เชียนเยี่ยเสวี่ยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความน่าหลงใหลฉายแววระยับ ทว่ากลับมีไอสังหารแผ่ออกมาอย่างหนักหน่วง
คนหนึ่งแก่อีกคนหนึ่งเด็ก อยู่บนลานประลองนั้น แต่ไอสังหารกลับคละคลุ้งรุนแรงในดวงตาทั้งสองฝ่ายมุ่งสังหารฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพวกเขาทั้งสองต่างก็รู้สึกได้
หูซายิ้มเยือกเย็น
ดูแล้ว เรื่องวันนี้คงมิมีทางที่จะจบลงแบบสงบได้ คงต้องสู้กันจนตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น!
ยังดีที่เขาและหลิวกุ้ยเฟยมีการส่งข่าวกันโดยตลอด กำจัดเยี่ยนอ๋อง ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ
เชียนเยี่ยเสวี่ยก็มารนหาที่ตายเองเสียด้วย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจล่ะ!
ความคิดหลัวซา มีหรือที่เชียนเยี่ยเสวี่ยจะไม่รู้
สองปีมานี้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินจื้อสุขภาพมิสู้ดี หลิวกุ้ยเฟยก็วิ่งเต้นขึ้นมา เพื่อปูทางให้เยี่ยอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ต่อ
ดังนั้นเชียนเยี่ยเสวี่ยที่เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งวังหลวง ย่อมต้องเป็นหนามยอกอกของหลิวกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน นางอยากจะสังหารตนให้ตายเสียด้วยซ้ำ!
เพราะอย่างไรเสีย ในราชสำนักก็ยังมีกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนองค์หญิงใหญ่อยู่ โดยเฉพาะพวกขุนนางเก่าแก่ ล้วนแต่ยืนอยู่ข้างฮองเฮาและเยี่ยนอ๋องอยู่แล้ว จึงทำให้หลิวกุ้ยเฟยไม่พอใจและแค้นเคือง
เพียงแต่เชียนเยี่ยเสวี่ยคิดไม่ถึงว่า หูซาที่เป็นถึงจอมเทวา ในแคว้นฉินจื้อเขามีตำแหน่งสูงส่งอยู่แล้ว แต่เขายังคิดที่จะขึ้นให้สูงกว่านี้อีก
เหอะ ยิ่งปีนขึ้นสูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น!
หึ หูซา ปีหน้าในวันนี้จะเป็นวันเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเจ้า!
เพียงแค่นึกถึงเรื่อง เพื่อที่จะกำจัดเขาแล้ว หลิวกุ้ยเฟยถึงกับลอบใส่ฝิ่นลงในใบชาที่เสด็จแม่ประทานให้กับนาง เพื่อให้ตนเสพติดมันแล้วจะได้อยู่ไม่สู้ตาย เชียนเยี่ยเสวี่ยก็แค้นเคืองจนแทบอยากจะสับหลิวกุ้ยเฟยให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนสุนัขกินเลยทีเดียว
หากมิใช่อวี้เฟยเยียนทำทุกวิถีทางช่วยเหลือนางเอาไว้ละก็ ไหนเลยจะมีเชียนเยี่ยเสวี่ยในวันนี้!
ดังนั้น ถึงแม้ว่าหูซาจะเป็นถึงจอมเทวาแห่งแคว้นฉินจื้อ แต่เขากลับมีตาแต่ไร้แวว คิดปองร้ายอวี้เฟยเยียน เช่นนั้นก็สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!
เชียนเยี่ยเสวี่ยยิ้มร้ายออกมา แต่มันกลับชวนให้ลุ่มหลง นิ้วมือเรียวยาวของนางกุมดาบเล่มใหญ่ที่แขวนไว้ที่เอว
ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งกอดอกมองไปที่ลานประลอง
แม้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยคอยจ้องแย่งแมวน้อยกับเขา จะน่ารำคาญไปบ้าง แต่สิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ก็สามารถระบายความเจ็บแค้นได้มากทีเดียว!
จุดนี้ ซย่าโหวฉิงทียนรู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างมาก
มองดูหูซายิ้มจนใบหน้าขัดเกร็งเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมา ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่ล่วงเกินผู้คนเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว! แต่ หูซาคือเหยื่อของเขา! กล้าแตะต้องแมวน้อยของข้า ข้าจะให้เจ้าตักตวงความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิตให้เต็มที่!
