ได้ยินตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวเช่นนี้ ทำให้หัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก
ขณะที่เดินทางกลับมายังเมืองเฮ่อนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ซึ่งตี้อู่เฮ่ออี้ก็ยืนยันว่าจะต้องได้เห็นร่างของหนานกงจื่อหลิงเสียก่อนจึงจะสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจน นึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้…
“เป็นไปไม่ได้!” อวี้เฟยเยียนยืนข้างๆเตียงน้ำแข็ง ดวงตาร้อนผ่าว
“หลิงเอ๋อร์จิตใจดี เป็นเด็กดี เพราะอะไรสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรม!” เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเสียใจ ตี้อู่เฮ่ออี้จึงเอ่ยปากปลอบโยนนางว่า
“น้องพี่ เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัด เจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไปเลย! รอให้กลับไปถึงชนเผ่าเสียก่อน พวกเราค่อยไปถามท่านปู่ดูสักครั้งค่อยว่ากัน!”
“ทุกคนต่างก็เล่าลือไปทั่วทั้งแผ่นดิน ว่าเผ่าตันมีวิชาชุบชีวิตฟื้นจากความตายและวิชาอมตะไม่มีวันแก่เฒ่า แม้ว่าอาจเป็นการปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน แต่โบราณว่าเอาไว้มีไฟที่ไหนที่นั่นย่อมมีควันที่นั่น หากว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลก็คงไม่มีใครเอามาเล่าลือได้หรอก!”
“เผ่าตันมีเขตหวงห้าม ท่านปู่ไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไป ไม่แน่ว่า ที่เขตหวงห้ามนั้นมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่!”
“เขตหวงห้าม?” อวี้เฟยเยียนขมวดคิ้ว ฟังดูแล้วแลดูลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก!
“อื้ม! ได้ยินว่าที่เขตหวงห้ามซ่อน**เอาไว้ ส่วนรายละเอียด ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! หลิวเอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่ง ข้าเองก็หวังว่านางจะปลอดภัย”
มองดูหนานกงจื่อหลิงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งแล้ว ก็ทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงช่วงเวลาดีๆเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองฉินจื้อด้วยกันขึ้นมา
ในตอนนั้น เขา เชียนเย่เสวี่ยและหนานกงจื่อหลิงอาศัยอยู่ด้วยกัน ภายหลังจึงมีอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนมาสมทบ…ทุกคนใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่ทว่าในตอนนี้ หนานกงจื่อหลิงตายไป เชียนเย่เสวี่ยก็ไม่รู้ชะตากรรม
‘หรือว่าช่วงเวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้นเพียงนี้เชียวหรือ?’
สีหน้าของตี้อู่เฮ่ออี้เศร้าสลด แต่เพียงไม่นานเขาก็ปรับอารมณ์กลับสู่สภาวะใจสู้อีกครั้ง
ในเมื่อเหลียนจิ่นก็บอกอยู่แล้วว่า เชียนเย่เสวี่ยยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย เช่นนั้นเขาก็ควรจะลุกขึ้นสู้ พัฒนาความสามารถของตนเองให้สูงขึ้น ในช่วงเวลาที่นางไม่ได้อยู่ข้างกาย เขาก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีกำลังใจ รอคอยจนกว่าจะถึงวันที่ได้พบกับเชียนเย่เสวี่ยอีกครั้ง!
‘เสวี่ย ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!’
คนที่ตี้อู่เฮ่ออี้กำลังคิดถึงอยู่นั้น ในเวลานี้เพิ่งจะฟื้นคืนสติ
ห้องที่ไม่คุ้นตา สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เสียง ซ่าซ่า ของสายลมพัดใบไผ่และท่อนไม้ไผ่ เตียงสีฟ้าคราม ที่หน้าต่างแขวนกระดิ่งเปลือกหอยเป็นพวงเอาไว้
เชียนเย่เสวี่ยตื่นขึ้นก็เพราะเสียงของกระดิ่งนั่นเอง
“แม่นาง เจ้าฟื้นแล้วหรือ!” ในขณะที่เชียนเย่เสวี่ยกำลังพยายามชันกายลุกขึ้นนั่งนั่นเอง ชายวัยกลางคนผมขาวเคราสีขาว สวมใส่ชุดสีเขียวก็เดินเข้ามาหานาง
แม้จะเป็นชายวัยกลางคน ทว่าเส้นผมและหนวดเคราของเขากลับเป็นสีดำแซมขาวปะปนกัน เช่นนั้นจะบอกว่าเขาเป็นคนแก่ก็ไม่เชิง เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังไม่แก่ มองดูดั่งคนอายุราวๆสี่สิบกว่าเท่านั้นเอง
“ท่านคือ…”
เจ้าลอยมาติดที่ริมแม่น้ำ ถูกข้าช่วยชีวิตเอาไว้ อวิ๋นเฮ่อเทียนจ้องมองเชียนเย่เสวี่ยยิ้มๆ
“ริมน้ำ…” เชียนเย่เสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้จดจำเรื่องราวที่ตนเองตกน้ำขึ้นมาได้
“เจ้าทึ่ม!” เชียนเย่เสวี่ยร้องขึ้นด้วยอาการตกใจ แล้วลุกขึ้นนั่ง
‘ไม่รู้ว่าตี้อู่เฮ่ออี้ตลอดจนคนที่เหลือเป็นอย่างไรบ้าง! สุ่ยเจียงจะทำร้ายพวกเขาหรือไม่?’
