จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 140-5 ศึกใหญ่ระหว่างหานจื่อปะทะเฒ่าชั่วแซ่หลิว

ตอนที่ 140-5 ศึกใหญ่ระหว่างหานจื่อปะทะเฒ่าชั่วแซ่หลิว

รอจนกระทั่งตี้อู่เฮ่ออี้หยิบยกผลการจำแนกพิษของตนเองเปรียบเทียบกับของอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็ถึงกับตบหน้าผากตนเองพร้อมกับบางอ้อ

“มิน่าเล่า ข้าถึงได้รู้สึกว่ามันขาดอะไรไป ที่แท้ก็ขาดเลือดและน้ำลายของนกเขานี่เอง!”

“น้องพี่ ข้าต้องยอมเจ้าจริงๆ! เจ้าถึงกับสามารถแยกแยะได้ว่าส่วนประกอบแต่ละชนิดมีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ได้อีกด้วย เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก! ในเรื่องปริมาณของส่วนประกอบนั้น ข้ายังห่างไกลเจ้าอยู่มาก!”

ตี้อู่เฮ่ออี้ชมเชยซึ่งหน้าเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก

แม้ว่าฐานะของนางที่แผ่นดินแห่งนี้คือหมอ แต่นางก็ยังมีฉายา ‘อวี้หลัวซา’ ซึ่งฆ่าคนมากกว่าช่วยคนเสียอีก

ต่างกับตี้อู่เฮ่ออี้ที่มีจิตใจงดงามบริสุทธิ์ เขาใช้การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ เขาต่างหากจึงนับว่าเป็นหมออย่างแท้จริง

เมื่อได้พบกับเหตุการณ์ที่คนถูกพิษเข้า เขาย่อมจะต้องถูกหลักการในการเป็นหมอที่ถูกอบรมสั่งสอนมา ซึ่งเชื่อหมอจะต้องรักษาชีวิตคนเท่านั้น ตีกรอบเอาไว้ จนไม่สามารถเปิดใจลงมือใช้วิธีการที่เ**้ยมโหดเด็ดขาดได้ เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะสามารถเข้าใจพิษจำพวกที่มีฤทธิ์ร้ายแรงและยาพิษาที่ปรุงจากพิษร้ายเหล่านั้นได้!

“พี่ ไม่ใช่เพราะว่าข้าเก่งกาจอะไรหรอก เพียงแต่ท่านเคยชินกับการช่วยคนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นในด้านของปรุงยาพิษ ท่านจึงมักจะลังเล ไม่กล้าที่จะใช้ตัวยาที่มีฤทธิ์รุนแรง”

“โอ้——”

อวี้เฟยเยียนจี้ถูกในจุดที่กำลังมีปัญหาของตนเอง ตี้อู่เฮ่ออี้จึงพยักหน้ายอมรับ

“หรือว่าน้องพี่เคยฆ่าคนมามากมายอย่างนั้นหรือ?”

“ก็มีบ้าง!” อวี้เฟยเยียนตอบกระอ้อมกระแอ้ม

“น้องพี่ เจ้าว่าตอนนั้นบรรพชนของเราก็ฆ่าคนไปมากมายเช่นกันหรือเปล่านะ?” เพราะคำพูดของอวี้เฟยเยียนก่อนหน้านี้ ทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้เริ่มครุ่นคิด

“หลังจากสมัยของบรรพชน แม้ว่าวิชาแพทย์และวิชาพิษจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่มันก็มาพร้อมกับจำนวนของหมอที่สามารถรักษาผู้ที่ถูกพิษที่มีจำนวนลดลงมากตามไปด้วย “

“วิชาแพทย์ของชาวเผ่าตันสายตรงเก่งกาจมากขึ้น ขณะเดียวกันวิชาพิษของชาวตันสายรองก็ร้ายกาจยิ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเผ่าตันทั้งหมดโดยรวมจึงไม่สามารถแข็งแกร่งรุ่งเรืองได้เทียบเท่ายุคของบรรพชน?”

