จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 86-1 เป็นลูกของเหลียนจิ่น
“อะไรนะ!”
คำตอบของหมอหลวงหวังทำให้ซย่าโหวจวินอวี่และหลิวฮองเฮาตะลึงงัน
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
องค์หญิงเสวี่ยยังมิได้แต่งงาน แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร!
เป็นฮ่องเต้ยังทรงสามารถประคองสติได้มากกว่า ทรงตรัสถามขึ้นว่า
“เจ้าแน่ใจนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแน่ใจ”
หมอหลวงหวังเริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผม เขาคิดไม่ถึงว่า แค่การตรวจอาการป่วยให้กับองค์หญิง กลับกลายเป็นพบเจอกับเรื่องน่าอับอายของราชวงศ์เข้า
เรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้หากถูกเปิดเผยออกไป ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธมากเป็นแน่
บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดองค์หญิง เกรงว่าชะตาจะขาดเสียแล้ว!
สำหรับตัวเขาเองนั้น…หมอหลวงหวังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของเขาหวาดกลัวไม่น้อย
ต่อให้เขาเป็นหมอเทวดา แต่อย่างไรก็เป็นขุนนาง
หากฮ่องเต้ให้ตาย ขุนนางไหนเลยจะไม่ตาย!
“เจ้าพูดเหลวไหล!”
หลิวฮองเฮาเมื่อได้สติขึ้นมา ก็กล่าวโทษหมอหลวงเสียงดังสนั่น
หมอหลวงหวัง ช่างบังอาจนักนะ รับสินบนจากผู้ใดมา เหตุใดจึงต้องให้ร้ายองค์หญิง
แม้ว่าในใจของหลิวฮองเฮา จะเชื่อในบางส่วนของคำพูดของหมอหลวงหวังไปแล้ว
ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของซย่าโหวจวินอวี่ที่บึ้งตึงแทบจะดูไม่ได้ สายพระเนตรของพระองค์สว่างวาบ ทำให้หลิวฮองเฮายิ่งเชื่อไปกันใหญ่
แต่ทว่า เรื่องเช่นนี้ให้ตายอย่างไรนางก็จะไม่มีวันยอมรับ!
องค์หญิงสูญเสียความบริสุทธิ์ ตั้งครรภ์โดยมิได้แต่งงาน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับแคว้นต้าโจวมาก่อน
วินาทีนั้น สีหน้าของซย่าโหวจวินอวี่เข้มเสียยิ่งกว่าขี้เถ้าก้นหมอเสียอีก หลิวฮองเฮารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงรังสีความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านออกมาจากพระองค์
ห้ามยอมรับ
ห้ามยอมรับเด็ดขาด!
ต่อให้มันตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริง แต่เจ้าก็ห้ามยอมรับเด็ดขาด!
ความคิดของหลิวฮองเฮา มีหรือที่หมอหลวงหวังจะไม่รู้
แต่ทว่าในเมื่อเขาพบกับเรื่องใหญ่นี้เข้า หมอหลวงหวังไหนเลยจะกล้าปิดบังฝ่าบาทได้
หลิวฮองเฮาทรงคิดที่จะปกป้ององค์หญิง โดยเสียสละหมอหลวงหวัง หมอหลวงหวังมิใช่คนโง่ แล้วจะยอมให้ให้หลิวฮองเฮาสาดโคลนอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไรกัน!
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมกราบทูลเป็นเรื่องจริงทุกประการ! อายุครรภ์ราวเดือนกว่าเห็นจะได้ ครรภ์ปกติดี กระหม่อมกล้าเอาศีรษะของหม่อมฉันเป็นประกัน ว่าองค์หญิงเสวี่ยทรงตั้งครรภ์จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท!”
หลิวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าซย่าโหวจวินอวี่
“ฝ่าบาท เสวี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กดี กตัญญูเชื่อฟังคำสั่ง แล้วจะทำเรื่องน่าบัดสีเช่นนี้ได้อย่างไร! ขอพระองค์ทรงไตร่ตรองด้วยเพคะ!”
