จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 108-3 ใต้เท้าซย่าโหว เด็ดขาด เกรียงไกร!
“อ้วก…”
ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหวจนต้องวิ่งถลาออกไปอาเจียนที่ด้านข้าง
สุนัขใหญ่กินคน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
“ทหาร หยิบคันธนูของข้ามา!”
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งดังออกมาจากในรถม้า ตามมาด้วยหญิงสาวที่สวมใส่ชุดสีขาวทั้งชุดเดินออกมาโดยมีคนประคองด้านข้าง
“ข้าจะยิงมันด้วยมือของข้าเอง!”
เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงงามเดินออกมา ฮันจื่อก็ ‘เฮอะ’ ขึ้นมาคำหนึ่ง
จะยิงอย่างไรกัน
ยิงข้าให้ติดกำแพงไปเลย
ลำพังเจ้านะหรือ มีปัญญาทำได้
ฮันจื่อหาได้สนใจไม่ ทว่าหนานกงจื่อหลิงกลับจดจำได้ทันทีว่าธนูในมือของหญิงผู้นั้นคือ ธนูผ่านเมฆา
เป็นไปได้อย่างไร
ธนูผ่านเมฆาตกทอดมาถึงแผ่นหลัวอวี่!
ธนูผ่านเมฆาคือผลงานของช่างหลอมและช่างเหล็ก คือของล้ำค่าประจำตระกูลสุ่ย
เมื่อหลายปีก่อนบ้านตระกูลสุ่ยมีขโมยเข้ามา ธนูผ่านเมฆาสูญหายไป หนานกงจื่อหลิงนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะปรากฎอีกครั้งบนแผ่นดินหลัวอวี่
หากมิใช่เพราะว่าตระกูลสุ่ยและตระกูลหนานกงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นอันมาก และหนานกงจื่อ หลิงจึงมีโอกาสเคยได้เห็นธนูผ่านเมฆาในระยะใกล้มาก่อนละก็ นางก็คงแทบไม่เชื่อสายตาเลยทีเดียว
ในตอนนั้น ฮันจื่อเองก็สัมผัสได้ว่าธนูในมือของนางมีความร้ายกาจอยู่ไม่น้อย
แต่ว่ามันหาได้กลัวไม่!
ให้เจ้าพวกคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือพวกได้เปิดโลกเสียบ้างเถอะ!
“เราจะไม่ออกไปจริงๆ หรือ”
อวี้เฟยเยียนเลิกม่านกั้นรถม้าขึ้นแล้วหันกลับมามองบุรุษข้างกาย
“ไม่ต้องหรอก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเอื้อมมือออกมาพันเส้นผมยาวสลวยของอวี้เฟยเยียนเล่นแล้วกล่าวต่ออีกว่า
“ให้ฮันจื่อสั่งสอนพวกมันบ้างก็ดี! ที่นี่คือต้าโจวไม่ใช่แคว้นเสวี่ย!”
“แคว้นเสวี่ย”
อวี้เฟยเยี่ยมองดูผู้คนด้านนอกด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้
จริงอย่างที่เขาว่า หญิงที่สวมชุดสีขาวนั้นมีความน่าสนใจอยู่บ้าง
“แคว้นเสวี่ยตั้งอยู่ที่ทางเหนือ ห่างจากต้าโจวอยู่มากทีเดียว แต่สองสามปีมานี้เริ่มส่งเครื่องบรรณาการเจริญสัมพันธไมตรีกับต้าโจว ได้ยินว่า ที่พวกเขาเดินทางมาในครั้ง เพื่อต้องการส่งองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น”
ซย่าโหวฉิงเทียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆ ให้อวี้เฟยเยียนฟัง
“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”
เมื่อได้เห็นองค์หญิงองค์นี้แล้ว อวี้เฟยเยียนก็มีความรู้สึกว่าท่าทางนางแลดูเย่อหยิ่ง แต่หน้าก็สะสวยดีอยู่หรอก
เพียงแต่วันนี้มาพบกับฮันจื่อ จึงเกรงว่าจะเจอตอเข้าให้แล้วกระมัง
ไม่รู้ว่าคนที่แคว้นเสวี่ยต้องการแต่งงานด้วยคือใครกัน
ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงจะขาดการอบรมสั่งสอนเป็นแน่!
อยู่ที่ดินแดนถิ่นแคว้นอาณาเขตของต้าโจวแท้ๆ แต่ยังกล้าปฏิบัติต่อประชาชนของต้าโจวอย่างหยาบช้าเช่นนี้ คิดว่าที่นี่เป็นบ้านเมืองของตนเองไปแล้วหรืออย่างไรกัน!
ในตอนนั้นเองอูลู่ลู่ที่ยืนอยู่บนรถม้าเล็งธนูมาที่ฮันจื่อ
ในสายตานาง ยิงธนูสังหารสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ในระยะใกล้เช่นนี้ นางไม่มีทางพลาดเป้าอย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดาย ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับที่นางคิด วินาทีที่ลูกธนูกำลังจะถึงตัวของฮันจื่อนั่นเอง ฮันจื่อก็เอี้ยวศีรษะแล้วคาบลูกธนูนั้นเอาไว้ในปากแทน
“ดี!”
ประชาชนที่ถูกรังแกเมื่อครู่นี้ต่างก็โห่ร้องกึกก้องด้วยความดีใจ
คนบางคนที่เฉลียวฉลาดก็จดจำฮันจื่อขึ้นมาได้ มันได้แก้แค้นแทนชาวบ้านตาดำๆ เช่นนี้พวกเขาย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว!