“เจ้าทึ่ม? คนรักของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าเอาแต่เพ้อถึงเขาตลอดเวลา!”
อวิ๋นเฮ่อเทียนยิ่งมองดูเชียนเย่เสวี่ย ก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา นางกระดูกแข็งกระเดี้ยวแข็งแรงเป็นพิเศษ คิดว่าน่าจะเป็นหน่อเนื้อชั้นเยี่ยมที่เหมาะสมจะฝึกฝนวรยุทธ์ได้
ในฐานะที่เขาเองคือผู้หลงใหลในวรยทุธ์ ตอนนี้สิ่งที่อวิ๋นเฮ่อเทียนปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดนั่นก็คือยังไม่มีผู้สืบทอดที่เขาพึงพอใจนะสิ
แม้ว่าสกุลอวิ๋นจะมีลูกหลานที่เก่งกาจยอดเยี่ยมมากมาย เช่นอวิ๋นจิ่นเฉิน แต่เจ้าหนุ่มนี่นิสัยอวดดีเกินไป จึงไม่ยอมเรียนวรยุทธ์ของเขา กลับบอกว่าจะคิดค้นวรยุทธ์ขึ้นมาด้วยตัวเอง จะเป็นต้นกำเนิดแห่งความสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ ทำเอาอวิ๋นเฮ่อเทียนโมโหแทบตาย
รอคอยมาตั้งหลายปีกระทั่งได้ช่วยชีวิตแม่นางน้อยผู้นี้เอาไว้และเขาถูกชะตากับนาง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยศิษย์ดีๆเช่นนี้ไปอย่างแน่นอน
“ใช่ เขาคือคนรักของข้า”
“ท่านลุง ข้าถามท่านได้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหนกัน? ห่างจากเมืองเฮ่อมากเท่าไหร่?”
“เมืองเฮ่อ?”
อวิ๋นเฮ่อเทียนลูบเคราสีขาวยาวเหยียดของตนเอง
“ไกลมาก! จากหุบเขาฝูไปยังเมืองเฮ่อ ต้องขี่ม้าราวครึ่งเดือน ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บยังไม่หายดี หากต้องการไปเมืองเฮ่อก็ยิ่งไกลเข้าไปใหญ่”
“ต้องเดินทางราวครึ่งเดือน?” เชียนเย่เสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘หรือว่านางหมดสติไปราวครึ่งเดือนเชียวหรือ?’
มองออกว่าเชียนเย่เสวี่ยกำลังเกิดความสงสัย อวิ๋นเฮ่อเทียนจึงหัวเราะร่วน ‘ฮ่าๆ’ ออกมา
“ข้าประเมินจากความสามารถของเจ้าในตอนนี้นะสิ แต่หากว่าเป็นข้าละก็ ก็คงใช้เวลาเพียงแค่สามสี่วันเท่านั้น”
“สามสี่วัน?!” ได้ยินเช่นนั้นเข้า เชียนเย่เสวี่ยถึงได้ตั้งใจเพ่งมองดูชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครั้ง
นางมองระดับขึ้นวรุทธ์ของเขาไม่ออก แต่รอบกายของเขามีแสงสีเขียวอ่อนๆแผ่ซ่านอบอวนออกมาตลอดเวลา
“ข้าสามารถถามระดับขั้นวรยุทธ์ของท่านได้หรือไม่?” เชียนเย่เสวี่ยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือ แต่ว่า ฝีมือเขาอยู่ในระดับไหน นั่นคือสิ่งที่นางอยากรู้
สำหรับคำถามของเชียนเย่เสวี่ย อวิ๋นเฮ่อเทียนกล่าวตอบมาว่า
“เจ้าลองทายดูสิ!”
