สุ่ยฮั่วอีขมวดคิ้วแน่น วินาทีนั้นเขาถึงกับคิดอะไรไม่ออก
“แล้วเจ้าว่าควรจะทำอย่างงไรดี?” รอจนกระทั่งสุ่ยฮั่วอีกล่าวถามความคิดเห็นของตน หลิวอวี๋เซิ้งถึงค่อยกระแอ้มเสียงให้ชัดเจนก่อนตอบว่า
“ข้าน้อยคิดว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสมควรตาย! แต่หากต้องการจะฆ่าเขาให้สำเร็จ จำเป็นจะต้องล่อเสือออกจากถ้ำ!”
‘ล่อเสื้อออกจากถ้ำ ฟังดูแล้วเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว!’
สุ่ยฮั่วอีสั่งให้ทุกคนถอยออกไปเหลือเอาไว้เพียงสุ่ยเจ๋อซีเท่านั้น
หลังจากที่ได้ฟังแผนการของหลิวอวี๋เซิงอย่างละเอียดแล้ว ก็ทำให้สุ่ยฮั่วอีและสุ่ยเจ๋อซีต้องครุ่นคิดอย่างหนัก
“เจ้าบอกว่า เจ้าจะแสร้งร่วมมือกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น โดยใช้สกุลสุ่ยเป็นเหยื่อ ล่อให้ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นออกมา?”
สุ่ยฮั่วอีไตร่ตรองแผนการของหลิวอวี๋เซิงโดยละเอียด ก็รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่ไม่เลวทีเดียว
ในเมื่อประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นถึงกับใช้วิธีการเช่นนั้นเหยียดหยามสุ่ยเจ๋อหนาน ช่วยเหลือตี้อู่เฮ่ออี้และอวี้ซิงฉงหลบหนี เขาย่อมต้องไม่เชื่อใจ ยอมร่วมมือกับสกุลสุ่ยอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องล่อหลอกนี้จึงต้องให้เป็นหน้าที่ของสกุลหลิวออกหน้า
“หากว่าสามารถล่อประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมาถึงเมืองลู่ได้ละก็ การที่จะฆ่าเขา ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”
“แผนการนี้ไม่เลว ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!” สุ่ยฮั่วอีตัดสินใจทันที
สำหรับการวางแผนการโดยละเอียดให้เป็นหน้าที่ของสุ่ยเจ๋อซีและหลิวอวีเซิงปรึกษาหารือกัน
พวกเขาทั้งสองคนวางแผนหารือกันอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ แล้วจึงรายงานให้กับสุ่ยฮั่วอีได้รู้
แผนการก็คือ หลิวอวี๋เซิงออกหน้าตกลงกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น เพื่อนัดแนะเวลาเข้าโจมตีสกุลสุ่ย รอให้ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นออกจากเมืองเฮ่อ กองทัพของสกุลสุ่ยจึงค่อยยกพลโจมตีเมืองเฮ่อ ชิงเขตแดนของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นออกมาให้ได้ ส่วนสุ่ยฮั่วอีรอประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นอยู่ที่เมืองลู่
เมื่อเขาเดินทางมาถึงเมืองลู่ ถึงตอนนั้นค่อยปิดประตูตีแมว สังหารประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นให้ตายเสียเลย!
เพื่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนหลงกล หลิวอวี๋เซิงจึงนำยอดฝีมือจำนวนหนึ่งเดินทางมายังเมืองลู่ด้วย
สำหรับเรื่องเขตแดนของสกุลหนานกงจะจัดสรรแบ่งส่วนกันอย่างไรนั้น สรุปแล้วผู้ที่สังหารประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือบรรพชนเฒ่าของสกุลสุ่ย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของตน หลิวอวี๋เซิงนอกจากแบ่งเขตแดนส่วนอื่นทุกอย่างคนละครึ่งกับสกุลสุ่ยแล้ว เขาจึงยังจะยกเมืองเฮ่อให้กับสกุลสุ่ยอีกด้วย
“ไม่เลว! ดีมากๆ!” สุ่ยฮั่วอียิ้มยินดีจนเผยให้เห็นฟันที่เหลืองต้อย
เขาไม่เชื่อหรอกว่า สองตระกูลร่วมมือกันจะกำจัดประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นไม่ได้!
หากการนี้สำเร็จ เขตแดนของสกุลสุ่ยจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก แม้ว่าอาณาเขตของสกุลหนานกงจะไม่มาก แต่อย่างไรเสียยุงที่ว่าเล็กก็ยังมีเนื้ออยู่วันยังค่ำ แล้วเขาจะรังเกียจได้อย่างไรกัน!
