จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 89-4 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต
เหล่าองรักษ์ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทว่าให้ฟังคำสั่งขององค์หญิงเสวี่ย ถึงแม้พวกเขามิได้เต็มใจที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับประชาชน แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด
ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยเดินทางมาอย่างเอิกเกริก เปี่ยมด้วยรัศมีความเป็นองค์หญิงราชนิกุล สูงส่ง รถม้าขบวนเสด็จคันใหญ่ คนมีตาต่างก็มองออกว่านี่เป็นรถม้าจากวังหลวง
รวมทั้งคำแทนตัวเอง ‘องค์หญิง’ ของซย่าโหวเสวี่ย ว่าแล้วผู้คนก็เริ่มซุบซิบจากหนึ่งคนไปสิบคน จากสิบคนไปเป็นร้อยคน ทำเอาทุกคนรู้กันโดยทั่วถึงสถานะของบุคคลที่อยู่ในรถม้า
ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็ร้องขึ้น
“องค์หญิงใช้อำนาจรังแกผู้คน!”
เอาละสิ หากว่าผู้ที่ร้องตะโกนขึ้นมีเพียงแค่คนเดียวละก็ ซย่าโหวเสวี่ยยังสามารถสั่งให้ทหารลากตัวไปจัดการได้ แต่นี่ผู้คนมากมายต่างก็พร้อมใจกันใช้สายตาไม่เป็นมิตรจ้องมองไปที่ซย่าโหวเสวี่ยพร้อมกัน จนนางควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่!
“มองอะไรกัน! หากยังมองอีกข้าจะตัดหัวพวกเจ้าเก้าชั่วโคตร!”
หากใช้คำพูดของอวี้เฟยเยียนบรรยายละก็ ซย่าโหวเสวี่ยคือผู้ที่ออกจากบ้านโดยไม่นำสติปัญญาติดตัวมาด้วย
พูดได้ดีนี่นา!
นางออกจากวังมาคราวนี้ จะนำสติปัญญาติดตัวมาได้อย่างไร ในเมื่อแม้กระทั่งสมองยังมิได้เอาติดตัวมาด้วยเลย
คำพูดเช่นนี้ จะนำมาพูดตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน!
พวกชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็โกรธแค้น
“พวกเจ้า…พวกเจ้าจะทำอะไร! ข้าคือองค์หญิงนะ!”
ถูกผู้คนมากมายจ้องมองด้วยสายตาโกรธแค้น ซย่าโหวเสวี่ยถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก ถึงกับพูดจาตะกุกตะกักเลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวชักจะบานปลายใหญ่โตเพราะซย่าโหวเสวี่ย หลิวเปยก็รีบออกหน้าไกล่เกลี่ยทันที
“ขออภัยด้วยเถิด องค์หญิงทำเพื่อข้า ดังนั้นจึงได้ใจร้อนไปบ้าง ข้าเองก็มาเพื่อขอให้ท่านหมอรักษาให้เช่นกัน ข้าจะต้องเข้าแถวเฉกเช่นเดียวกับทุกท่านแน่นอน เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน!”
คำพูดเช่นนี้ของหลิวเปยยังพอไปวัดไปวาได้ สามารถช่วยซย่าโหวเสวี่ยคลี่คลายสถานการณ์ไปได้
เมื่อกลับมาถึงยังรถม้า ซย่าโหวเสวี่ยก็ขึ้นนั่งกระแทกกระทั้นบนรถม้าด้วยความโกรธเคือง ดวงตาจ้องมองหอคืนชีพที่ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงหางตาตรงหน้าเขม็ง
“องค์หญิงไม่ถูกกับอวี้หลัวช่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวเปยมองเห็นแววตาของซย่าโหวเสวี่ยเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“เปล่า!”
