เช้าวันรุ่งขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนน่าตาอิ่มเอมเปรมปรีด์ ท่าทางสดชื่นแจ่มใส ตัดภาพไปที่อวี้เฟยเยียน ที่อ่อนระโหยโรยแรง ง่วงงุนงัวเงียราวกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน
หวนนึกถึงตอนท้ายของเหตุการณ์เมื่อคืนที่อวี้เฟยเยียนอ้อนวอนเขาจนกระทั่งเสียงแหบแห้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนำน้ำผึ้งหวานมาป้อนให้นางถึงปากด้วยวิธีการปากต่อปากอย่างเอาใจ เพื่อให้อวี้เฟยเยียนดื่มน้ำผึ้งลงไปได้อย่างสบาย
“แมวน้อย นอนเสียเถอะ! ลำบากเจ้าแล้ว!” ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ลิ้นละเลียดหยาดน้ำผึ้งหวานที่ยังหลงเหลือบริเวณมุมปากของอวี้เฟยเยียนอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงค่อยผละออก เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตู
“น้องเขย น้องสาวละ?”
ตี้อู่เฮ่ออี้ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อเข้าไปตรวจอาการของหลิวเซิ้ง ซึ่งหลังจากที่กินยา ก็สามารถควบคุมพิษในตัวของหลิวเซิ้งเอาไว้ได้ ส่วนบาดแผลที่บ่าและฝ่ามือของเขาก็ฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก จึงคิดว่าจะเข้ามาแจ้งข่าวดีนี้ให้อวี้เฟยเยียนได้รับรู้ ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องของอวี้เฟยเยียน กลับถูกซย่าโหวฉิงเทียนขวางเอาไว้
“แมวน้อยยังนอนหลับอยู่ มีเรื่องอะไรบ่ายคล้อยค่อยว่ากัน! “
“ส่ายป่านนี้แล้วนางยังนอนอยู่อีก?” ตี้อู่เฮ่ออี้แปลกใจเล็กน้อย
“หรือว่าสองสามวันมานี้รีบเร่งเดินทางจนน้องสาวเหน็ดเหนื่อยเกินไป? เช่นนั้นบ่ายสักหน่อยข้าค่อยมาหานางก็แล้วกัน!”
ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวจบก็หมุนกายเดินกลับออกไป ทว่ากลับถูกซย่าโหวฉิงเทียนเรียกเข้าไปคุยกันในที่ลับตาคน
“เฮ่ออี้ ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ทำอย่างไรถึงจะมีเจ้าเด็กเปรตได้ง่ายขึ้น” ซย่าโหวฉิงเทียนท่าทางหน้าตาขึงขัง แต่ใบหูที่แดงเถือกของเขากำลังบ่งบอกความในใจของเขาอย่างหมดเปลือก
“มีเจ้าเด็กเปรต?” ตี้อู่เฮ่ออี้ได้ฟังคำถามก็ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน กว่าจะเข้าใจในที่สุด
“น้องเขย เจ้าหมายความถึงตั้งท้อง ให้กำเนิดบุตรนะหรือ!”
“อื้ม!” ซย่าโหวฉิงเทียนกระอ้อมกระแอ้มตอบท่าทางเหนียมอาย
“เรื่องนี้ไม่ยาก!” ตี้อู่เฮ่ออี้ขยับเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ข้างหูซย่าโหวฉิงเทียน เมื่อได้ฟังคำแนะนำของตี้อู่เฮ่ออี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็พยักหน้าเป็นพัลวัน
ที่แท้แล้ว เข้าทางด้านหลังจะทำให้มีโอกาสตั้งท้องได้มากขึ้น! เมื่อคืนนี้เขาได้ปฏิบัติการท่านี้ไปแล้ว! ต่อไปจะต้องทำให้สม่ำเสมอ!
หลังจากที่เสร็จกิจแล้ว ให้ใช้หมอนรองที่ก้นค้างไว้ครึ่งชั่วยาม! ข้อนี้เห็นทีต้องนำไปปฏิบัติ!
……
ซย่าโหวฉิงเทียนฟังไปก็พยักหน้าตามไปด้วย เขาจดจำคำพูดของตี้อู่เฮ่อจนขึ้นใจ
“น้องเขย เจ้าและน้องสาวต่างก็เก่งกาจด้วยกันทั้งคู่ ลูกของพวกเจ้าออกมาจะต้องน่ารักมากเป็นแน่ๆ!”