ตี้อู่เฮ่ออี้มีความสามารถในคิดวิเคราะะห์เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆได้อย่างเฉียบขาด คำพูดของเขาอวี้เฟยเยียนเห็นด้วยเป็นอย่างมาก

ก็เหมือนกันการเข้าเรียนในโรงเรียน ที่มีนักเรียนเข้าเรียนในสายวิทยาศาสตร์จำนวนมากกว่าสักหน่อย แต่จะให้ดีที่สุดควรจะต้องให้ภาพรวมของนักเรียนทั้งหมดมีการพัฒนาขึ้นด้วย!

“ในเมื่อพี่ต้องการที่จะเป็นให้ได้แบบท่านบรรพชนของเรา เช่นนั้นท่านก็จะต้องเรียนรู้ฝึกฝนเรื่องเกี่ยวกับพิษให้แข็งแกร่งโดยเท่าเทียมกัน! มิฉะนั้นเมื่อต้องเจอกับพิษชนิดร้ายแรงยิ่งกว่าของตันขวาเข้า ท่านจะไม่มีทางรับมือกับมันได้เลย”

“ขอบคุณน้องพี่ที่ชี้แนะ!” ตี้อู่เฮ่ออี้แสดงความเคารพขอบคุณอวี้เฟยเยียนด้วยใจจริง

เมื่อผลการวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาพิษออกมาได้แล้ว ขั้นตอนการปรุงยาถอนพิษก็ไม่ยากลำบากอีกต่อไป

รอจนกระทั่งติ่งปรุงยาของอวี้เฟยเยียน มีเสียง ‘ปุดๆ’ ดังขึ้น กลิ่นหอมของยาสมุนไพรก็ลอยมาติดจมูก

“น้องพี่ เจ้าดูสิ! “

ที่ริมแม่น้ำฮาซือถู ยาที่อวี้เฟยเยียนเหลือไว้ให้ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์มากแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ที่เขาอยากรู้ยิ่งกว่านั่นก็คือ ยาที่อวี้เฟยเยียนปรุงขึ้นมีส่วนผสมและสัดส่วนอย่างไรบ้าง

อวี้เฟยเยียนได้ปิดเผยกรรมวิธีและขั้นตอนการปรุงยาของตนเองทั้งหมดให้ตี้อู่เฮ่ออี้ได้เห็นด้วยตาของเขาเอง รอจนนางเปิดฝาติ่งปรุงยาออกมา แล้วหยิบยาเม็ดสีขาวที่ยังอุ่นๆอยู่ออกมาส่งให้กับตี้อู่เฮ่ออี้นั่นแหละ มันทำให้เขาถึงกับอึ้งกิมกี่

สูดดมเข้าไป กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาเตะจมูก ไม่มีกลิ่นเหม็นฉุนของความเป็นยาหลงเหลืออยู่เลย สีสันอ่อนนุ่มนวลราวหยกเนื้อดี ไม่หลงเหลือสีเดิมของส่วนประกอบต่างๆอยู่เลย

มองเข้าไปภายในติ่ง ไม่มีกากยาเหลือเลยสักนิด เพราะส่วนผสมทั้งหมดถูกนำมาใช้ปรุงเป็นยาจนหมดแล้ว

ก่อนหน้านี้ตี้อู่เฮ่ออี้ยังคงเป็นกังวล เพราะอวี้เฟยเยียนใช้ส่วนผสมทั้งหมดในสัดส่วนที่พอดี หากว่าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา จนเหลือกากหลังปรุงยามากเกินไป ยาที่ได้ออกมาก็จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่เมื่อมาเห็นเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลมากเกินไปเองเท่านั้น

“น้องพี่ เจ้ากลับเผ่าตันกับพี่เถอะ!”

ตี้อู่เฮ่ออี้กำยาเม็ดนั้นเอาไว้แน่น ทอดมองที่อวี้เฟยเยียนตาละห้อย ราวกับสุนัขมองเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น

“ท่านปู่และท่านพ่อของข้าหากได้พบเจ้าจะต้องรักเจ้าจนแทบไม่อยากจะให้เจ้าจากไปไหนเลย! เจ้าที่เป็นเช่นนี้ช่างตอกย้ำผู้อื่นเหลือเกิน!”