ถูกหลิวเปยมองออกเข้า ซย่าโหวเสวี่ยรีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
“ข้าเพียงแต่รู้สึกคับแค้นใจ! เจ้าเป็นองค์ชาย ข้าเป็นองค์หญิง พวกเราฐานะสูงส่งเพียงใด ทว่ากลับต้องมาอยู่ร่วมกับพวกชาวบ้านชั้นต่ำพวกนี้! น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!”
คำพูดนี้ของซย่าโหวเสวี่ย ช่างตรงใจหลิวเปยยิ่งนัก
หากมิใช่รู้อยู่เต็มอกว่าผู้คนจะเกิดความโกรธแค้น เขาก็ไม่อยากต่อแถวเช่นกัน!
เป็นถึงราชโอรสของฮ่องเต้ ยังต้องมานั่งรอต่อแถว นี่มันกฎบ้าบออะไรกัน!
อีกอย่างหนึ่ง แถวยาวถึงขนาดนั้น ต่อให้เข้าแถวถึงตะวันตกดินก็ยังไม่ถึงตนเองด้วยซ้ำ!
แล้วเขาจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน!
หลิวเปยร้อนใจยิ่งนัก
“องค์หญิง ทรงตรัสได้ถูกต้องเลย! แต่พวกเราไม่มีทางเลือก…”
หลิวเปยยังมิทันกล่าวจบ จู่ๆ แววตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น
“องค์หญิง หม่อมฉันมีวิธีพ่ะย่ะค่ะ!”
“วิธีอะไรกัน”
ซย่าโหวเสวี่ยมองไปที่หลิวเปยด้วยสายตาตื่นเต้น
“ท่านคอยดูก็แล้วกัน!”
วิธีการของหลิวเปยใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพเป็นที่สุด
เขาเดินทางมาคราวนี้ ฮองเฮาแห่งซีเย่ว์ทรงเกรงว่าพระโอรสจะต้องพบกับความยากลำบาก ดังนั้นจึงมอบตั๋วเงินให้มาด้วยเป็นจำนวนมาก
หลิวเปยน้ำตั๋วเงินไปแลกเป็นเงิน แล้วเสนอเงื่อนไขหากว่าใครยินยอมให้เขาแทรกแทนตำแหน่งของตน เขาก็จะมอบเงินให้ผู้นั้นสิบตำลึง
ไม่นานทุกคนต่างก็ยอมหลีกทางให้ จนขบวนรถม้าของซย่าโหวเสวี่ยได้ต่อแถวอยู่ด้านหน้าสุด
มองดูพวกชาวบ้านที่เมื่อได้เงินแล้วต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ในใจซย่าโหวเสวี่ยแสนจะดูถูกดูแคลน
เฮอะ! พวกคนชั้นต่ำไม่เคยได้เห็นเงิน!
เมื่อครู่ยังจ้องมองข้าตาขวางอยู่เลยมิใช่หรือ!
มาตอนนี้กลับรับเงิน แล้วเปิดทางให้อย่างว่าง่าย!
ซย่าโหวเสวี่ยหารู้ไม่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มารอต่อแถวเพื่อจะได้เห็นหน้าแบบอย่างของตนเองเท่านั้น อีกอย่าง เงินตั้งสิบตำลึงเพียงพอที่จะให้หนึ่งครอบครัวสามชีวิตใช้ชีวิตได้อย่างๆ สบายได้ตั้งครึ่งปีเชียวนะ!
จู่ๆ ก็มีคนโง่เอาเงินมาแจกถึงที่ มีรายได้อย่างง่ายดาย คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่คว้าเอาไว้!