เมื่อครั้งที่ซย่าโหวจวินอวี่ยังเป็นองค์ชายอยู่นั้น หลิวฮองเฮาก็เป็นพระชายาของเขา
คนทั้งสองอยู่กินฉันสามีภรรยามาตั้งหลายปี ต่อให้ไม่มีความรัก อย่างน้อยก็มีเป็นดั่งมิตรที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
หลิวฮองเฮาเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่ในยามที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตมา
นางเคยถูกคนให้ร้าย เพราะการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง แท้งลูก ทั้งยังเป็นลูกชายที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีอีกด้วย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อีกเลย จนกระทั่งนางอายุยี่สิบเจ็ดถึงได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง ซึ่งก็คือซย่าโหวเสวี่ย
หลายปีที่ผ่านมา หลิวฮองเฮาทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเสมอมา บวกกับซย่าโหวเสวี่ยรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมู่หรงเยียนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ค่อยลงรอยกับสองแม่ลูกนี่เท่าไหร่นัก
“ฝ่าบาท…”
หลิวฮองเฮาน้ำตาอาบแก้ม ดูร่วงโรยยิ่งนัก
เส้นผมยาวของนางสยายปรกไหล่ ซึ่งในนั้นมีเส้นผมสีขาวแซมอยู่ไม่น้อย
ในขณะที่ให้กำเนิดซย่าโหวเสวี่ยนั้น ร่างกายของฮองเฮาหลิวบอบช้ำอย่างหนัก จนมิอาจมีลูกได้อีกต่อไป ดังนั้น หลิวฮองเฮาจึงทั้งรัก ทะนุถนอมและให้ท้ายลูกสาวคนเดียวเป็นอย่างมาก
ต่อให้นางทำเรื่องเช่นนี้ หลิวฮองเฮาก็ยังเลือกที่จะปกป้องซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้
เพราะว่า ซย่าโหวเสวี่ยคือชีวิตของนาง!
“ฮองเฮาไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก!”
คำพูดซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้หัวใจหลิวฮองเฮาปวดหนึบไปกว่าครึ่ง
นางจะลืมเรื่องราวของซย่าโหวหนาน สนมลี่ ฉินไทเฮาได้อย่างไรกัน…
ฝ่าบาท ทรงเป็นผู้ที่ยืนหยัดในอุดมการณ์ของตนเอง!
ในตอนนั้นเอง แรงมหาศาลที่กดซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ก็มลายหายไป นางพลิกกายลุกขึ้นจากเตียง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซย่าโหวจวินอวี่ ร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเจ็บปวด
“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายเพคะ! ลูกยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!”
ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า เรื่องนี้ห้ามยอมรับโดยเด็ดขาด!
ในระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง ซย่าโหวเสวี่ยได้พบกับคณะละครคณะหนึ่ง
ซึ่งภายในคณะละครนั้นนางได้พบกับบุคคลที่นางรู้จักสนิทสนมมากคนหนึ่ง…
รัชทายาทที่เคยรุ่งเรืองที่สุดแห่งยุค ซย่าโหวหนาน
ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์นั่น ซย่าโหวเสวี่ยไม่ได้จำคนผิดเป็นแน่ นางเกือบจะสงสัยในสายตาของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
มารดาบังเกิดเกล้าของซย่าโหวหนานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือลี่เฟย สนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด อีกทั้งเขายังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ใครๆ ต่างก็คาดเดาว่าจะได้ขึ้นครองราชย์
ทว่า จุดจบของซย่าโหวหนานกลับเป็นดั่งตัวตลกในคณะละคร ต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง เห็นเป็นที่ระบายอารมณ์ ใช้ผิงกั่วเขวี้ยง ไข่ไก่ปาใส่เขาเพื่อระบายอารมณ์…
ภาพในวันนั้น ซย่าโหวเสวี่ยมิมีวันลืมเลือน
ซย่าโหวหนานทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธ จนถูกริบฐานันดรศักดิ์ปลดไปเป็นชนชั้นทาส จุดจบของเขาน่าอนาถยิ่งนัก ซย่าโหวเสวี่ยจะไม่ยอมเป็นซย่าโหวหนานคนที่สองอย่างแน่นอน! นางมิอยากเป็นเช่นนั้น!
“ลูกถูกใส่ร้าย! เสด็จพ่อ…”
ซย่าโหวเสวี่ยร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารเช่นนี้ ยิ่งดูคล้ายกับมู่หรงเยียนเป็นอย่างมาก ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่มองดูถึงกับใจแกว่งอยู่ครู่ใหญ่ ราวกับว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เมื่อครั้งที่มู่หรงเยียนถูกบีบบังคับให้แต่งเข้าวังบูรพา ซึ่งเป็นวันที่เขาและนางพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายวันนั้น
วันนั้นมู่หรงเยียนร้องไห้หนักราวกับหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ถึงขั้นว่าจะใช้ความตายเป็นเครื่องยืนยันอุดมการณ์ของตนเอง
ทว่าเป็นซย่าโหวหนานที่ย้ำเตือนกับนางตลอดเวลา ‘พี่เยียน คนเราจะต้องมีลมหายใจจึงจะมีความหวัง’
สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าซย่าโหวจวินอวี่สีหน้าอ่อนลง ใบหน้าของเขาแสดงความหวั่นไหว ดังนั้นหลิวฮองเฮาจึงคุกเข่าลงอีกครั้งแล้วกล่าวว่าหมอหลวงหวังจิตใจสกปรกต่ำช้า ใส่ร้ายองค์หญิง สมควรตายหมื่นครั้ง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันสูญเสียลูกไปแล้วคนหนึ่ง หม่อมฉันมิอาจสูญเสียเสวี่ยเอ๋อร์ได้อีกแล้วเพคะ!”