“ยาที่มีความเข้มข้นทั้งหนึ่งร้อยส่วน มีเพียงท่านปู่และท่านพ่อของข้าเท่านั้นจึงจะสามารถปรุงออกมาได้ น้องพี่ เจ้ารีบกลับตันซ้ายกับข้าเร็วเข้า ข้าจะได้ไปอวดพวกเขาสักยกหนึ่ง!”

“ท่านจะไปอวดพวกเขาเรื่องอะไรกัน?” อวี้เฟยเยียนงงงวย

“ก็อวดอายุของเจ้าอย่างไรเล่า! ท่านพ่อของข้ามักจะบอกว่าลูกหลานในรุ่นของข้าโง่งม ยาที่ปรุงออกมามีความเข้มข้นน้อยมาก ส่วนตัวท่านสามารถปรุงยาที่มีความเข้มสูงถึงเก้าในสิบส่วนได้ตั้งแต่อายุสิบแปดแล้ว!”

ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวก็พร้อมกับทำท่าทางเลียนแบบน้ำเสียงของผู้เป็นบิดาไปด้วย

“ดังนั้น ข้าจะพาเจ้าไปที่ตันซ้าย ข้าจะบอกกับท่านพ่อว่า น้องสาวของข้าอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นก็สามารถทำได้แล้ว น้องพี่ต่างหากจึงเก่งกาจยอดเยี่ยมที่สุด! ต่อไป ท่านพ่อของข้าจะได้ไม่มีโอกาสคุยโวต่อหน้าพวกเราได้อีก”

นับจากวันที่เชียนเย่เสวี่ยตกแม่น้ำหายไป นี่เป็นครั้งแรกที่ตี้อู่เฮ่ออี้ยิ้มได้จากใจจริง

เห็นทีว่า เรื่องที่สามารถทำให้เขารู้สึกดีใจได้จะมีเพียงสองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องคนรักของเขา เชียนเย่เสวี่ย อีกเรื่องก็คือ วิชาแพทย์ นี่กระมัง

เป็นดั่งที่เชียนเย่เสวี่ยกล่าวเอาไว้ เขาเป็นเจ้าทึ่มคนหนึ่งจริงๆ!

“พี่ ท่านแน่ใจนะว่าท่านจำทางได้?”

เมื่อได้ยินว่าตี้อู่เฮ่ออี้เป็นพวกจดจำเส้นทางอะไรไม่เคยได้ อวี้เฟยเยียนก็ยืดอกเล็กน้อยเอ่ยว่า

“ข้าอยากไปถึงตันซ้ายให้เร็วสักหน่อย แต่ว่า ท่านคงจะไม่จำทางผิดอีกแล้วใช่หรือไม่?”

“เรื่องนี้…”

ตี้อู่เฮ่ออีทำได้เพียงยิ้มแหงๆ แล้วรีบรับรองว่า

“เจ้าวางใจได้เลย มันจะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก!”

“เช่นนั้นก็ดี! ข้าเองก็อยากจะพบหน้าท่านตา ท่านปู ท่านลุงท่านป้า ยังมีพี่ๆและอาซ้อเร็วๆเช่นกัน!”

อวี้เฟยเยียนรอคอยที่จะได้พบหน้าญาติพี่น้องชาวตันซายโดยเร็วที่สุด

คืนนั้นอวี้เฟยเยียนประคองหลิวเซิ้งขึ้นมาเพื่อป้อนยาให้กับเขา และเนื่องด้วยดวงตาของเขามองไม่เห็น และตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังไม่มีบ่าวไพร่คนรับใช้ อวี้เฟยเยียนจึงป้อนข้าวให้กับเขาด้วยตัวเองอีกด้วย

“หลิวเซิ้ง เจ้าวางใจได้เลย! มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะไม่เป็นอะไร!”

น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนนุ่มนวลอ่อนหวาน หลังจากที่หลิวเซิ้งได้ฟังก็พยักหน้ารับเบาๆ

“ข้าน้อยเชื่อในวิชาแพทย์ของฮูหยิน! ขอบคุณฮูหยิน——”

“ไม่ต้องเกรงใจ! พรุ่งนี้เช้าข้าค่อยมาดูเจ้าอีกครั้ง!”

