จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 136-3 สุ่ยจูเอ๋อร์ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?
ตี้อู่เฮ่ออี้เกาหัวเล็กน้อยด้วยความเคอะเขิน
“ข้าเป็นพวกขี้หลงขี้ลืมเส้นทาง เสวี่ยเองก็มาที่เมืองอู๋โยวนี่เป็นครั้งแรก พวกเราจึงไม่รู้ว่าบ้านสกุลหนานกงไปทางไหน พวกท่านทั้งสองมีใครรู้บ้างไหมว่าสกุลหนานกงไปอย่างไร?”
ตี้อู่เฮ่ออี้ไม่มีปิดบังแม้แต่น้อยในเรื่องการที่ตนเองมักจดจำเส้นทางอะไรไม่ได้เลย
แต่ว่า ก็เป็นเพราะเขาจดจำเส้นทางไม่ได้นี่เอง ถึงได้จับพลัดจับผลูจนมาเจอกับสุ่ยเยว่เอ๋อร์และอวี้ซิงฉงได้ ดังนั้นคงจะเรียกว่ามีวาสนาต่อกันกระมัง!
“ข้ารู้!” ในตอนนั้นเอง อวี้ซิงฉงก็เอ่ยปากขึ้นมาด้วยตนเอง
เมื่อก่อนตอนที่เรื่องระหว่างเขาและสุ่ยเยว่เอ๋อร์ยังไม่ถูกเปิดเผยนั้น สุ่ยเจ๋อซีนิยมชมชอบและให้ความสำคัญกับเขายิ่งนักและสุ่ยเจ๋อซีเคยก็เดินทางไปที่สกุลหนานกง โดยผู้ที่ติดตามเขาไปด้วยในตอนนั้นก็คืออวี้ซิงฉง
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย!” เมื่อมีคนนำทาง เชียนเย่เสวี่ยก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“อวี้เฟยเยียนอยู่ที่นั่น พวกเราไปที่นั่น จะต้องได้พบกับนางอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินว่าน้องสาวของตนอยู่ที่สกุลหนานกง อวี้ซิงฉงก็ยิ่งมีฮึกเหิมมีกำลัง
‘เยียนเอ๋อร์! น้องพี่!’
‘เขาไม่ได้พบนางมาเป็นเวลานาน!’
อวี้ซิงฉงยังจดจำได้เป็นอย่างดีครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับอวี้เฟยเยียนนั้น นางมีอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น ยังเป็นแม่นางน้อยอยู่เลย
ต่อมาหลังจากที่สกุลอวี้กำชัยชนะกลับมา อวี้เฟยเยียนก็หายสาบสูญไป ในตอนนั้นอวี้ซิงฉงร้อนใจเป็นอย่างมาก เที่ยวไปตามหานางทางตามสถานที่ต่างๆทุกที่ๆคิดว่าจะเจอ แต่ก็หาอวี้เฟยเยียนไม่พบ
หากมิใช่ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้เขานำทัพออกศึกละก็ เขาก็คงจะตามหานางต่อไป
ตอนนี้ น้องสาวตัวน้อยที่เรียบร้อยน่ารักไม่เพียงโตเป็นสาว ทั้งยังแต่งงานแล้วอีกด้วย นั่นทำให้อวี้ซิงฉงพึงระลึกได้ว่าเวลาช่างล่วงเลยไปรวดเร็วเหลือเกิน จนแทบอยากจะพบหน้าน้องสาวเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
สุ่ยเยว่เอ๋อร์เองก็ได้รู้เรื่องที่อวี้เฟยเยียนเดินทางมาที่อู๋โยวจากอวี้ซิงฉง ตอนที่เขาอยู่กับนางก็มักจะพูดถึงราวเกี่ยวกับน้องสาวของเขาคนนี้ให้นางได้ฟังหลายต่อหลายครั้ง ทำให้สุ่ยเยว่เอ๋อร์รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวน้องสาวของเขายิ่งนัก
เพียงแต่ว่า…อีกไม่นานก็จะได้พบกับครอบครัวของอวี้ซิงฉงแล้ว นางยังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ชอบตนเองขึ้นมา
“เยว่เอ๋อร์——” อวี้ซิงฉงหาได้สังเกตเห็นในเรื่องของความขวยเขินและความกังวลใจในแบบของลูกผู้หญิงไม่ เขากลับจับมือของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
“เยียนเอ๋อร์เป็นเด็กที่นิสัยดีมากคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า พวกเจ้าจะต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน!”
ได้รับกำลังใจจากอวี้ซิงฉง ในที่สุดสุ่ยเยว่เอ๋อร์ก็วางใจ
นางรอคอยที่จะได้พบกับอวี้เฟยเยียนยิ่งนัก!