อวี้เฟยไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังนาง ซย่าโหวฉิงเทียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยล้วนแต่กำลังคิดค้นแผนการที่จะจัดการกับหูซา คิดว่าจะทรมานหมอนั่นอย่างไร
ตอนนี้ความสนใจของนางพุ่งตรงไปที่เด็กทั้งห้าคน
“ผู้เฒ่าใหญ่ พิษนี้ศิษย์แก้มิได้!”
นักปรุงยาคนหนึ่งกล่าวขึ้น
แล้วนักปรุงยาคนข้างๆ ก็รีบส่ายหน้าตามมาติดๆ
มิใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถ แต่ยาพิษครั้งนี้ของสำนักหมื่นพิษมันร้ายกาจเกินไป! ดูแล้วพวกมันคงจะเตรียมการมา เพื่อที่จะทำลายหอราชาโอสถให้ราบ!
ผู้เฒ่าใหญ่คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องได้รับคำตอบเช่นนี้ ถึงแม้ว่าในใจเขาจะดีใจแค่ไหน แต่ภายนอกก็ต้องแสร้งทำเป็นหนักใจ
“พวกเจ้าถอยไปเถอะ เป็นเพราะความสามารถเราสู้เขามิได้”
ต่อให้พ่ายแพ้ ก็ขอทำเต็มที่จะมิให้ใครมาดูถูกได้ ในฐานะผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถแต่กลับกล่าวคำพูดเชิงยอมแพ้เช่นนี้ ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
ผู้ที่มาร่วมงานชุมนุมล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีฐานะทั้งสิ้น และมีจำนวนไม่น้อยที่เคยมาร่วมงานชุมนุมประลองโอสถหลายต่อหลายครั้ง
โดยครั้งที่แล้ว สำนักหมื่นพิษก็กลั่นแกล้งตำหนักโอสถสารพัด
แต่ตอนนั้นผู้เฒ่าใหญ่พูดจาเปี่ยมด้วยคุณธรรม พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพลิกขึ้นนำชัยชนะ ทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานประทับใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างกับครั้งนี้โดยสิ้นเชิง
หากเปรียบเทียบผู้เฒ่าใหญ่เมื่อห้าปีก่อนกับผู้เฒ่าใหญ่ตอนนี้ละก็ ไม่นับเรื่องหน้าตาที่เหมือนกัน ผู้คนก็อดมิได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ว่า ในร่างนี้ยังมีผู้เฒ่าใหญ่อยู่อีกคน
ทันใดนั้น คนบางคนก็คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ที่หนุ่มสาวสามคนกล่าวเตือน ก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขากล่าวถูกต้อง
งานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ มีปัญหาจริงๆ!
ฮ่าๆ !
เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าใหญ่ยอมแพ้ เลี่ยเชวียก็ยิ้มเยาะจนเห็นฟันสีเหลืองน่าเกลียด
“ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า พวกท่านหอราชาโอสถมีดีแต่ชื่อ เอาแต่กินบุญเก่าบรรพบุรุษที่ท่านเหลือไว้ให้ใช้ชีวิตไปวันๆ”
“ดูสิเห็นหรือไม่ ข้าพูดไว้ไม่ผิด การประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ผู้ชนะต้องเป็นสำนักหมื่นพิษเป็นแน่!”
เลี่ยเชวียพูดจาเยาะเย้ยจนนักปรุงยาและศิษย์ของหอราชาโอสถอดรนทนไม่ไหว
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเหล่าบรรดานักปรุงยาแล้ว เลี่ยเชวียก็ชี้ไปที่เด็กทั้งห้าบนเวทีอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า
“พวกเจ้ามันก็เก่งแต่ปาก หากพวกเจ้ามีความสามารถจริง ก็ถอนพิษข้าให้ได้สิ! มิเช่นนั้นก็หุบปากเสีย!”
เรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า อีกทั้งเมื่อเห็นเด็กทั้งห้าคนมิมีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำบรรดาศิษย์และนักปรุงยาของตำหนักโอสถอีกหลายเท่าตัว บางคนน้ำตารื้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เพราะพวกเขาไร้ความสามารถ ทำให้สำนักหมื่นพิษมาลบหลู่ถึงสำนัก ลบหลู่หอราชาโอสถ!
“ข้าจะบอกให้ว่าคนบางคนอย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก!”
อวี้เฟยเยียนเห็นเลี่ยเชวียเหยียบย่ำหอราชาโอสถเช่นนั้น ก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก จะชั่วดีอย่างไรพวกเขาก็มีจิตใจอาสา อยากจะช่วยชีวิตผู้อื่น ไม่เหมือนกับคนของสำนักหมื่นพิษ ที่วันทั้งวันเอาแต่คิดว่าจะทรมานผู้อื่น สังหารผู้อื่นอย่างไร!
