ตอนที่ 126-4 คนเลว เอามันมาลองมือเสียเลย!
“ข้ากลับมิรู้สึกว่านางทำผิด——”
เสิ่นถูเลี่ยบิดเอวอย่างเกียจคร้าน
“หรือว่าคุณหนูสุ่ยจูเอ๋อร์ชอบที่จะถูกชายข่มเหง? หรือว่า ท่านและหลิวติงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน?”
“เจ้า… “
สุ่ยจูเอ๋อร์ถูกเสิ่นถูเลี่ยดักคอจนพูดไม่ออก
“ดีนี่ เสิ่นถูเลี่ย!”
“หรือท่านไม่คิดว่าในฐานะที่เป็นคนของตระกูลทั้งแปดเหมือนกัน เราไม่ควรที่จะมีศัตรูคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ?”
“พูดได้ดี!” อวี้เฟยเยียนประทับใจในตัวเสิ่นถูเลี่ยไม่น้อย
ฟังจากบทสนทนาที่พวกเขาพูดคุยกันแล้ว เสิ่นถูเลี่ยเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลทั้งแปดเช่นกัน เห็นทีว่าในบรรดาตระกูลทั้งแปดก็มีคนดีปะปนอยู่บ้างเหมือนกันนี่นา!
“ท่านเป็นผู้มีความชอบธรรมคนหนึ่ง!”
“ขอบคุณ!” เสิ่นถูเลี่ยยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวสะอาด ใบหน้าของเขาดูดี รับกับรอยยิ้มที่เปิดเผยจริงใจ ยิ่งให้ความรู้สึกเพื่อนบ้านผู้เป็นพี่ชายที่แสนดีมากขึ้นไปอีก
“แมวน้อย——” ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้ที่ไม่ชอบชายรูปงามเอาเสียเลย
เพราะเขารู้ดีว่าแมวน้อยเป็นพวกชื่นชมชายหนุ่มรูปงามนะสิ ดังนั้นตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าเสิ่นถูเลี่ยน่ารำคาญอย่างที่สุด!
ฟันเขี้ยวขาวๆ ของเขาที่โผล่ออกมา จะให้ออกมารับแสงอาทิตย์หรืออย่างไรกัน?
“ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับข้าที่สุด! ข้าก็ชอบเจ้าที่สุดเช่นกัน!”
รู้สึกได้ถึงอารมณ์หึงหวงของคนข้างกายที่ปะทุขึ้นมา อวี้เฟยเยียนจึงจับมือของเขาแกว่งไปมาออดอ้อนอย่างเอาใจ
ต้องรับมือกับชายที่อาจจะหึงหวงได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นเขา นางจึงต้องแสดงออกตลอดเวลาว่า ‘ข้าเป็นของท่าน ข้าชอบท่าน ข้ารักท่านเช่นกัน’
เช่นนี้จึงจะสามารถสยบอารมณ์หึงหวงในใจของเขาลงได้
“เด็กดี!” ซย่าโหวฉิงเทียนโน้มหน้าลงมา จุมพิตที่ริมฝีปากของอวี้เฟยเยียน
“หน้าไม่อาย——”
สุ่ยจูเอ๋อร์เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเข้า ก็อดที่จะด่าทอพวกเขาขึ้นมาไม่ได้
ต่อให้ในหมู่ชาวบ้านของอู่โยวจะเปิดกว้างเพียงใด แต่การที่กอดจูบกันต่อริมถนนหนทางเช่นนี้ ในสายตาของสุ่ยจูเอ๋อร์แล้วกลับเป็นการกระทำที่เสื่อมสียยิ่งนัก
วินาทีนั้น เสียงลมกระโชกแรงดังแว่วขึ้น สุ่ยจูเอ๋อร์ถูกฝ่ามือฟาดเข้าใส่จนร่างกระเด็นออกไปราวกับว่าวขาดลอยลมก็ไม่ปาน กระแทกกับกำแพงอย่างจัง
ปึก!
เมื่อเห็นสุ่ยจูเอ๋อร์ตกลงมาใบหน้าฟาดกับพื้นอย่างแรงอีก เสิ่นถูเลี่ยก็ถึงกับปาดเหงื่อทีเดียว
สุ่ยจูเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับรูปโฉมของนางยิ่งนัก คราวนี้พอดี ถูกเขาสั่งสอนจนหน้าแบนแต๋! สมน้ำหน้าจริงๆ !
“ศิษย์น้อง!”
