รอจนกระทั่งตี้อู่เฮ่ออี้หยิบยกผลการจำแนกพิษของตนเองเปรียบเทียบกับของอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็ถึงกับตบหน้าผากตนเองพร้อมกับบางอ้อ
“มิน่าเล่า ข้าถึงได้รู้สึกว่ามันขาดอะไรไป ที่แท้ก็ขาดเลือดและน้ำลายของนกเขานี่เอง!”
“น้องพี่ ข้าต้องยอมเจ้าจริงๆ! เจ้าถึงกับสามารถแยกแยะได้ว่าส่วนประกอบแต่ละชนิดมีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ได้อีกด้วย เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก! ในเรื่องปริมาณของส่วนประกอบนั้น ข้ายังห่างไกลเจ้าอยู่มาก!”
ตี้อู่เฮ่ออี้ชมเชยซึ่งหน้าเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก
แม้ว่าฐานะของนางที่แผ่นดินแห่งนี้คือหมอ แต่นางก็ยังมีฉายา ‘อวี้หลัวซา’ ซึ่งฆ่าคนมากกว่าช่วยคนเสียอีก
ต่างกับตี้อู่เฮ่ออี้ที่มีจิตใจงดงามบริสุทธิ์ เขาใช้การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ เขาต่างหากจึงนับว่าเป็นหมออย่างแท้จริง
เมื่อได้พบกับเหตุการณ์ที่คนถูกพิษเข้า เขาย่อมจะต้องถูกหลักการในการเป็นหมอที่ถูกอบรมสั่งสอนมา ซึ่งเชื่อหมอจะต้องรักษาชีวิตคนเท่านั้น ตีกรอบเอาไว้ จนไม่สามารถเปิดใจลงมือใช้วิธีการที่เ**้ยมโหดเด็ดขาดได้ เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะสามารถเข้าใจพิษจำพวกที่มีฤทธิ์ร้ายแรงและยาพิษาที่ปรุงจากพิษร้ายเหล่านั้นได้!
“พี่ ไม่ใช่เพราะว่าข้าเก่งกาจอะไรหรอก เพียงแต่ท่านเคยชินกับการช่วยคนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นในด้านของปรุงยาพิษ ท่านจึงมักจะลังเล ไม่กล้าที่จะใช้ตัวยาที่มีฤทธิ์รุนแรง”
“โอ้——”
อวี้เฟยเยียนจี้ถูกในจุดที่กำลังมีปัญหาของตนเอง ตี้อู่เฮ่ออี้จึงพยักหน้ายอมรับ
“หรือว่าน้องพี่เคยฆ่าคนมามากมายอย่างนั้นหรือ?”
“ก็มีบ้าง!” อวี้เฟยเยียนตอบกระอ้อมกระแอ้ม
“น้องพี่ เจ้าว่าตอนนั้นบรรพชนของเราก็ฆ่าคนไปมากมายเช่นกันหรือเปล่านะ?” เพราะคำพูดของอวี้เฟยเยียนก่อนหน้านี้ ทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้เริ่มครุ่นคิด
“หลังจากสมัยของบรรพชน แม้ว่าวิชาแพทย์และวิชาพิษจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่มันก็มาพร้อมกับจำนวนของหมอที่สามารถรักษาผู้ที่ถูกพิษที่มีจำนวนลดลงมากตามไปด้วย “
“วิชาแพทย์ของชาวเผ่าตันสายตรงเก่งกาจมากขึ้น ขณะเดียวกันวิชาพิษของชาวตันสายรองก็ร้ายกาจยิ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเผ่าตันทั้งหมดโดยรวมจึงไม่สามารถแข็งแกร่งรุ่งเรืองได้เทียบเท่ายุคของบรรพชน?”
ตี้อู่เฮ่ออี้มีความสามารถในคิดวิเคราะะห์เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆได้อย่างเฉียบขาด คำพูดของเขาอวี้เฟยเยียนเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
ก็เหมือนกันการเข้าเรียนในโรงเรียน ที่มีนักเรียนเข้าเรียนในสายวิทยาศาสตร์จำนวนมากกว่าสักหน่อย แต่จะให้ดีที่สุดควรจะต้องให้ภาพรวมของนักเรียนทั้งหมดมีการพัฒนาขึ้นด้วย!
“ในเมื่อพี่ต้องการที่จะเป็นให้ได้แบบท่านบรรพชนของเรา เช่นนั้นท่านก็จะต้องเรียนรู้ฝึกฝนเรื่องเกี่ยวกับพิษให้แข็งแกร่งโดยเท่าเทียมกัน! มิฉะนั้นเมื่อต้องเจอกับพิษชนิดร้ายแรงยิ่งกว่าของตันขวาเข้า ท่านจะไม่มีทางรับมือกับมันได้เลย”
“ขอบคุณน้องพี่ที่ชี้แนะ!” ตี้อู่เฮ่ออี้แสดงความเคารพขอบคุณอวี้เฟยเยียนด้วยใจจริง
เมื่อผลการวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาพิษออกมาได้แล้ว ขั้นตอนการปรุงยาถอนพิษก็ไม่ยากลำบากอีกต่อไป
รอจนกระทั่งติ่งปรุงยาของอวี้เฟยเยียน มีเสียง ‘ปุดๆ’ ดังขึ้น กลิ่นหอมของยาสมุนไพรก็ลอยมาติดจมูก
“น้องพี่ เจ้าดูสิ! “
ที่ริมแม่น้ำฮาซือถู ยาที่อวี้เฟยเยียนเหลือไว้ให้ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์มากแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ที่เขาอยากรู้ยิ่งกว่านั่นก็คือ ยาที่อวี้เฟยเยียนปรุงขึ้นมีส่วนผสมและสัดส่วนอย่างไรบ้าง
อวี้เฟยเยียนได้ปิดเผยกรรมวิธีและขั้นตอนการปรุงยาของตนเองทั้งหมดให้ตี้อู่เฮ่ออี้ได้เห็นด้วยตาของเขาเอง รอจนนางเปิดฝาติ่งปรุงยาออกมา แล้วหยิบยาเม็ดสีขาวที่ยังอุ่นๆอยู่ออกมาส่งให้กับตี้อู่เฮ่ออี้นั่นแหละ มันทำให้เขาถึงกับอึ้งกิมกี่
สูดดมเข้าไป กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาเตะจมูก ไม่มีกลิ่นเหม็นฉุนของความเป็นยาหลงเหลืออยู่เลย สีสันอ่อนนุ่มนวลราวหยกเนื้อดี ไม่หลงเหลือสีเดิมของส่วนประกอบต่างๆอยู่เลย
มองเข้าไปภายในติ่ง ไม่มีกากยาเหลือเลยสักนิด เพราะส่วนผสมทั้งหมดถูกนำมาใช้ปรุงเป็นยาจนหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ตี้อู่เฮ่ออี้ยังคงเป็นกังวล เพราะอวี้เฟยเยียนใช้ส่วนผสมทั้งหมดในสัดส่วนที่พอดี หากว่าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา จนเหลือกากหลังปรุงยามากเกินไป ยาที่ได้ออกมาก็จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่เมื่อมาเห็นเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลมากเกินไปเองเท่านั้น
“น้องพี่ เจ้ากลับเผ่าตันกับพี่เถอะ!”
ตี้อู่เฮ่ออี้กำยาเม็ดนั้นเอาไว้แน่น ทอดมองที่อวี้เฟยเยียนตาละห้อย ราวกับสุนัขมองเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านปู่และท่านพ่อของข้าหากได้พบเจ้าจะต้องรักเจ้าจนแทบไม่อยากจะให้เจ้าจากไปไหนเลย! เจ้าที่เป็นเช่นนี้ช่างตอกย้ำผู้อื่นเหลือเกิน!”
“ยาที่มีความเข้มข้นทั้งหนึ่งร้อยส่วน มีเพียงท่านปู่และท่านพ่อของข้าเท่านั้นจึงจะสามารถปรุงออกมาได้ น้องพี่ เจ้ารีบกลับตันซ้ายกับข้าเร็วเข้า ข้าจะได้ไปอวดพวกเขาสักยกหนึ่ง!”
“ท่านจะไปอวดพวกเขาเรื่องอะไรกัน?” อวี้เฟยเยียนงงงวย
“ก็อวดอายุของเจ้าอย่างไรเล่า! ท่านพ่อของข้ามักจะบอกว่าลูกหลานในรุ่นของข้าโง่งม ยาที่ปรุงออกมามีความเข้มข้นน้อยมาก ส่วนตัวท่านสามารถปรุงยาที่มีความเข้มสูงถึงเก้าในสิบส่วนได้ตั้งแต่อายุสิบแปดแล้ว!”
ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวก็พร้อมกับทำท่าทางเลียนแบบน้ำเสียงของผู้เป็นบิดาไปด้วย
“ดังนั้น ข้าจะพาเจ้าไปที่ตันซ้าย ข้าจะบอกกับท่านพ่อว่า น้องสาวของข้าอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นก็สามารถทำได้แล้ว น้องพี่ต่างหากจึงเก่งกาจยอดเยี่ยมที่สุด! ต่อไป ท่านพ่อของข้าจะได้ไม่มีโอกาสคุยโวต่อหน้าพวกเราได้อีก”
นับจากวันที่เชียนเย่เสวี่ยตกแม่น้ำหายไป นี่เป็นครั้งแรกที่ตี้อู่เฮ่ออี้ยิ้มได้จากใจจริง
เห็นทีว่า เรื่องที่สามารถทำให้เขารู้สึกดีใจได้จะมีเพียงสองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องคนรักของเขา เชียนเย่เสวี่ย อีกเรื่องก็คือ วิชาแพทย์ นี่กระมัง
เป็นดั่งที่เชียนเย่เสวี่ยกล่าวเอาไว้ เขาเป็นเจ้าทึ่มคนหนึ่งจริงๆ!
“พี่ ท่านแน่ใจนะว่าท่านจำทางได้?”
เมื่อได้ยินว่าตี้อู่เฮ่ออี้เป็นพวกจดจำเส้นทางอะไรไม่เคยได้ อวี้เฟยเยียนก็ยืดอกเล็กน้อยเอ่ยว่า
“ข้าอยากไปถึงตันซ้ายให้เร็วสักหน่อย แต่ว่า ท่านคงจะไม่จำทางผิดอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้…”
ตี้อู่เฮ่ออีทำได้เพียงยิ้มแหงๆ แล้วรีบรับรองว่า
“เจ้าวางใจได้เลย มันจะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก!”
“เช่นนั้นก็ดี! ข้าเองก็อยากจะพบหน้าท่านตา ท่านปู ท่านลุงท่านป้า ยังมีพี่ๆและอาซ้อเร็วๆเช่นกัน!”
อวี้เฟยเยียนรอคอยที่จะได้พบหน้าญาติพี่น้องชาวตันซายโดยเร็วที่สุด
คืนนั้นอวี้เฟยเยียนประคองหลิวเซิ้งขึ้นมาเพื่อป้อนยาให้กับเขา และเนื่องด้วยดวงตาของเขามองไม่เห็น และตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังไม่มีบ่าวไพร่คนรับใช้ อวี้เฟยเยียนจึงป้อนข้าวให้กับเขาด้วยตัวเองอีกด้วย
“หลิวเซิ้ง เจ้าวางใจได้เลย! มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะไม่เป็นอะไร!”
น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนนุ่มนวลอ่อนหวาน หลังจากที่หลิวเซิ้งได้ฟังก็พยักหน้ารับเบาๆ
“ข้าน้อยเชื่อในวิชาแพทย์ของฮูหยิน! ขอบคุณฮูหยิน——”
“ไม่ต้องเกรงใจ! พรุ่งนี้เช้าข้าค่อยมาดูเจ้าอีกครั้ง!”
อวี้เฟยเยียนเดินออกไปได้ไม่นานก็เดินวกกลับเข้ามา
นางขึงเชือกในจุดที่หลิวเซิ้งเอื้อมมือไปถึงได้
“หากว่ากลางดึกเจ้าเกิดไม่สบายตรงไหน หรือว่ามีเรื่องอะไร เจ้าก็ดึงเชือกนี่ ข้าแขวนกระดิ่งเอาไว้ที่ปลายเชือก ขอเพียงกระดิ่งดัง พี่ชายของข้าก็จะได้ยินทันที!”
ความเอาใจใส่ของอวี้เฟยเยียน ตรงกันข้ามกลับทำให้หลิวเซิ้งเป็นฝ่ายรู้สึกผิดอยู่ในใจ
ก่อนนี้ ที่หุบเขาลั่วสยา เขาเข้าใจอวี้เฟยเยียนผิดและไม่มีโอกาสที่จะได้ขอโทษนางเลยสักครั้ง
ซึ่งในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ทั้งยังช่วยรักษาเส้นเอ็นที่แขนของเขาที่ถูกโม่ซางตัดขาดจนหาย แล้วครั้งนี้ นางยังไม่คิดโกรธเคืองเรื่องราวแต่เก่าก่อน ช่วยถอนพิษให้กับเขา เขาจึงสมควรที่จะขอบคุณนางให้มากๆ
“ฮูหยิน ขอบคุณท่านมาก! ยังมีอีก เรื่องเมื่อก่อน…ข้าน้อยขอโทษท่านจริงๆ!”
หลิวเซิ้งรวบรวมความกล้า เอ่ยขอโทษต่ออวี้เฟยเยียน
เมื่อได้ยินคำของเขา อวี้เฟยเยียนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หลิวเซิ้งจะยอมก้มหัวขอโทษนางได้
“เกรงใจอะไรกัน! หลิวเซิ้ง เจ้าคือเพื่อนของฉิงเทียน ก็คือเพื่อนของข้าเช่นกัน! เมื่อเพื่อนเดือดร้อน ข้าก็ต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้ว!”
อวี้เฟยเยียนห่มผ้าให้กับหลิวเซิ้ง
“นอนพักผ่อนให้มากๆ อย่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก! ขอเพียงเจ้ากินยาตรงเวลา ระวังรักษาตัวให้ดี เจ้าก็จะสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง!”
‘ขอบคุณ!’
หลิวเซิ้งเอ่ยขึ้นในใจ