เมื่อได้สกุลสุ่ยเป็นกำลังสนับสนุน หลิวอวี๋เซิงจึงกลับไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น เขาจึงไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าที่เบื้องหลังของตนมีเงาหนึ่งวูบผ่านไป
เมื่อชิงหงสืบข่าวจนได้รู้ก็รีบส่งข่าวกลับไปยังเมืองเฮ่อทันที เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้อ่านสาส์นนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา
หลิวอวี่เซิงคิดว่าเขาโง่หรือ!
“หลิวเซิ้ง เจ้าคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด หลิวอวี๋เซิงไปที่สกุลสุ่ยจริงๆ! เจ้านี่รู้จักเขาดีไม่น้อยทีเดียวนะ!” อวี้เฟยเยียนอ่านเนื้อความในจดหมาย ก็ถึงอมยิ้มบางๆ
“ข้าเข้าใจตัวข้าเองต่างหาก——” หลิวเซิ้งหรี่ตาลง ตอนนี้ดวงตาของเขายังสู้แสงแรงๆไม่ได้ จึงทำได้เพียงเก็บตัวอยู่ภายในห้องเท่านั้น
“ข้าก็เป็นคนของสกุลหลิวเช่นกัน หากข้าเป็นหลิวอวี๋เซิง จากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ ข้าก็ย่อมต้องกระทำเช่นเดียวกันกับเขา!”
“ข้าจะไปฆ่ามัน!” ซย่าโหวฉิงเทียนทำอะไรเพียงลำพังเสียจนเคยชิน จึงไม่สนใจการร่วมมือกับผู้อื้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า คราวนี้หลิวเซิ้งต้องการจะร่วมมือกับสกุลหลิวให้ได้ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะซย่าโหวฉิงเทียนรู้จักหลิวเซิ้งดี จึงรู้ว่าการที่เขาทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
“ที่เจ้าให้ข้ารับปากร่วมมือกับสกุลหลิว เป็นเพราะว่าเจ้ามีแผนการตลบหลังสกุลหลิว?”
ซย่าโหวฉิงเทียนมองไปที่หลิวเซิ้งขณะที่กล่าวออกมา
“ท่านอ๋อง จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก! หากว่าสกุลหลิวไม่คิดเล่นตุกติกก่อน แล้วจะถูกตลบหลังได้อย่างไรกัน! จะพูดให้ถูกต้องก็ต้องก็คือ จิตใจของมนุษย์โลภมากไม่สิ้นสุด ดั่งงูคิดจะกินช้าง ตรงกันข้ามกลับทำร้ายทั้งผู้อื่นและทำร้ายตนเอง ต่างหาก!”
หลิวเซิ้งยิ้มจนตาหยี มองดูคล้ายกลับจิ้งจอกยิ่งนัก
มีหลิวเซิ้งอยู่ข้างกายคอยวางแผนการให้กับซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่านับเป็นโชคดีของซย่าโหวฉิงเทียนโดยแท้
สำหรับผู้ที่มีนิสัยตรงไปตรงมาอย่างซย่าโหวฉิงเทียน หลิวเซิ้งจึงเป็นดั่งก้านหลิวที่มีความยืดหยุ่นสูงและเจ้าแผนการ ซึ่งเป็นนิสัยที่ตรงกันข้ามกับตัวเขา จึงสามารถส่งเสริมกันและกันได้เป็นอย่างดี หลิวเซิ้งคือขุนศึกนักวางแผนคนหนึ่ง
เมื่อคนทั้งสองร่วมมือกัน จึงนับเป็นทีมที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก!
ในเมื่อสกุลสุ่ยและสกุลหลิวร่วมมือกัน เรื่องนี้ก็ง่ายดายขึ้นมาในทันที
ครั้นเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมา ว่าให้เขาไปจัดการบรรพชนเฒ่าสกุลสุ่ย สุ่ยฮั่วอีที่เมืองลู่ ส่วนนางจะอยู่เฝ้าเมืองเฮ่อ เขาก็คัดคานขึ้นมาทันที
“พี่จะไม่ทิ้งเจ้าเอาไว้เด็ดขาด!”