เมื่อเอ่ยถึงเด็กขึ้นมา ดวงตาของตี้อู่เฮ่ออี้ก็เปล่งประกาย
“จริงสิ! เจ้าคงจะยังไม่รู้วิธีการดูแลหญิงตั้งครรภ์สินะ! ช่วงสองสามวันนี้ข้าจะหาเวลารวบรวมข้อควรรู้และข้อควรระวังต่างๆให้กับท่าน ท่านจงศึกษาเอาไว้ให้มาก!”
“ดี!”
ซย่าโหฉิงเทียนที่แสนจะบ้าดีเดือดและเ**้ยมโหดในเวลาปกติ ในตอนนี้กลับเรียบร้อยราวกับนักเรียนตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น และในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ โรคคลั่งวิชาการของตี้อู่เฮ่ออี้จึงกำเริบขึ้นอีกครั้ง เขาแจกแจงความรู้มากมายให้กับซย่าโหวฉิงเทียน
ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งหวาดหวั่นในใจ คำบอกเล่าของตี้อู่เฮ่ออี้ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนจินตนาการไปไกลว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์คือวัตถุที่แตกหักได้ง่าย ไม่ว่าจะหยิบยกหรือจะวางลงก็ต้องเบามือ
‘ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์คือวัตถุที่แตกหักได้ง่าย จะต้องระวังให้มาก’
ดังนั้น หลังจากที่เรียนรู้มาทั้งบ่าย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงจดจำได้เพียงแค่ประโยคนี้เท่านั้น จวบจนกระทั่งบ่ายคล้อย อวี้เฟยเยียนตื่นขึ้นมา จึงสัมผัสได้ถึงสีหน้าท่าทางที่แปลกออกไปของซย่าโหวฉิงเทียน
“เป็นอะไรไป?” อวี้เฟยเยียนแปรงผมด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“แมวน้อย หากว่าเจ้าตั้งท้องละก็ เจ้าจะต้องบอกกับพี่นะ!”
นับตั้งแต่ที่มาถึงเมืองอู๋โยว เขาก็มักจะฝึกปรือวรยุทธ์กับอวี้เฟยเยียนเสมอ และทุกครั้งก็มักจะจับนางทุ่มหรือโยนออกไปอย่างรุนแรง นั่นทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนวิตกกังวลเป็นอย่างมาก โชคดีที่ในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนยังไม่ได้ตั้งท้อง!
หากว่านางตั้งท้องอยู่ แล้วเขาลงมือรุนแรงถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอวี้เฟยเยียนอาจต้องกลายเป็นดั่งเช่นที่ตี้อู่เฮ่ออี้บอก——หนึ่งศพสองชีวิต!
‘น่ากลัวเหลือเกิน!’
หากตี้อู่เฮ่ออี้รู้ว่าหลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนได้ฟังบทเรียนจากเขาแล้วกลายเป็นกระต่ายตื่นตูมหวาดกลัวสงสัยไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ละก็ เขาจะต้องรีบก้าวออกมาขอโทษน้อมรับความผิดต่อหน้าอวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน
น้องเขย เจ้าก็อย่าจินตนาการเก่งกาจเพียงนั้นจะได้ไหมเล่า!
“แน่นอนสิ! ข้าจะต้องบอกท่านทันทีอยู่แล้ว!” อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมา
เมื่อได้รับการรับรองจากนาง ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เบาใจ
ดีที่แมวน้อยเองก็เป็นหมอ มิฉะนั้นเกิดนางเลอะเลือนขึ้นมา ส่วนเขาก็ทำตามนางโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆจนเกิดเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงขึ้น ผลร้ายที่ตามมาเขาแทบไม่อยากคิดเลย!
ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็คลายความกังวลลงได้แล้ว แต่ทว่าคิ้วของเขายังคงขมวดกันเป็นปมอยู่ ซึ่งอวี้เฟยเยียนดูท่าแล้ว เขาข่างเหมือนกับกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะกังวลก่อนตั้งครรภ์ ไม่มีผิด’
‘แต่จะว่าไป ไอ้ภาวะนี้มิใช่ว่าผู้หญิงจึงจะเป็นหรอกหรือ?’
‘ซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นชายอกสามศอกตัวโต จะมาเป็นกังวลอะไรกันเล่า!’