คราวนี้เอง ชายทั้งสองคนเพิ่งจะได้สติ จึงรีบเข้าไปประคองสุ่ยจูเอ๋อร์ขึ้นมาทันที
ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของสุ่ยของจูเอ๋อร์เข้า เสิ่นถูเลี่ยก็หัวเราะจนแทบเป็นแทบตายทีเดียว
ตอนนี้นางควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นเสวี่ย(เสวี่ยแปลว่า เลือด)จูเอ๋อร์เสียมากกว่านะ!
นี่ยังนับว่าเป็นหน้าคนอีกหรือ?
ควรจะเรียกว่าหน้ากระทะเสียมากว่านะ เรียบแบนทีเดียว!
“ใบหน้าของข้า… “
สุ่ยจูเอ๋อร์เจ็บที่บริเวณจมูกเป็นอย่างมาก นางรู้สึกราวกับว่าดั้งจมูกของตนหักทั้งหมด
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ทำให้นางโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่านั้นอยู่หลังจากนี้ต่างหาก
“ยัยขี้เหร่!”
ซย่าโหวฉิงเทียนสบถขึ้นมาคำหนึ่ง แววตาของเขาฉายแววรำคาญออกมา
“แมวน้อย ไปเถอะ——”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
สุ่ยจูเอ๋อร์กระทืบเท้าด้วยความโกรธเคือง
แม้ว่านางจะไม่ได้มีชื่อเสียงว่างามเท่ากับสุยเยว์เอ๋อร์ แต่ก็ติดอันดับต้นๆ ว่าเป็นหนึ่งในสิบสาวงาม
บัดนี้กลับถูกชายผู้นี้ทำร้ายจนเสียโฉม แล้วจะให้นางยินยอมได้อย่างไรกัน
ใบหน้านี้คือแหล่งทำเงินของนางเชียวนะ!
“ศิษย์พี่ ฆ่าพวกมันให้หมด!” สุ่ยจูเอ๋อร์ถูกสั่งสอนจนใบหน้าบวมปูดเขียวช้ำ ความงามที่มีมาแต่เดิมแทบไม่เหลือเค้า แต่สิ่งที่ได้มาแทนที่กลับเป็นใบหน้าบวมปูดราวกับหมูก็ไม่ปาน
จู่ๆ นางก็ออกคำสั่ง ทำเอาผู้ชายสองคนถึงกับตกใจจนสะดุ้ง
ฝีมือของของชายชุดสีม่วงกับหญิงสาวชุดสีชมพู พวกเขาได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเองมาแล้วเมื่อครู่
‘หากจะให้สู้กับผู้ชาย? พวกเขาก็สู้ไม่ได้’
‘จะให้สู้กับผู้หญิง? ก็กลัวพิษร้ายในมือของนางนะสิ!’
“ศิษย์น้อง ให้แล้วกันไปเถอะ!” ชายคนแรกเอ่ยขึ้น
“พวกขี้ขลาด! พวกเจ้ามันขี้ขลาด! “
สุ่ยจูเอ๋อร์กระทือเท้า เหลือบตามองเสิ่นถูเลี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“เสิ่นถูเลี่ย นี่เจ้าจะมองดูข้าถูกรังแกเช่นนี้ได้หรือ?”
ประโยคนี้ของสุ่ยจูเอ๋อร์ ทำให้อาหูแทบจะอาเจียนออกมา
“สุ่ยจูเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เที่ยวพูดพาดพิงมั่วซั่วนะ! คุณชายของเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสักนิด! อย่ามามั่วลากคุณชายของข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสิ!”
อาหูขัดหูขัดตาอย่างที่สุดกับการเสแสร้งแกล้งทำของสุ่ยจูเอ๋อร์
“เจ้ายังมีเวลามาเที่ยวหาให้ใครต่อใครออกหน้าให้กับเจ้าได้ ไม่สู้เอาเวลาไปดูหน้าของตนเองจะดีกว่านะ!”
เสิ่นถูเลี่ยยิ้มเยือกเย็น
“หากยังไม่ไปรักษาอีกละก็ เกรงว่าเจ้าอาจจะต้องเสียโฉมก็เป็นได้ แล้วสิบอันดับสาวงามในปีนี้เกรงว่าจะไม่มีชื่อของคุณหนูสุ่ยจูเอ๋อร์เสียแล้วกระมัง!”
เสิ่นถูเลี่ยไม่พูดจา แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาโง่นะ
ดูสิ เพียงแค่ประโยคเดียวของเขาก็พูดจี้ใจดำของนางเข้าให้ เท่านี้ก็ทำให้สุ่ยจูเอ๋อร์หวาดหวั่นสะพรึงกลัวจนมิกล้าเข้าไปหาเรื่องซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนอีกต่อไป นางวิ่งพรวดพราดควานหากระจกทันที
“หมดสนุกเลย!”