“คู่แข่งของพวกเจ้าคือข้า เพียงชั่วครู่ก็ดีใจถึงเพียงนี้ ดีใจถึงขนาดเก็บอาการไม่อยู่เชียวหรือ”
วาจาอวี้เฟยเยียนเอ่ยออกไป ทำให้นักปรุงยาและศิษย์ของหอราชาโอสถเรียกความมั่นใจกลับมาได้
“จริงด้วย!”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแก้พิษของสำนักหมื่นพิษไม่ได้ แต่เราก็ยังมีอวี้หลัวช่านี่นา!
นางคือจักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวของแผ่นดินเชียวนะ!
ทันใดนั้นก็มีศิษย์คนหนึ่งเสนอว่าไม่ต้องรอให้ระยะเวลาครบสองชั่วยาม ให้อวี้หลัวช่าเริ่มถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าตั้งแต่ตอนนี้ไปเลย
ข้อเสนอที่ศิษย์ผู้นี้เสนอมา ศิษย์และผู้ปรุงยาทั้งหลายต่างก็เห็นด้วยอย่างรวดเร็ว เพราะหากหอราชาโอสถพ่ายแพ้ ความปราชัยของหอราชาโอสถก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมิได้ ไม่สู้มอบโอกาสให้กับอวี้เฟยเยียน ให้นางช่วยชีวิตเด็กเหล่านั้นแทนเล่า
“โอ้!”
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เลี่ยเชวียก็ถึงกับหัวเราะออกมา
“ผู้เฒ่าใหญ่ ดูแล้วท่านอยู่ในหอราชาโอสถคงจะปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดีเท่าไหร่ ดูสิ ศิษย์ทั้งหลายของท่าน! จ้องจะให้อวี้หลัวช่าชนะ และหวังจะให้ท่านตายนะ!”
เลี่ยเชวียกล่าวเช่นนี้ เหล่านักปรุงยาของตำหนักโอสถจึงเพิ่งนึกขึ้นได้เรื่องสัญญาประลองเมื่อครู่
หากพวกเขาสนับสนุนให้อวี้หลัวช่าแก้พิษได้มิเท่ากลับผลักไสผู้เฒ่าใหญ่ไปตายอย่างนั้นหรือ
จริงดังที่คาดเอาไว้ เมื่อฟังคำยุแหย่หวังแตกแยกของเลี่ยเชวียแล้ว ผู้เฒ่าใหญ่ก็ถลึงตาแค้นเคืองให้กับศิษย์คนที่เสนอความคิดเห็นเมื่อครู่
“ตกลงแล้วว่าสองชั่วยาม ก็ต้องสองชั่วยาม!”
“ต่อให้ข้าต้องพ่ายแพ้ ก็มิอาจละเมิดข้อตกลงได้!”
ใครจะรู้ว่าศิษย์คนเมื่อครู่นั่นช่างใสซื่อเสียเหลือเกิน เขาไม่เข้าใจความหมายสายตาพิฆาตของผู้เฒ่าใหญ่เมื่อครู่แม้แต่น้อย
เมื่อเขามองไปที่ผู้เฒ่าใหญ่ ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วกล่าวถามตามสิ่งที่คิดในใจของตนว่า
“ผู้เฒ่าใหญ่ ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้าพวกเรามิใช่ควรจะช่วยชีวิตคนก่อนหรอกหรือ การช่วยชีวิตคน เป็นสิ่งที่หอราชาโอสถของเราควรทำมิใช่หรือ!”
โง่เง่า!
น่าโมโหนัก!
ผู้เฒ่าใหญ่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาตวัดฝ่ามือฟาดไปที่ทรวงอกของศิษย์ผู้นั้นทันที
นาทีนั้น ศิษย์หนุ่มลอยกระเด็นออกไปไกลกระแทกกับกำแพงแล้วกระอักเลือดออกมา
ขณะที่ผู้เฒ่าใหญ่ลงมือซ้ำสองนั้นเอง ใครบางคนในชุดสีอ่อนก็ปรากฏตัวขึ้น ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ผู้เฒ่าใหญ่เป็นฝ่ายถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าว แล้วกระอักเลือดออกจากปาก
“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านปฏิบัติเช่นนี้กับศิษย์ที่ซื่อตรงพูดตามในสิ่งที่คิดเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ใครหลายคนต้องผิดหวังเสียแล้ว!”