อวี้เฟยเยียนเดินออกไปได้ไม่นานก็เดินวกกลับเข้ามา

นางขึงเชือกในจุดที่หลิวเซิ้งเอื้อมมือไปถึงได้

“หากว่ากลางดึกเจ้าเกิดไม่สบายตรงไหน หรือว่ามีเรื่องอะไร เจ้าก็ดึงเชือกนี่ ข้าแขวนกระดิ่งเอาไว้ที่ปลายเชือก ขอเพียงกระดิ่งดัง พี่ชายของข้าก็จะได้ยินทันที!”

ความเอาใจใส่ของอวี้เฟยเยียน ตรงกันข้ามกลับทำให้หลิวเซิ้งเป็นฝ่ายรู้สึกผิดอยู่ในใจ

ก่อนนี้ ที่หุบเขาลั่วสยา เขาเข้าใจอวี้เฟยเยียนผิดและไม่มีโอกาสที่จะได้ขอโทษนางเลยสักครั้ง

ซึ่งในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ทั้งยังช่วยรักษาเส้นเอ็นที่แขนของเขาที่ถูกโม่ซางตัดขาดจนหาย แล้วครั้งนี้ นางยังไม่คิดโกรธเคืองเรื่องราวแต่เก่าก่อน ช่วยถอนพิษให้กับเขา เขาจึงสมควรที่จะขอบคุณนางให้มากๆ

“ฮูหยิน ขอบคุณท่านมาก! ยังมีอีก เรื่องเมื่อก่อน…ข้าน้อยขอโทษท่านจริงๆ!”

หลิวเซิ้งรวบรวมความกล้า เอ่ยขอโทษต่ออวี้เฟยเยียน

เมื่อได้ยินคำของเขา อวี้เฟยเยียนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หลิวเซิ้งจะยอมก้มหัวขอโทษนางได้

“เกรงใจอะไรกัน! หลิวเซิ้ง เจ้าคือเพื่อนของฉิงเทียน ก็คือเพื่อนของข้าเช่นกัน! เมื่อเพื่อนเดือดร้อน ข้าก็ต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้ว!”

อวี้เฟยเยียนห่มผ้าให้กับหลิวเซิ้ง

“นอนพักผ่อนให้มากๆ อย่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก! ขอเพียงเจ้ากินยาตรงเวลา ระวังรักษาตัวให้ดี เจ้าก็จะสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง!”

‘ขอบคุณ!’

หลิวเซิ้งเอ่ยขึ้นในใจ

จำนนรักชายาตัวร้าย

จำนนรักชายาตัวร้าย

Status: Ongoing

เพราะการทดลองถอดดวงจิตของดอกเตอร์คิว ทำให้วิญญาณ อวี้เฟยเยียน นักศึกษาอัจฉริยะมากพรสวรรค์ข้ามเวลามาอยู่ในร่างคุณหนูโลลิต้า (?) แห่งจวนจงอี้โหว ซึ่งไม่เพียงร่างกายอ่อนแอจนฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ แม้แต่สติปัญญายังถูกคนวางยาพิษทำลายจนอาจจะตายได้ภายในสามเดือน นับเป็นตัวไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แต่แล้วเมื่อเธอบังเอิญได้พบกับท่านอ๋องผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับสตรีใดอย่างซย่าโหวฉิงเทียน และช่วยชีวิตเขาไว้จากการลอบสังหาร ความเด็ดเดี่ยวของนางทำให้เขาสนใจอยากได้นางมาเป็น ‘สัตว์เลี้ยง’ ของตน! แต่แล้วเมื่อรู้ว่านางคือว่าที่พระชายาองค์ชายสี่ เท่ากับมีศักดิ์เป็นหลานสะใภ้ของตน เช่นนั้นแล้วเขาจะทำเช่นไรกับ ‘แมวป่าน้อย’ ที่เขาสู้อุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอมมาตัวนี้ดีเล่า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท