“นั่นสิ” นางยักไหล่ ตอบรับอย่างเสียใจมากว่า “ไม่เพียงมองไม่เห็นแล้ว ยังไม่ได้ยินแล้ว”
“เจ้าหุบปาก!” ซังต้งตะคอกอย่างวุ่นวายใจเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหุบปากอย่างว่าง่าย
ผ่านไปสักพักซังต้งหันหน้าด่านางอีกครั้งว่า “ได้ยินไม่ได้ยินอะไร? เขาออกนอกเมืองไปแล้ว! ตระกูลซังของเราสิ้นชีพจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่ เจ้า กงอิ้น ทุกคนที่เป็นศัตรูกับตระกูลซังของเราในตี้เกอนี้ ช้าเร็วต่างต้องสิ้นชีพ!” นิ้วมือของนางคล้ายจะจิ้มลงบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรง เอ่ยว่า “จริงสิ เจ้าไม่ต้องรอแล้ว เจ้าจะต้องสิ้นชีพไปก่อนเลยฮ่าๆๆ”
จิ่งเหิงปัวมองเห็นเมื่อลูกน้องตระกูลซังสองคนนั้นได้ยิน “สิ้นชีพจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นไร” ประโยคนั้น บนใบหน้ามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยอย่างชัดเจน
“ข้าหมายถึง” นางกล่าวเนิบนาบว่า “พวกเจ้าตระกูลซังเกิดเรื่องเร็วเกินไป หมดอำนาจเร็วเกินไป กงอิ้นไม่ได้มอบเวลาให้พวกเจ้าโต้ตอบมากเพียงใด เจ้ากับนายน้อยใหญ่ตระกูลเจ้า ย่อมต้องมีวาจาสำคัญมากมายที่ไม่ทันได้เอ่ยกระมัง”
ซังต้งสะท้านไปทั่วร่าง
นางถูกสัมผัสบริเวณเจ็บปวด จ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างเกลียดชัง เอ่ยอย่างโกรธแค้นว่า “เจ้ายังมีหน้ามาเอ่ย! หากมิใช่เพราะพวกเจ้า ข้าแม้แต่…”
นางเอ่ยได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้วหยุดวาจา บนใบหน้าผุดเผยสีหน้าเคียดแค้นอย่างยิ่ง
แต่ก่อนซังต้งสุขุมสง่างาม ทว่าประสบพบเจอความเปลี่ยนแปลงติดต่อกัน ความคิดผิดปกติต่อหน้าความเป็นความตาย จิ่งเหิงปัวอ่านทุกความคิดของนางออกได้อย่างชัดเจน
นางหัวเราะฮ่าๆ อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
ได้
คราวนี้จะเริ่มแล้ว
“หากว่า” นางเผชิญแววตาเกลียดชังของซังต้ง ไม่ร่นถอยแม้แต่น้อย กัดฟันกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ข้าให้เจ้าทิ้งวาจาที่เจ้าอยากเอ่ย ฝากให้นายน้อยใหญ่ของตระกูลเจ้าได้เล่า?”
ซังต้งเงียบไปอีกชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าคิดจะให้พวกเขาสองคนถ่ายทอดวาจาหรือ? เหลวไหลทั้งเพ พวกเขาสองคนจะออกนอกเมืองได้แม้แต่ก้าวเดียวหรือ?”
สองคนที่บนใบหน้าเพิ่งลุกโชนด้วยความหวัง สีหน้าหม่นหมองลงไปอีกครั้ง
“แน่นอนว่ามิใช่ให้พวกเขาถ่ายทอดวาจา วาจาบางอย่างเจ้าไม่อาจให้พวกเขาถ่ายทอดด้วยซ้ำใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าถ่ายทอดวาจาท่อนนี้ของเจ้าไว้ในกล่องใบหนึ่งได้ เจ้าเพียงต้องทิ้งกล่องใบนี้ไว้ เจ้าและบุตรชายของเจ้าย่อมมีสถานที่ลับซึ่งรับรู้ร่วมกัน ภายภาคหน้าเขาจะรู้ว่าต้องไปตามหากล่องใบนั้นที่ใดใช่หรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” ซังต้งถามอย่างเหลือเชื่อว่า “เจ้าหมายถึง…ทิ้งกล่องที่มีเสียงไว้?”
“จะเอ่ยเช่นนั้นย่อมได้” จิ่งเหิงปัวหรี่ตา กล่าวว่า “ข้ามีความมหัศจรรย์มากมาย เจ้ารู้สินะ” นางกล่าวอย่างโน้มน้าวเย้ายวนว่า “อีกทั้ง ทิ้งกล่องที่มีเสียงของเจ้าไว้ เป็นการฝากความคิดถึงตลอดกาลให้บุตรชายเจ้าด้วย เช่นนี้แตกต่างจากการให้คนถ่ายทอดวาจานะ!”
สีหน้าบนใบหน้าของซังต้งวูบไหวประหนึ่งคลื่นธาร คล้ายครู่หนึ่งนี้หวั่นไหวในที่สุด จิ่งเหิงปัวแอบรู้สึกหดหู่…ต่อให้เป็นคนชั่วร้ายเลวทรามมากแค่ไหน ยังคงมีใจรักลูก ประกายโชติช่วงแห่งเพศแม่บนใบหน้านางชั่วครู่นั้นอ่อนโยนดุจสายธารเฉกเช่นมารดาทุกคนในโลกหล้า
ทว่าผ่านไปชัวครู่ซังต้งยังคงแค่นเสียงหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ เรื่องนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้ว ข้าไม่เชื่อ เจ้าเล่นลูกไม้ให้น้อยหน่อย ไสหัวไปให้ไกลหน่อย!”
“ยังจำภาพที่ข้าแสดงในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้หรือไม่? แท้จริงแล้วนั่นคือความสามารถเลิศล้ำของกล่องข้า นั่นคือกล่องที่หลงเหลือรูปภาพใบหนึ่ง คนสามารถหลงเหลือภาพเหมือนที่เสมือนตนเองทุกกระเบียดนิ้วยามเดินผ่านเบื้องหน้ากล่องนั้น เจ้าก็มองเห็นภาพนั้นแล้ว ไม่เหมือนภาพวาดด้วยซ้ำใช่หรือไม่? นั่นก็คือประสิทธิภาพของกล่อง กล่องที่มาจากฝั่งตรงข้ามมหาสมุทร มหัศจรรย์เป็นที่สุด ถูกเทพสวรรค์ประทานพลังปฎิหาริย์ให้”
“ได้ฟังนับว่าเท็จได้เห็นนับว่าจริง” ซังต้งคล้ายเชื่อขึ้นมาหลายส่วน ยื่นมือยิ้มเยาะ “เอากล่องมา”
“เจ้าจะสังหารข้า เหตุใดข้าต้องให้เจ้า?” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า
“ข้าจะค้นกายเจ้า!”
“เจ้าค้นมาได้ก็ไม่รู้ว่าใช้อย่างไร กลับจะสูญเสียโอกาสครั้งสุดท้ายในการทิ้งวาจาไว้ให้บุตรชาย”
ซังต้งลังเลเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เอ่ยมา เจ้าต้องการสิ่งใด? ไว้ชีวิตเจ้าสักครั้งหรือ? คงไม่ได้ เจ้ากับตระกูลซังของข้ามีความแค้นลึกล้ำดุจมหาสมุทร ข้าสิ้นชีพทั้งตระกูลย่อมต้องลากเจ้าตายตกไปตามกัน คงไม่ปล่อยเจ้าไปด้วยเพราะอยากทิ้งวาจาไว้ให้บุตรชาย เจ้าล้มเลิกความคิดเสีย”
“ข้ารู้ๆ…” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะนางอย่างรำคาญ กล่าวว่า “ข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว เจ้าจะชนก็ชนไปเถิด จะลากข้าไปตายด้วยก็ลากข้าไปตายเถิด อย่าบังคับให้กงอิ้นปลิดชีพตนเองได้หรือไม่?”
“มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีความรู้สึกลึกล้ำต่อราชครู” ซังต้งยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากได้โอกาสรอดชีวิตหรือ? ไม่แน่ว่ากงอิ้นปลิดชีพตนเองแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากรถม้าจริง?”
“เจ้าไม่ทำหรอก เหตุใดต้องลากอีกคนหนึ่งไปสิ้นชีพด้วย”
“หากกงอิ้นไม่ตาย ที่สุดแล้วบุตรชายข้ายากจะออกจากประตูเมือง”
“บุตรชายเจ้าเฉลียวฉลาดขนาดนั้น เพียงออกจากประตูเมืองจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรือ?” จิ่งเหิงปัวมองไปนอกรถ ร้องว่า “เฮ้ รีบตัดสินใจหน่อย ชักช้าจะไม่ทันกาลแล้ว”
“เจ้าลองทิ้งเสียงไว้ให้ข้าดูก่อน”
มือของจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังเปิดปากกาอัดเสียง เริ่มร้องเพลงตกอกตกใจ
“อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย อาซือเตออาซือเตอ อาซือเตอเกอเตอเกอเตอ อาซือเตออาซือเตอเกอโตว อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย!”
สามคนภายในรถผุดเผยสีหน้าทนฟังไม่ได้
ร้องเสร็จ นางปิดปากสนิทแล้วเปิดปากกาอัดเสียง
“อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย อาซือเตออาซือเตอ อาซือเตอเกอเตอเกอเตอ อาซือเตออาซือเตอเกอโตว อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย!”
สามคนถลึงตามองริมฝีปากเม้มแน่นของนาง สีหน้าตกตะลึง
พอได้ยินก็รู้ว่าคือทำนองไม่น่าฟังนั้นของนาง ถึงขนาดแม้แต่ทำนองเสียงสูงต่ำพลิกผันยังเหมือนกัน
“พากย์เสียงหรือ?” ซังต้งพึมพำ
ในใจก็รู้ว่าไม่อาจเป็นการพากย์เสียง เสียงที่พากย์เสียงส่วนใหญ่ฟังแล้วแปลกประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าทุกคนเอ่ยวาจาประโยคเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ทำนองเสียงย่อมจะไม่คล้ายกันทุกกระเบียดนิ้วโดยสิ้นเชิง
ราชินีมหัศจรรย์นางนี้ ในมือมีสิ่งของมหัศจรรย์ดังคาดการณ์
“เอามา!” ดวงตาของซังต้งแดงก่ำแล้ว ร้องว่า “ข้าจะฝากวาจาให้เทียนสี่!”
“เรื่องนี้ต้องให้ข้าดำเนินการ เจ้าเอ่ยวาจาก็พอ หากไม่วางใจ อุดหูของข้าไว้ก็ได้” จิ่งเหิงปัวไม่อ่อนข้อ
ซังต้งมองดูเบื้องหน้า กองทัพใหญ่ชุมนุมข้างกาย จัตุรัสหวงเฉิงข้างหน้าอยู่ในสายตา ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว
“ลดความเร็วลง” นางกำชับผู้ใต้บัญชาสองคน
ราษฎรและกองทัพใหญ่มองดูรถม้าที่ตะบึงรวดเร็วปานภูตพรายมาโดยตลอด พลันช้าลงมาอย่างประหลาดใจ ผู้คนจ้องมองรถม้าอย่างเปิ่ยมด้วยความหวัง หวังให้รถม้าหยุดลง จากนั้นราชินีเดินลงมาอย่างเชื่องช้า
แม้ว่ารถม้าช้าลง ทว่าไม่ได้หยุดลงเสียที
…
บนกำแพงวัง กงอิ้นสวมอาภรณ์ขาวยืนตรง จ้องมองเบื้องหน้าอยู่ไกลโพ้น
เขาได้รีบเร่งกลับสู่ตำหนักอวี้จ้าวล่วงหน้า ออกคำสั่งถอนกำลังองครักษ์ตรงลานตำหนักอวี้จ้าว เพิ่มการป้องกันประตูตำหนักอวี้จ้าวโดยพลัน เดิมทียังอยากวางแผนจัดการเล็กน้อย ทว่าเวลากระชั้นชิดเหลือเกิน
ยืนอยู่บนยอดกำแพงวัง มองรถม้าคันนั้นตะบึงเข้ามา นัยน์ตาสองข้างของเขาสงบเงียบดุจทะเลสาบหิมะผืนหนึ่ง
เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้ากระวนกระวาย วาจาของซังต้งคล้ายวนเวียนดังอยู่ข้างหู เขาไม่รู้ว่าเงื่อนตายนี้ควรจะแก้ไขอย่างไร หรือว่าจะต้อง…
มองดูใบหน้าด้านข้างที่ไม่ผุดเผยอารมณ์เลยแม้แต่น้อยของกงอิ้น แม้ว่าติดตามกงอิ้นมานานหลายปี เขายังไร้หนทางคาดคะเนจิตใจของเจ้านายในเวลาเช่นนี้ได้
แต่ไหนแต่ไรมาเจ้านายยิ่งเจอเรื่องใหญ่ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยว ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยวยิ่งเผยกลิ่นอายเงียบสงบ ทว่าความเด็ดเดี่ยวในยามนี้ คิดอย่างไรต่างคล้ายเจือด้วยกลิ่นอายไม่เป็นมงคล…
ดวงตาสองข้างของกงอิ้นพลันแน่วแน่
ความเร็วของรถม้าเบื้องหน้าเริ่มลดลง!
ในแววตาเหมิงหู่ผุดเผยความยินดี…พอรถม้าช้าลง เรื่องบางเรื่องจะทำการตระเตรียมได้ทัน เช่น คันศรยักษ์ขนาดมหึมาที่ต้องมีขั้นตอนเริ่มประมาณหนึ่ง เช่น หน่วยเฟิงชื่อของคั่งหลงที่ระดมพลแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้รีบตามมาด้วยฉุกละหุก
“จูหว่าง” กับ “เฟิงชื่อ” คือหน่วยลับสองหน่วยใหญ่ภายในทหารคั่งหลง สังกัดทหารคั่งหลงเพียงในนาม ทว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมของทหารคั่งหลง หน่วยแรกสืบหาข่าวสารโดยเฉพาะ หน่วยหลังเชี่ยวชาญลอบสังหารแอบเคลื่อนไหว กงอิ้นเป็นคนคัดเลือกผู้ยอดเยี่ยมท่ามกลางทหารคั่งหลงมาก่อตั้งด้วยตนเอง มีคนส่วนน้อยส่วนหนึ่งรู้ถึงการดำรงอยู่ของสองหน่วยนี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคนได้เห็นด้วยตาตนเอง
“ทุ่มเทกำลังเร่งความเร็วเริ่มคันศรยักษ์ ไม่ต้องอำพรางอีก หลังจากหน่วยเฟิงชื่อไปถึงแล้ว ให้พวกเขาหาวิธีแอบเคลื่อนไหวมาลานกว้าง”
“ขอรับ”
เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นเฉียดลงจากยอดกำแพงวัง