ตั้งแต่ที่มีฮันจื่อคอยเฝ้าหอคืนชีพก็ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องหอคืนชีพอีกเลย
และฮันจื่อที่หน้าตาท่าทางโหดเ**้ยมน่าหวาดกลัวจึงเป็นทั้งสัตว์เลี้ยงของหลินเจียงอ๋องทั้งยังเป็นมูลเหตุที่ทำให้ชาวบ้านมักจะคอยแย่งกันไปสังเกตการณ์ที่หอคืนชีพมาแล้ว
ถึงแม้ว่าในตอนแรกทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นี่คล้ายคลึงกับเสือก็ไม่ปานแลดูน่าหวาดกลัว แต่เมื่อมองนานไป มันก็ไม่ได้ทำร้ายผู้คนแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงมีความกล้ามากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่แลดูจะชื่นชอบหยอกล้อเล่นกับฮันจื่ออยู่เสมอ
ซึ่งฮันจื่อเองก็ยินดียิ่งนัก มันมักจะนอนขี้เกียจอยู่บนพื้นเพื่อให้เด็กๆ ลูบคลำขนของมัน
เพราะความ ใกล้ชิดเป็นกันเองกับชาวบ้าน ของฮันจื่อ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีๆ กับซย่าโหวฉิงเทียนมากยิ่งขึ้น บางทีหลินเจียงอ๋องอาจจะเหมือนกันเจ้าสุนัขดำตัวยักษ์นี้ ภายนอกอาจแลดูน่าหวาดกลัว แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคนดีก็เป็นได้!
มาตอนนี้ ฮันจื่อออกหน้าสั่งสอนชาวเสวี่ยพวกนี้ ทำให้ประชาชนแอบปรบมือชื่นชมอยู่ในใจ
ได้ยินข่าวว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาแล้ว อีกทั้งจู่ๆ ฮันจื่อก็มาปรากฏตัวที่ประตูเมืองอีก ไม่แน่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะอยู่ที่นี่ด้วยก็เป็นได้
“เป็นไปได้อย่างไร!”
อูลู่ลู่มักจะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าคราวนี้แม้แต่สุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้ในรัศมีไม่เกินห้าเมตรด้วยซ้ำนางกลับยิงไม่โดน น่าโมโหจริงๆ เลย!
“เอาลูกธนูมาให้ข้าอีก!”
อูลู่ลู่ง้างคันธนูอีกครั้ง แล้วเล็งไปที่ฮันจื่อ
เพียงว่าคราวนี้กลับมิได้ราบรื่นเหมือนเมื่อสักครู่
เพราะซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ในรถม้าเห็นทีจะทนรอต่อไปไม่ไหว จึงออกคำสั่งเสียงเรียบ
“ฮันจื่อ มัวรีๆ รอๆ อะไรกัน”
เสียงนั้นดังกังวานชัดเจน ราวกับแว่วมาจากบนฟากฟ้าก็ไม่ปาน ทำเอาอูลู่ลู่ที่ได้ยินสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
เสียงไพเราะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ทว่า อูลู่ลู่ไม่มีเวลาจะมาไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้เพราะฮันจื่อกางกรงเล็บกระโจนเข้าหานางเสียแล้ว
“ไสหัวไป! ข้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ย!”
อูลู่ลู่นึกไม่ถึงว่าสุนัขตัวยักษ์จะกล้าทำร้ายคนต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์เมื่อครู่ที่มันฆ่าทหารแห่งแคว้นเสวี่ยยี่สิบกว่าคน แต่กลับไม่มีใครมาจัดการเลยสักคน ไร้กฎเกณฑ์เกินไปแล้ว
องค์หญิงแล้วอย่างไรเล่า แน่นักหรือ
ฮันจื่อหาได้สนใจอูลู่ลู่ไม่ มันกระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วยักย้ายส่ายก้นกระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้น
เอี๊ยด
ฮันจื่อกระโดดโลดเต้นเพียงสองสามครั้ง เสียงท่อนไม้กำลังแตกหักออกจากกันก็ดังขึ้น เพียงพริบตานั้นรถม้าทั้งคันก็แตกกระจาย
‘ปึ่ง’ กลายเป็นชิ้นๆ
แม้กระทั่งอูลู่ลู่ที่อยู่บนรถม้าก็ล้มตกลงมาที่พื้น เนื้อตัวมอมแมมสะบักสะบอมไม่น้อย
“ที่นี่คือแคว้นต้าโจว หากคราวหน้าเจ้าไม่ดูตาม้าตาเรือ ไร้ซึ่งมารยาทอีกล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย! ชีวิตประชาชนชาวต้าโจวสูงค่ากว่าศีรษะเจ้ามากนัก!”
เสียงซย่าโหวฉิงเทียนดังแว่วมา ประชาชนที่ห้อมล้อมอยู่ต่างก็จดจำได้อย่างชัดเจน จึงแน่ใจว่าหลินเจียงอ๋องอยู่ที่นี่จริงๆ ทำให้ทุกคนอดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“ให้เท้าซย่าโหวเป็นคนดีจริงๆ!”
“ใช่น่ะสิ! ใต้เท้าซย่าโหวช่วยพวกเราระบายความอัปยศนี้!”
“โฮ่ง…บรู๊ว…”
ได้ยินประชาชนสรรเสริญชื่นชมซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“ไปเถอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกวักมือเรียก ฮันจื่อจึงรีบสิ่งเข้ามาหา รถม้าสองคันกับสุนัขหนึ่งตัวเดินทางผ่านหน้าอูลู่ลู่ออกไปอย่างสง่างาม
“เขาเป็นใครกัน”
อูลู่ลู่คลานขึ้นมา ผมเฝ้ายุ่งเหยิงชุดสีขาวสะอาดบัดนี้คลุกไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นสีเทาจำเค้าเดิมไม่ได้