รอคอยอยู่ทั้งบ่าย ในที่สุดก็ถึงคราวซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปย
เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอก อวี้เฟยเยียนรู้ตั้งนานแล้ว
โบราณว่าไม่มีเรื่องร้อนใจคงไม่ถ่อมาที่วัดได้
ซึ่งอวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาลงทุนลงแรงไปมากมายเช่นนี้ เพียงเพื่อที่จะมาพูดคุยกับนางฉันมิตรเท่านั้น
จริงดังที่คาดเอาไว้ เมื่อซย่าโหวเสวี่ยเดินเข้ามาก็เจาะจงจะให้อวี้เฟยเยียนรักษาอาการป่วยให้กับหลิวเปย
เงื่อนไขที่ออกจะเกินไปนี้ ถูกเหล่าหมอยาปฏิเสธทันควัน เพราะกฎแห่งหอคืนชีพมิอาจทำลายได้ แล้วจะมาเปลี่ยนเพราะฐานะของอีกฝ่ายได้อย่างไร!
ในขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยกำลังอับจนหนทางอยู่นั่นเอง จู่ๆ หลิวเปยก็ร้อง ‘โอ้ย’ มือกุมที่ท้องแล้วล้มลงที่พื้น
คราวนี้ ทำเอาซย่าโหวเสวี่ยตกอกตกใจเป็นการใหญ่!
ซึ่งในตอนที่ซย่าโหวเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง จู่ๆ หลิวเปยก็ส่งสายตาบางอย่างให้กับนาง
องค์หญิงไป๋เสวี่ยผู้มิได้พกพาสติปัญญาออกมาจากบ้านในที่สุดก็คิดออก เข้าใจได้ในทันทีว่าหลิวเปยกำลังแกล้งป่วย!
ที่แท้ เขาก็สนใจในตัวอวี้หลัวช่าเช่นกัน!
นี่มันสอดรับกับแผนการของนางยิ่งนัก!
ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งรู้สึกว่าหลิวเปยคือผู้ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยนางโดยแท้!
หลิวเปยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย ซย่าโหวเสวี่ยเห็นดังนั้นก็รีบเข้าช่วยเหลือประกอบฉาก เสี้ยมเขาควายให้ชนกันทันที
“เขาองค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์ พระราชอาคันตุกะของต้าโจวเรา หากว่าเขาเป็นอะไรไปที่หอคืนชีพนี่ละก็ ไม่เพียงแต่ซีเย่ว์จะไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้ ต้าโจวเองก็จะถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้าด้วย”
บรรดาหมอยาจากหอราชาโอสถส่วนใหญ่เป็นศิษย์หนุ่ม ซึ่งใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในหอราชาโอสถเป็นเวลานาน จึงไม่เคยพบกับแผนการชั่วข้างนอกมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาต่อกรคนมากเล่ห์เพทุบายสองคนนี้ได้เลย
แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดต่อไป
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด
ซึ่งในตอนนั้นเอง ที่เสียงร้องหลิวเปยดังมากขึ้น รอจนกระทั่งหมอเริ่มทำการตรวจอาการของเขา แต่ไม่ว่าจะจับตรงไหนเขาก็ร้องโอยร้องเจ็บ ซึ่งด้วยเสียงอันดังของเขา จึงได้ยินไปถึงไหนต่อไหน
“นี่พวกเขามาเพื่อทำลายล้างที่นี่สินะ”
หมอหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวถามศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้าง
“องค์ชายกับองค์หญิงมาก่อความวุ่นวาย เขาทั้งสองเป็นโรคประสาทหรือ”
ถูกหลิวเปยแพร่เชื้อเข้า ตอนนี้ซย่าโหวเสวี่ยก็เริ่มหน้าหนาหน้าทนเหมือนกันแล้ว
“พวกเจ้าหอคืนชีพเหตุใดถึงเห็นคนจะตายแล้วไม่เข้าช่วยเหลือ! อวี้หลัวช่า องค์ชายห้าทรงเจ็บปวดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ออกมาอีก เจ้าที่มันโหดเ**้ยมจริงๆ เลย!”
ซย่าโหวเสวี่ยไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะโจมตีอวี้เฟยเยียนให้หลุดรอดไปแม้เพียงสักครั้ง