อวี้เฟยเยียนกลับไปถึงห้อง ก็ถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นทันที
“หลิวเซิ้งเป็นอย่างไรบ้าง?” ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตที่กลางหน้านวลของอวี้เฟยเยียน เส้นผมสีเงินของเขายาวระกับพื้น
“สภาพจิตใจของเขาดีมาก แต่ดวงตายังต้องอาศัยเวลาอีกสักระยะหนึ่งจึงจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้——”
อวี้เฟยเยียนเอนซบซย่าโหวฉิงเทียน นางพลิกมือออกไปกอดเขาตอบ
“ฉิงเทียน ต่อไปจะมีศัตรูคอยมาเรื่องถึงที่มากขึ้นเรื่อยๆใช่หรือไม่? พวกเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น? วรยุทธ์สูงขึ้นไปเรื่อยๆใช่ไหม?”
ตอนนี้อวี้เฟยเยียนค้นพบว่าอู๋โยวและหลัวอวี่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่นี่ใช้กำลังในการพูดคุย!
ไม่ว่าจะถูกหรือผิด มีกำลังเท่านั้นจึงจะมีสิทธิเอ่ยปาก
ผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งกว่าสังหารผู้ที่มีวรยุทธ์อ่อนแอกว่าอย่างง่ายดายราวกับมนุษย์เหยียบมดตายตัวหนึ่ง
ชีวิตคน ในสายตาของผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ…
“เจ้าไม่ชอบที่นี่?” ซย่าโหวฉิงเทียนลูบหลังอวี้เฟยเยียนเบาๆ
“ก็ไม่ถึงกับว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย! ข้าเพียงแต่คิดถึงท่านปู่ ลุงสาม ยังมีอฝ่าบาท!” เมื่ออวี้เฟยเยียนได้ฟังเสียงหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนเต้น หัวใจของนางก็ค่อยๆสงบลง
“พี่ก็คิดถึงพวกเขา——” ซย่าโหวฉิงเทียนยกอวี้เฟยเยียนขึ้นมาให้นางนั่งลงบนตัก
“รอให้มีเวลา พวกเรากลับไปเยี่ยมพวกเขากัน!”
“ดี!” เมื่อได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวเช่นนั้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เผยรอยยิ้มออกมา
นางไม่ใช่นางปีศาจที่ชอบฆ่าคน ไม่ได้ชื่นชอบที่จะต้องฆ่าคนทุกวัน แต่ก็จะไม่ให้ใครมารังแก หรือเหยียบย่ำนางได้!
“แมวน้อย——” ซย่าโหวฉิงเทียนไล้นิ้วมือของเขาไปตามริมฝีปากของนางแผ่วเบา
“หากต้องการหลีกหนีวุ่นวายเหล่านี้ให้จงได้ มีเพียงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ แล้วค่อยสลัดทุกคนออกไป วรยุทธ์ที่สูงส่งจะสามารถทิ้งห่างทุกคนไปไกลจนไม่เห็นฝุ่น ทำให้พวกเขาได้แต่หมอบราบคาบแก้วยอมสยบอยู่แทบเท้า เคารพยำเกรงเจ้า เช่นนี้แล้วก้จะไม่มีใครกล้ามาท้าทายเจ้าอีก!”
“และหนทางที่นำไปสู่ผู้ยิ่งใหญ่นั่น มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าและกลิ่นคาวเลือดได้”
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าการใช้ชีวิตในที่เจ้าจากมาจะมีความเสมอภาค เป็นธรรมถึงเพียงไหน แต่ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้าก็ควรที่จะปรับตัวให้เข้ากับกฎแห่งการดำรงอยู่ของที่นี่ให้ได้”
แววตาของซย่าโหวฉิงเทียนลึกซึ้ง มันเจือเอาไว้ด้วยอารมณ์ที่กำลังหวั่นไหวเล็กน้อย
‘ไอ้พวกสมควรตายพวกนั้น ทำให้แมวน้อยของข้าต้องไม่สบายใจ น่าโมโหยิ่งนัก…’
เดิมที เขาคิดที่จะปกป้องโอบอุ้มแมวน้อยเอาไว้ ให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ปราศจากการใช้กำลังและการนองเลือดก็เพียงพอ
เพียงแต่ ในชีวิตจริง ความจริงกับความฝันมักตรงข้ามกันเสมอ
เห็นทีว่าจะเป็นตัวเขาเองที่ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ!
เขาจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ จึงจะสามารถค้ำแผ่นฟ้าปกป้องแมวน้อย มอบโลกที่สงบสุขให้กับนาง ให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขปราศจากความทุกข์ ความวิตกกังวลใดๆ!
“ข้ารู้!”
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนปลอบโยนตนเอง อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มให้หวานหยดให้กับเขา
“ข้าเพียงแต่ไม่ชอบกลิ่นคาวเลือดที่ชวนสะอิดสะเอียนไปทั้งร่างเช่นนี้ เหม็นจะตายอยู่แล้ว! เจ้าลองดมดูสิ…”
อวี้เฟยเยียนยื่นหน้าเข้าปไปใกล้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นพิเศษ เพื่อให้เขาได้ลองดม
“ข้าเห็นคนบริสุทธิ์มากมายถูกเข่นฆ่าที่ริมแม่น้ำฮาซือถูแล้ว ก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก”
มีซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ข้างกาย ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก เขาคือแผ่นฟ้า คือที่คอยปกป้องคุ้มครองนางจากลมฝนใดๆ นางสามารถระบายความรู้สึกความไม่สบายใจทั้งหลายให้เขาได้ฟัง ให้เขาได้เป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง
“ฉิงเทียน วันหน้าหน้าแม้ว่าข้าจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ตาม ข้าก็จะฆ่าเพียงแค่คนที่สมควรตายเท่านั้น ข้าจะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ยิ่งจะไม่ฆ่าคนเพื่อสนองความสนุกสนานของตัวเอง เห็นชีวิตคนเป็นของเล่น! อีกทั้ง——”
อวี้เฟยเยียนกำหมัดแน่น
“ข้าจะใช้กำลังทั้งหมดที่ข้ามี ทำให้ประชาชนของเราได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
ประชาชน…
เมื่อได้ยินคำๆนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หยักยิ้มเบาบาง
นั่นสินะ! บัดนี้ เขาได้ปกครองตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอู๋โยวแล้ว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตนี้ ล้วนแต่เป็นประชาชนของเขาทั้งสิ้น
เมื่อมองเห็นท่าทางขึงขังจริงจังของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ดีว่านางมิได้กำลังใช้อารมณ์ในการจัดการเรื่องราวต่างๆ แต่นางกำลังใช้หัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่างหาก
ซย่าโหวฉิงเทียนเชื่อแน่ว่า ด้วยหัวใจและนิสัยของอวี้เฟยเยียน จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น นางจะต้องกระทำอย่างที่นางกล่าวเอาไว้ ใช้กำลังทั้งหมดของตนเองที่มี ปกป้องคุ้มครองประชาชนของนาง
“แมวน้อย เจ้าตัดสินใจกระทำเช่นนี้ พี่ก็จะใช้สองมือของพี่สนับสนุนเจ้า เพียงแต่ ก่อนที่จะไปถึงตอนนั้น เจ้าควรจะทำให้พี่ชื่นใจก่อนจะดีไหม? “
มือใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียน ไม่รู้ว่ามาหยุดอยู่ที่เอวของอวี้เฟยเยียนตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาเพียงแค่ออกแรงดึงเบาๆ กระโปรงของนางก็ร่วงหล่นไปกองที่ข้อเท้าเสียแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียนรับหน้าที่สำคัญปรนนิบัติแต่งตัวเกล้าผมให้กับอวี้เฟยเยียนมาเป็นเวลานาน จึงเชี่ยวชาญชำนาญในการนี้ของตนเองเป็นอย่างดี เชี่ยวชาญถึงกระทั่งที่ว่า ตอนนี้เขาได้คิดค้นสายคาดเอวชนิดหนึ่งขึ้นมา เมื่อใช้คาดเอวแล้วจะยิ่งขับให้เห็นเอวบางคอดได้รูปของนางอย่างชัดเจน และยังถอดได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
เพียงแค่กระตุกเบาๆ ชุดทั้งชุดก็จะร่วงลงไปกองกับพื้นได้ทันที
นี่คือความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเพียงผู้เดียว และมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าความพิเศษของมันอยู่ตรงไหน
“ท่ะ ท่านทำไม…”
‘ทั้งๆที่กำลังพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน เรื่องเคร่งเครียดกันอยู่แท้ๆ ท่าทางของเขาก็จริงจังขึงขัง แล้วทำไมเขาถึงยังทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ได้อีก?’
อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงก่ำ ทว่านางกล่าวยังมิทันจบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ขึ้นทาบทับร่างของนางเสียแล้ว
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนก้มลงมาขบเม้มที่หัวไหล่กลมกลึงของอวี้เฟยเยียนนั่นเอง ฉับพลันนางก็ใช้สองมือยันแผ่นอกของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
แมวน้อย ทำไมหรือ? ซย่าโหวฉิงเทียนที่ถูก**เข้าครอบงำ ดวงตาของเขาสองวานเชื่อม แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ เสส้นผมสีเงินยาวสยายของเขากำลังห่อหุ้มร่างกายของคนทั้งสองเอาไว้
“ฉิงเทียน เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” อวี้เฟยเยียนกระอ้อมกระแอ้มเอ่ยถามเสียงแผ่ว แววตาของนางฉายแววเขินอายออกมาอย่างชัดเจน
“เตรียมพร้อมอะไร?” ซย่าโหวฉิงเทียนจับจ้องไปที่ใบหน้าอวี้เฟยเยียนอย่างตั้งใจ ทว่ามือของเขากลับปัดป่ายสำรวจไปทั่วร่างของนาง
“ก็เตรียมพร้อมเอ่อ…” สาวน้อยที่ถูกปลุกความปรารถนาให้ลุกโชนขึ้น เสียงของนางจึงนุ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งยังเจือเอาไว้ด้วยอาการเย้ายวน ราวกับร่างกายของนางเรืองแสงได้อย่างไรอย่างนั้น เพราะมันกำลังดึงดูดซย่าโหวฉิงเทียนให้ดำดิ่งจมลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
“อันไหน?” มือใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียนขยำสองอกตึงที่ชู่ช่อ
“อันนี้หรือ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย!”
แก้มของอวี้เฟยเยียนที่เดิมทีก็ฉาบเอาไว้ด้วยสีชมพูระเรื่ออยู่แล้ว เมื่อมาถูกซย่าโหวฉิงเทียนหยอกเย้าเข้าให้อีก มันก็ยิ่งแดงก่ำจนแทบจะแดงเข้มราวกับสีเลือดอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ใช่ที่นี่ หรือว่าเป็นตรงนี้?” ซย่าโหวฉิงเทียนเลื่อนมือเปลี่ยนตำแหน่ง มือขวาของเขากุมฝ่าเท้าเล็กๆจิ้มลิ้มของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วใช้ปลายนิ้ววาดเป็นวงกลมบนฝ่าเท้าของนาง
คราวนี้ ทำเอาอวี้เฟยเยียนจักกะจี้ตัวงอราวกับกุ้งสุกก็ไม่ปาน
“คนร้ายกาจ!” อวี้เฟยเยียนทั้งขวยเขินทั้งขุ่นเคือง
หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ว่า ฝ่าเท้าคือจุดที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกมากที่สุดของอวี้เฟยเยียนแล้ว เขาก็กลายร่างเป็นมนุษย์ที่บำเรอความสุขให้กับฝ่าเท้าของนางในทันที
ถึงขนาดว่าทุกครั้งที่เล้าโลมแสดงความรักต่อกันนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องหยอกเย้าเล่นกับฝ่าเท้าของนางเสมอ เขาจะกระตุ้นอารมณ์ที่ฝ่าเท้าของนางจนกระทั่งนางถึงจุดที่ทนไม่ไหวนั่นแหละ ทำให้ในทุกครั้งอวี้เฟยเยียนถึงกับต้องอ้อนวอนขอร้องครวญคราง หรือไม่ก็แทบอยากจะถีบซย่าโหวฉิงเทียนให้ตกเตียงไปเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ากลับมิอาจมิยอมศิโรราบต่อเขาได้
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่หยอกเย้าตนเองอย่างร้ายกาจ อวี้เฟยเยียนจึงโน้มตัวขึ้นมา กัดที่ริมฝีปากของเขาแรงๆ หลังจากนั้นจึงค่อยหลบหลีก
ยิ่งนางทำเช่นนี้ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเติมเชื้อเพลิงปลุกสันดานดิบในตัวซย่าโหวฉิงเทียนให้ตื่นขึ้น