หลังจากนั้น คนทั้งสี่ก็เปลี่ยนชุดแต่งกาย ซื้อรถม้า เดินทางมุ่งหน้าเมืองเฮ่อ
คืนนั้น ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยไม่ได้กลับมา ทำให้สุ่ยเจียงร้อนใจเป็นอย่างมาก
‘พวกเขาคงจะไม่ได้พบกับคนร้ายเข้าใช่ไหม?’
‘หรือว่าหลงทาง?’
อย่างแรกไม่น่าเป็นไปได้ ที่นี่คือถิ่นของสกุลสุ่ย ใครจะกล้าลงมือกับคนของสกุลสุ่ย! สำหรับอย่างที่สอง มันก็ไม่น่าเป็นไปได้อีก! เพราะคนบังคับม้าไม่น่าจะหลงทางได้!
‘หรือว่าพวกเขาเก็บยาจนเย็นย่ำ ดังนั้นคืนนี้จึงพักค้างคืนที่บนเขา?’
รอจนกระทั่งถึงเช้าวันที่สอง ในขณะที่สุ่ยเจียงกำลังสั่งการส่งคนออกตามหาตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยนั่นเอง สาวใช้ประจำตัวของสุ่ยจูเอ๋อร์ก็เข้ามา บอกว่าคุณหนูสามไม่ได้กลับมาทั้งคืน
คราวนี้ทำเอาสุ่ยเจียงร้อนใจจนแทบเต้น รีบส่งคนออกตามหาสุ่ยจูเอ๋อร์ทันที
สุ่ยเจ๋อซีลงทุนลงแรงไปกับลูกสาวของเขาไปมากมาย หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสุ่ยจูเอ๋อร์ละก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!
กระทั่งช่วงเที่ยง จึงมีคนหิ้วคนบังคับรถม้าที่ไปส่งตี้อู่เฮ่ออี้เมื่อวานกลับมา
หลังจากที่คนผู้นั้นได้สติ สุ่ยเจียงก็เริ่มถามคำถาม แต่คนบังคับรถม้าผู้นั้นกลับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ทำให้สุ่ยเจียงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ ตกเย็นคนที่ส่งไปตามหาสุ่ยจูเอ๋อร์กลับมารายงานมาว่า ได้ตามหาไปทั่วทั้งเมืองลู่และพื้นที่โดยรอบแล้ว แต่ก็ตามหาคุณหนูสามไม่เจอ
ในตอนนั้นเอง ชิงถิงรีบร้อนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหนูรองเป็นบ้าไปแล้วเจ้าค่ะ!”
สำหรับสุ่ยเจียงแล้ว การที่ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว นี่คุณหนูสามยังมาหายตัวไปอีก ทำเอาเขาปวดสมองจนแทบอยากจะดิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอด
และในตอนนี้ สุ่ยเยว่เอ๋อร์ดันมาเกิดเรื่องขึ้นอีก นี่มันความวัวยังไม่ทันหายความความก็เข้ามาแทรกของจริงเลยทีเดียวเชียว!
เมื่อสุ่ยเจียงมาถึงเรือนสุ่ยเยว่ก็เห็น สุ่ยเยว่เอ๋อร์ นอนอยู่บนเตียงปากก็เอาแต่ร้องตะโกนว่า ‘หิว’ และไม่ว่าจะหยิบอะไรได้ก็จะคว้ามันเข้าปากทันที
ผ้าห่มผืนนุ่มถูกนางฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วสุ่ยเยว่เอ๋อร์ก็ดึงนุ่นที่ยัดอยู่ด้านในออกมายัดเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
ภาพเช่นนั้น ยิ่งกว่าวิปลาสเสียอีก!
“หาสำรับมาให้คุณหนูรองสิ!”
สุ่ยเจียงปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก รีบสั่งให้คนยกสำรับมาให้กับ ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ ทันที
ผลก็คือ นางรีบคว้าซาลาเปายัดเข้าปากราวกับกลัวจะมีคนแย่งตนกินอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูรองเป็นอะไรไป? เจ้าดูแลคุณหนูรองอย่างไรกัน?”
สุ่ยเจียงจ้องมองชิงถิงที่อยู่ด้านด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“บ่าวก็ไม่รู้เหมือกันว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ! เมื่อคืนนี้หลังจากที่ท่านหมอเหอกลับไปแล้ว คุณหนูรองก็เอาแต่นอนหลับ จนกระทั่งตื่นขึ้นมาในวันนี้ตอนเที่ยง หลังจากที่ตื่นมาก็เอาแต่ร้องตะโกนว่าหิว!”
ชิงถิงดวงตาแดงก่ำ จมูกน้อยๆสะอึกสะอื้นฟึดฟัด รู้สึกอัดอั้นอย่างที่สุด
เมื่อเห็นกับตาว่า ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ กินซาลาเปาลูกเล็กๆเข้าไปกว่ายี่สิบลูก สุ่ยเจียงก็รีบเข้าไปคว้าข้อมือของนางเอาไว้
“คุณหนูรอง ท่านรู้ไหมว่าข้าน้อยเป็นใคร? คุณหนูมองดูข้าน้อยเร็วเข้า!”