สุดท้าย หลิวฮองเฮาถึงกับหยิบยกเรื่องที่ตนเองแท้งลูกในปีนั้นขึ้นมาพูด
งานเลี้ยงในครั้งนั้น เนื่องจากซย่าโหวจวินอวี่ไม่สบาย ทำให้หลิวฮองเฮาต้องดื่มสุราแทนเขาหนึ่งจอก
ใครจะคาดคิดกลับถึงจวนเพียงไม่นาน พระชายาองค์ชายก็ปวดที่ท้องอย่างหนัก หมอหลวงมาตรวจอาการแล้ววินิจฉัยว่าถูกพิษ ในคืนนั้นนางก็ขับเด็กชายที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีออกมา เด็กก็ไร้ลมหายใจแล้ว
สำหรับลูกที่สูญเสียไป ซย่าโหวจวินอวี่ยังรู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด
ในวันนี้ฮองเฮาหลิวหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ซึ่งมันกระแทกใจของเขาอย่างแรง
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้โกหกนะพ่ะย่ะค่ะ!”
หมอหลวงหวังมีหรือที่จะไม่รู้ว่าสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้อยู่ในภาวะคับขัน
เพียงแต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะแก้ตัวให้กับตนเองได้อย่างไร จึงทำได้เพียงคุกเข่าหลังตรงแน่ว เพื่อคงไว้ซึ่งคุณลักษณะที่แพทย์พึงมี
“เสด็จพ่อ ลูกขอพระราชทานอนุญาตจากเสด็จพ่อ! เสด็จพ่อสามารถให้หมัวมัวของวังหลวงตรวจร่างกายของลูกได้เพคะ!”
ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า วันนี้ระหว่างนางและหมอหลวงหวัง ซย่าโหวจวินอวี่เลือกได้เพียงคนเดียว
เมื่อถึงช่วงเวลาความเป็นความตาย ซย่าโหวเสวี่ยจึงเลือกใช้วิธีการสุดท้ายขั้นเด็ดขาด
โดยการที่ให้ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้หมัวมัวแห่งวังหลวงตรวจสอบร่างกายของนาง!
วังหลัง คือพื้นที่ของฮองเฮา
นับตั้งแต่ที่ลี่เฟยตายไป หลิวฮองเฮาก็ปกครองวังในด้วยความเรียบร้อยมีกฎระเบียบ ขณะเดียวกันก็คอยควบคุมบงการทุกคน
เมื่อได้ยินซย่าโหวเสวี่ยยื่นข้อเสนอว่าต้องการให้ตรวจสอบร่างกาย หลิวฮองเฮาก็รีบปาดน้ำตาแล้วออกปากสนับสนุนการตัดสินใจของนางทันที
“ฝ่าบาท ที่ผ่านมานางกำนัลเมื่อเข้าวังมาจะต้องถูกหมัวมัวตรวจสอบร่างกาย หากพระองค์ไม่เชื่อเสวี่ยเอ๋อร์ละก็ ก็ทรงมีพระบัญชาให้หมัวมัวตรวจสอบร่างกายของนางได้นี่เพคะ! ถึงตอนนั้นความจริงเป็นเช่นไร คงได้รู้ทั่วกัน”
หลิวฮองเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้จะไม่หาหมอคนหลวงคนอื่นมาตรวจอาการให้กับซย่าโหวเสวี่ยเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ หากเป็นความจริง ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียของราชวงศ์ ฮ่องเต้มิต้องการให้มีคนรู้มากเกินไป
ดังนั้น จะต้องจัดการหมอหลวงหวังให้จงได้!
เมื่อได้ฟังข้อเสนอแนะของหลิวฮองเฮา ซย่าโหวจวินอวี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่กลับมองสบสายตากับซย่าโหวฉิงเทียน
“ฉิงเทียน เจ้าคิดเห็นประการใด”
ในตอนนั้นเอง ซย่าโหวเสวี่ยถึงได้พบว่าลุงสิบสี่ก็ยืนอยู่ที่ด้านข้างเช่นกัน ทำให้นางตกอกตกใจเป็นอย่างมาก
ความสัมพันธ์ของนางและซย่าโหวฉิงเทียนจัดว่าเป็นเพียงผิวเผินธรรมดาๆ แต่ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า เสด็จพ่อเชื่อใจท่านลุงสิบสี่เป็นมากเพียงใด
วันนี้นางจะรอดไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าลุงสิบสี่จะว่าอย่างไรแล้ว!
ท่านลุงสิบสี่ ขอร้องท่านล่ะ!