“หา——” ลุงผมขาวกำลังแอ๊บแบ๊ว มันช่างให้ความรู้สึกขัดแย้งยังไงชอบกล
แต่ทว่า เชียนเย่เสวี่ยมีความรู้สึกว่าบุคคลตรงหน้าของนางจะต้องเก่งกาจและยอดเยี่ยมอย่างมากเป็นแน่ เพราะพลังวิเศษของเขามิได้เคลื่อนไหวไปมา ไม่มีรัศมีความร้ายกาจ ไม่รู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเขาราวกับเบาสบาย ไม่ทุกข์ร้อนหรือตื่นตระหนกใดๆ
ซึ่งมีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นจึงจะมีสง่าราศีเช่นนี้ได้!
“ท่านคงจะไม่ใช่เทพอาวุโสใช่ไหม?” เชียนเย่เสวี่ยรวบรวมความกล้า คาดเดาระดับขั้นของวรยุทธ์ที่สูงสุดในใจของตนเองออกไป
“ฮ่าๆ!” อวิ๋นเฮ่อเทียนหัวเราะออกมา ดูจากดวงตาเรียวเล็กราวหงส์ที่ท่าทางร้ายกาจคู่นั้นของเชียนเย่เสวี่ย เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า แม่นางน้อยผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
“ข้าสูงกว่าเทพอาวุโสอีกหน่อย!” อวิ๋นเฮ่อเทียนชูหนึ่งนิ้วขึ้นมา
เหนือกว่าเทพอาวุโส นั่นก็คือระดับราชันย์…
‘สูงกว่าเทพอาวุโสหนึ่งขั้น ปราชญ์ราชันย์หรือ?’
เห็นท่าทางตื่นตะลึงของเชียนเย่เสวี่ยแล้ว อวิ๋นเฮ่อเทียนก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตด้วยความสมถะ แต่ก็หายากนักที่จะได้พบ หน่อเนื้อชั้นดี หากว่ายังปิดบังอมพะนำความสามารถของตนเอาไว้ จนอีกฝ่ายไม่ยอมกราบเขาเป็นอาจารย์แล้วหนีไปจะทำอย่างไร?
“ท่านคือท่านคือปราชญ์ราชันย์?”
“แม่นางน้อย เจ้าสายตาแหลมคมไม่เบา!” อวิ๋นเฮ่อเทียนกล่าวยิ้มๆ
หา!
ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคือปราชญ์ราชันย์ บุญหล่นทับแท้ๆเลยทีเดียว! เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของเชียนเย่เสวี่ยก็เป็นประกายแวววาว
“ท่านราชันย์ ท่านยังขาดคนอยู่หรือไม่? ต้องการเด็กยกน้ำชาคนตักน้ำ หรือคนรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูบ้างหรือเปล่า? ข้าทำได้ทุกอย่าง ท่านให้ข้าอยู่ที่นี่เถอะนะ! ขอเพียงท่านยินยอมสะเวลาว่างอันมีค่ามาชี้แนะข้าสักครึ่งกระบวนท่าก็ยังดี เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว!”
สิ่งที่เชียนเย่เสวี่ยร้องขอ เป็นสิ่งที่อวิ๋นเฮ่อเทียนต้องการพอดี
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ขาดแคลนคนรับใช้ ที่ขาดคือลูกศิษย์ต่างหาก
แต่ทว่า อวิ๋นเฮ่อเทียนก็ต้องการที่จะทดสอบนิสัยใจคอของเชียนเย่เสวี่ยเช่นกัน เพราะการรับลูกศิษย์ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตทีเดียว
เกิดว่าอีกฝ่ายมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่นิสัยใจคอกลับเลวทรามต่ำช้า ภายภาคหน้าเมื่อมีวรยุทธ์ที่แก่กล้าแล้ว ไปก่อกรรมทำเข็ญ ทำร้ายผู้คน มิเท่ากับเข้าสร้างกรรมไปด้วยหรอกหรือ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวิ๋นเฮ่อเทียนจึงพนักหน้าด้วยท่าทีที่ขึงขัง
“ก็ดี เจ้าอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว จนกว่าเจ้าจะหายดี! จริงสิ คนรักของเจ้าอยู่ที่เมืองเฮ่อหรือ? เจ้าไม่อยากที่จะพบกับคนรักของเจ้าเร็วๆ หรอกหรือ?”