การต่อสู้เมื่อวานนี้ ทำให้ประชาชนชาวเมืองเฮ่ออุ่นใจยิ่งนัก
สุนัขของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเก่งกาจถึงขนาดสังหารราชาอาวุโสตามอำเภอใจได้ แล้วสามีภรรยาคู่นี้จะเ**้ยมโหดเก่งกาจเพียงไหนกัน!
ดังนั้น เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับครอบครัวของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น(ซึ่งประกอบด้วย ซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียน หานจื่อ) จึงถูกเล่าปากต่อปากจนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของอู๋โยวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าบอสใหญ่ของเมืองเฮ่อจะถูกเปลี่ยนมือ แต่ลูกน้องใต้อาณัติของซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่มีใครที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านใช้อำนาจบาตรใหญ่เลยสักคน
หลิวเซิ้งกำหนดข้อกำหนดในการจ่ายภาษีอย่างเป็นธรรม ไม่มีการขึ้นค่าภาษีเป็นเท่าตัวเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด
สำหรับประชาชนทั้งหลายแล้ว วิถีชีวิตของพวกเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามการดับสูญของสกุลหนานกงแต่อย่างใด ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นก็สำเร็จถึงเทพอาวุโสทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่น ยิ่งทำให้ผู้คนนับถือสรรเสริญในความสามารถของเขามากขึ้นไปอีก
ดังนั้น แม้ว่าจู่ๆประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะปรากฎตัวออกมาแย่งชิงเอาเขตแดนของสกุลหนานกงไป ทำให้เมืองอู๋โยววุ่นวายไปไม่น้อย แต่สำหรับประชาชนที่เดิมทีอาศัยอยู่ในเขตแดนของสกุลหนานกงอยู่แล้วนั้น กลับเป็นตรงกันข้ามเพราะพวกเขาต่างก็คาดหวังว่าประมุขคนใหม่จะสามารถนำพาพวกเขาไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดียิ่งขึ้นต่างหาก
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยสันทัดเรื่องการบริหารจัดการ หลิวเซิ้งในฐานะที่เป็น ‘ที่ปรึกษาชั้นสูง’ ของเขา จึงต้องรับผิดชอบดูแลจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในเขตแดนทุกอย่าง
แม้ว่าดวงตาของหลิวเซิ้งจะยังบาดเจ็บ แต่กระทั่งในเวลานี้ เขาก็ยังคงทำงานไม่หยุด
หลังจากที่อวี้เฟยเยียนตรวจอาการของเขาแล้ว ก็ยังกำชับเขาอีกครั้งว่าให้กินยาตรงเวลา เพราะ ‘กวนอิมยิ้ม’ พิษชนิดนี้ยังคงรวมตัวอยู่ที่ดวงตาทั้งสองของหลิวเซิ้ง ซึ่งอวี้เฟยเยียนวางแผนเอาไว้ว่าอีกสามวันให้หลังจะฝังเข็มขับพิษให้กับเขา
สำหรับเรื่องของหนานกงจื่อหลิง ตี้อู่เฮ่ออี้รู้เรื่องราวบางส่วน เขาเข้าไปตรวจสอบร่างของหนานกงจื่อหลิงโดยมีซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเป็นผู้นำทาง
“ศพถูกเก็บรักษาเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม! ราวกับคนกำลังนอนหลับอย่างไรอย่างนั้น!” หลังจากที่ตี้อู่เฮ่ออี้ได้ตรวจศพของนางหนานกงจื่อหลิงโดยละเอียดแล้ว ก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้
“เตียงน้ำแข็งและมุกคงกระพันช่างเป็นของดีจริงๆ! นึกไม่ถึงเลยว่าของเหล่านี้จะตกอยู่ในมือของสกุลหนานกง!”
“พี่ หลิงเอ๋อร์ยังมีทางช่วยหรือไม่?” อวี้เฟยเยียนได้เอ่ยถามในสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนต้องการรู้มากที่สุดออกไป
“เผ่าตันมีวิชาชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตายจริงหรือ?”
“แม้ว่าภายนอกจะเล่าลือกันไปเช่นนั้น แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยได้ยินท่านปู่และท่านพ่อพูดถึงมาก่อน!”
ตี้อู่เฮ่ออี้ส่ายหน้าเบาๆ
“อีกทั้ง บาดแผลของหลิงเอ๋อร์อยู่ที่หัวใจ ต่อให้มีวิชาชุบชีวิตจริง แต่การที่หัวใจได้รับความเสียหาย จึงไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตามหลักการแพทย์แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้!”