“เอามาให้ข้ากิน ข้าจะกิน——”
เมื่อไม่ได้กิน สุ่ยเยว่เอ๋อร์จึงคว้ามือของสุ่ยเจียงเข้าปากแทน นางกัดมันเข้าไปอย่างแรง
“อ๊าก——” สุ่ยเจียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คิดจะชักมือกลับ แต่ใครจะคาดคิดว่า ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล เนื้อที่กัดเข้าไปแล้วจะกัดไม่ปล่อย
เพื่อแก้ไขมิให้มือของตนเองถูก ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ กัดจนขาด สุ่ยเจียงจึงได้แต่บีบคางของสุ่ยเว่เอ๋อร์ เพื่อบังคับให้นางปล่อยมือของตน
เมื่อชักมือกลับมาได้ มือของสุ่ยเจียงก็เต็มไปด้วยรอยฟันกัดปรากฏขึ้นมาเป็นแผงชัดเจน
‘ไม่ถูกสิ ไม่ถูกต้อง!’
สุ่ยเจียงข่มความเจ็บปวดที่มือของตนเอาไว้ แล้วมองไปที่ สุ่ยเยว่เอ๋อร์ เมื่อครู่ตอนที่เขาบีบคางของคุณหนูนั้น พบว่ามีบางอย่างแปลกๆ
รอจนกระทั่งสุ่ยเจียงควบคุม ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ เอาไว้ได้แล้วนั่นแหละ เขาจึงจับใบหน้าของนางเอียงไปด้านหนึ่งแล้วมองดูที่กรามของนางให้ละเอียดอีกครั้ง และนั่นทำให้สุ่ยเจียงต้องตกตะลึง
‘นางไม่ใช่สุ่ยเยว่เอ๋อร์!’
หญิงผู้นี้มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับแป้งเปียกเคลือบทับเอาไว้บนใบหน้าอีกชั้นหนึ่ง ดูเหมือนกับหน้ากากหนังมนุษย์!
สุ่ยเจียงไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บปวดที่มืออีกแล้ว เขาลอกแผ่นแป้งเปียกที่เคลือบเอาไว้ออกอย่างระมัดระวัง และเมื่อได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของ ‘สุ่ยเยว่เอ๋อร์’ ทำเอาสุ่ยเจียงถึงกับอึ้งกิมกี่
คนๆนี้คือสุ่ยเยว่เอ๋อร์ที่ไหนกัน นางคือสุ่ยจูเอ๋อร์!
‘เพราะอะไรสุ่ยเยว่เอ๋อร์ถึงได้กลายเป็นสุ่ยจูเอ๋อร์? เช่นนั้นสุ่ยจูเอ๋อร์ที่เขาเห็นเมื่อวานนี้คือใครกัน? หรือว่าคือสุ่ยเยว่เอ๋อร์?’
สุ่ยเจียงเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ
“คุณหนูสาม คุณหนูรองไปไหนกัน? แล้วเหตุใดคุณหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
สุ่ยเจียงคิดว่าจะสามารถหาคำตอบได้จากปากของสุ่ยจูเอ๋อร์ ใครจะคาดคิดว่า สุ่ยจูเอ๋อร์นอกเสียจากต้องการกินแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องอื่นใดอีกทั้งสิ้น
นางราวกับผีเร่รอนที่หิวโหยตายอดตายอยากมานาน คว้าอะไรได้ก็จะกินสิ่งนั้น
เรื่องนี้ สุ่ยเจียงถึงกับจนปัญญา ทำได้เพียงหาของกินมาให้กับสุ่ยจูเอ๋อร์เท่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็เชิญหมอมาเพื่อรักษาจัดยายาให้นางหายจากอาการอยากกิน เพราะหากว่าสุ่ยจูเอ๋อร์ยังคงกินเช่นนี้ต่อไป กระเพาะของนางจะต้องแตกตายแน่
“อาการป่วยของคุณหนูสาม ข้าน้อยไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!”
หลังจากหมอที่เชิญมาได้ตรวจอาการของสุ่ยจูเอ๋อร์แล้ว ก็ถึงกับส่ายหน้าด้วยความจนใจ
“ข้าน้อยพยายามสุดความสามารถแล้ว!”
ในตอนนั้นเอง ก็เกิดเสียง
ปูด——” ยาวดังขึ้น
หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็อบอวนได้วยกลิ่นเหม็นชวนอาเจียน
“นี่กลิ่นอะไร?”
สุ่ยเจียงจับปลายจมูก เหตุเขารู้สึกราวกับได้กลิ่นอุจจาระ?