ตอนนี้ข้างกายของซย่าโหวฉิงเทียนเหลือเพียงสองคนที่สามารถช่วยงานได้ พวกของเสิ่นถูเลี่ยกำลังเก็บตัวฝึกวิชาเตรียมสำเร็จขั้น ส่วนหลิวเซิ้งดวงตาก็ยังไม่หายดี ต่อให้รวมกับเสวี่ยเยี่ยนและชิงหง ข้างกายของอวี้เฟยเยียนก็ยังคงมีคนอยู่ด้วยเป็นจำนวนน้อยอยู่ดี
ซย่าโหวฉิงเทียนจะยอมให้อวี้เฟยเยียนเสี่ยงอันตรายได้อย่างไรกัน!
“ฉิงเทียน ท่านฟังที่ข้าจะพูดก่อนน่านะ!” อวี้เฟยเยียนดึงมือของซย่าโหวฉิงเทียนเขย่าไปมาพร้อมกับยิ้มอย่างออดอ้อน
“ข้า ชิงหง เสวี่ยเยี่ยน หานจื่อ พวกเราสี่คนจะรักษาเมืองเฮ่อเอาไว้เอง! เจ้าก็วางใจไปจัดการกับสุ่ยฮั่วอีเถอะ!”
“อีกอย่าง เจ้าอย่าลืมนะว่าข้านะเป็นหมอ วิชาพิษของข้าที่เมืองอู๋โยวแห่งนี้ถือเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง”
“ไม่ได้!” ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายหน้า
ต่อให้อวี้เฟยเยียนจะรับประกันเป็นหมั้นเป็นเหมาะอย่างไร แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็มิอาจวางใจได้อยู่ดี ซย่าโหวฉิงเทียนสามารถใช้วิธีการที่โหดร้ายกับคนของเขาได้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง แต่ไม่อาจใจร้ายกับอวี้เฟยเยียนได้
“ในสายตาของเจ้า ข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซย่าโหวฉิงเทียนที่ดื้อดึง อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับจนปัญญา
หากว่านางเดินทางไปพร้อมกันกับซย่าโหวฉิงเทียน เมืองเฮ่อก็จะขาดคนไปอีกหนึ่งคน เสิ่นถูเลี่ย อวี้ซิงฉง หมีเยว่ อาหูและตี้อู่เฮ่ออี้ พวกเขาก็กำลังเก็บตัวฝึกวิชา จึงต้องมีใครสักคนคอยรักษาการณ์ดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่นี่ให้กับพวกเขา ซึ่งจะมีเพียงชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนสองคนไม่เพียงพอ!
อีกอย่าง หากนางติดตามอยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียน เกิดถูกบรรพชนเฒ่าของสกุลสุ่ยจับได้ แล้วใช้นางมาข่มขู่ซย่าโหวฉิงเทียนละก็ จะทำอย่างไรกัน?
อวี้เฟยเยียนคิดไตร่ตรองหน้าหลังแล้วก็คิดว่าตนเองอยู่รักษาการที่เมืองเฮ่อนี่ คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด
เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนเล่าซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ยินยอม หลิวเซิ้งถึงได้เอ่ยปากโน้มน้าวเขาว่า
“ท่านอ๋อง ทำตามอย่างที่ฮูหยินบอกเถอะ! หากว่าฮูหยินไม่เติบโตเสียที ก็จะตามท่านไม่ทันนะขอรับ”
คำพูดของหลิวเซิ้งเป็นความจริงอย่างที่สุด
ตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนสำเร็จถึงขั้นปลายของเทพอาวุโสแล้ว ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงยังห่างชั้นเขาอยู่อีกมาก
หากว่าอวี้เฟยเยียนยังคงไม่สำเร็จขั้นที่สูงขึ้นไปอีกละก็ นางจะกลายเป็นตัวถ่วง กลายเป็นจุดอ่อนของซย่าโหวฉิงเทียนทันที
“หลิวเซิ้งกล่าวได้ถูกต้อง! ฉิงเทียน ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานข้าก็จะก้าวผ่านขั้นปราชญ์อาวุโสแล้ว ศึกในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับข้า เจ้าก็คิดเสียว่าส่งเสริมข้า ได้หรือไม่!”
อวี้เฟยเยียนใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนยินยอม
“ข้าอยากที่ก้าวหน้าและล่าถอยพร้อมกับเจ้า อยากที่จะเป็นต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านเฉียดฟ้า ไม่อยากเป็นเถาวัลย์ที่เอาแต่พันเกี่ยวเลี้ยวลดเป็นตัวถ่วงความเจริญของเจ้า! หากว่าความอ่อนแอของข้าทำให้ท่านต้องเดือดร้อน ต้องกลายเป็นจุดอ่อนที่ศัตรูหยิบมาใช้ข่มขู่ท่าน เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าไปตายยังดีเสียกว่า”