ที่ด้านหลังไม่มีใครติดตามมาอีก อวี้เฟยเยียนรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่หมดสนุกไปในทันที
อวี้เฟยเยียนอยากที่จะให้สุ่ยจูเอ๋อร์ไม่ดูตาม้าตาเรือตามาหาเรื่อง นางจะได้แกล้งเสียให้เข็ด!
“คันไม้คันมือ?”
ซย่าโหวฉิงเทียนนวดขมับให้กับอวี้เฟยเยียน
“โอกาสหน้ายังมีน่า!”
“ก็ได้!” อวี้เฟยเยียนกอดแขนของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ แล้วอิงแอบแนบชิดกับเขาทั้งเนื้อทั้งตัว
“ท่านพูดแล้วนะ เราสองคนเดินทางไปที่สกุลหนานกงจะต้องได้ออกแรงเต็มที่สักรอบ! ในเมื่อพวกเรามาถึงที่เมืองอู๋โยวนี่ทั้งที ทางเลือกที่หนึ่งก็คือไม่ต้องลงมือ หรือไม่ก็ทางเลือกที่สอง ลงมือจัดการทำการใหญ่สักครั้ง ใช่ไหมละ!”
คำพูดที่แสนเผด็จการและมั่นอกมั่นใจในฝีมือของตนเองของอวี้เฟยเยียน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนบันเทิงใจไม่น้อย เดิมทีแล้วเขาคิดที่จะพาอวี้เฟยเยียนไปอยู่ในที่ปลอดภัย แล้วตนเองบุกเข้าไปในสกุลหนานกงเพียงลำพัง
แต่เห็นทีตอนนี้ เขาคงจะสลัดเจ้าจอมยุ่งที่ตามติดนี่ไม่ออกเสียแล้ว!
“ท่านทั้งสอง!” ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเดินออกมาเพียงไม่นาน เสิ่นถูกเลี่ยก็รีบติดตามออกมา
“ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่!”
“มีธุระ?” ซย่าโหวฉิงเทียนเหลือบสายตามองขึ้นมอง
“ข้า เสิ่นถูเลี่ย ชื่นชมในวิถีทางของท่านทั้งสองยิ่งนัก จึงอยากคบหาท่านทั้งสองเป็นสหาย”
เสิ่นถูเลี่ยอมยิ้ม คนสองคนนี้ช่างเข้ากับนิสัยของเขาเสียจริงๆ
เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ เสิ่นถูเลี่ยจึงตั้งใจอธิบายฐานะของหลิวติงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนได้ฟังเป็นิเศษ
“คุณชายสามแห่งสกุลหลิว ถึงแม้จะเป็นพวกไม่เอาไหน บุ๋นก็ไม่ดีบู๊ก็ไม่ได้เรื่อง แต่เขาคือหลานชายที่ประมุขแห่งสกุลหลิวรักใคร่มากที่สุด”
ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนสังหารหลิวติง คิดว่าข่าวนี้จะต้องไปถึงหูสกุลหลิวภายในเวลาอันรวดเร็วเป็นแน่
“ท่านทั้งสองระวังตัวด้วย!”
“ขอบคุณ!”
อวี้เฟยเยี่ยนยื่นหน้าออกมาเอ่ยว่า
“ไม่ว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน พวกเราก็พร้อมจะรับมือเสมอ พวกเราไม่เคยหาเรื่องใครก่อน หากว่าพวกเขามีตาหามีแววไม่ มาหาเรื่อพวกเราละก็ ข้าและสามีของข้าก็ไม่เคยกลัวใครเช่นกัน!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนตรงกับสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังคิดอยู่ในใจ
สกุลหลิว?
เชื่อแน่ว่าต้องมีคนอยากจะให้พวกเขามอดม้วยทั้งตระกูลอยู่แล้ว
“มาหาเรื่อง ก็ต้องฆ่า!” คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียนกระชับได้ใจความ
“พวกท่านนี่…”
คราวนี้ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยจริงๆ
ไม่ว่าจะอย่างไรอย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็เป็นถึงลูกหลานของตระกูลทั้งแปด แต่ทั้งสองคนกลับมีท่าทีไม่ยี่หระเช่นนี้ เป็นเจ้าวัวน้อยไม่รู้ความร้ายกาจของราสีห์หรือว่าบู่มบ่ามมุทะลุกันแน่นะ?
แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เสิ่นถูเลี่ยถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้กำลังพูดโกหก
หากว่าสกุลหลิวตามมาหาเรื่องคู่รักคู่นี้จริง ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถเฉกเช่นหลิวติงก็เป็นได้