มีคนผ่านการบำเพ็ญทุกกรกริยา จนสำเร็จปราชญ์ราชันย์ ข่าวนี้ สร้างความตื่นตระหนกให้แก่สกุลหลิวและนักรบสกุลสุ่ยเป็นอย่างมาก
ปราชญ์ราชันย์คนใหม่คือใครกันแน่?
ทิศทางที่เกิดสายฟ้าแห่งเคราะห์ ราวกับมาจากเมืองลู่
สุ่ยเจ๋อซีแอบคิดเล่นๆว่า ‘จะใช่บรรพชนเฒ่าของตนสังหารซย่าโหวฉิงเทียน แล้วสำเร็จขั้นหรือเปล่านะ?’
แต่เมื่อคิดได้ว่าบรรพชนเฒ่าของตนสำเร็จเพียงปราชญ์อาวุโสขั้นเจ็ด ยังห่างไกลจากขั้นปลายอยู่อีกมากโข แล้วจะสำเร็จได้รวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร นั่นจึงทำให้สุ่ยเจ๋อซีใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ
‘คงจะมิใช่ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสำเร็จขั้นกระมัง?’
สุ่ยเจ๋อซีถูกจินตนาการของตนเองหลอกหลอนจนขวัญผวา
แต่ในวินาทีต่อมา เข้าก็ปฏิเสธความคิดนี้ในทันที
‘จะเป็นไปได้อย่างไร!’
ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่นยังหนุ่มแน่นเพียงนั้น แล้วจะสำเร็จขั้นเป็นปราชญ์ราชันย์ได้อย่างไร ช่างน่าขบขันยิ่งนัก
‘ไม่รู้ว่าทางด้านสกุลสุ่ยนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง สุ่ยเจ๋อซีก็ร้อนใจยิ่งนัก’
เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของสุ่ยเจ๋อซีแล้ว หลิวอว้าวกว๋อก็ออกอาการไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก
ขุนศึกที่เดินทางมาที่เมืองเฮ่อ ล้วนเป็นขุนพลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสกุลสุ่ย ทั้งหมดยี่สิบสองคน
‘รวมกับนักรบจากสกุลหลิวอีกสิบห้าคน ทั้งหมดสามสิบห้าคน มีสองในนั้นคือราชาอาวุโส มีสิบสี่คนเป็นจักรพรรดิอาวุโส สิบเก้าคนคือปราชญ์อาวุโส กำลังพลที่แข็งแกร่งเพียงนี้ มีอะไรให้น่ากังวลใจอีก!’
“ผู้เฒ่าสาม ท่านดูนั่นสิ!”
ในตอนนั้นเอง สุ่ยเจ๋อซีก็เหลือบไปเห็นประตูเมืองเฮ่อยังคงเปิดกว้างอยู่
‘น่าแปลกตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เหตุใดยังไม่ปิดประตูเมืองอีก?’
‘อีกอย่าง ต่อให้ทุกคนนอนหลับกันไปหมดแล้ว แต่ประชาชนก็ยังต้องเลี้ยงสุนัข เลี้ยงไก่ เลี้ยงนกอะไรบ้าง แล้วเพราะอะไรเมืองเอ่อถึงได้เงียบเชียบปานนี้’
‘มันผิดปกติยิ่งนัก’
‘ที่นี่จะต้องวางกับดักเอาไว้อย่างแน่นอน!’
ความรู้สึกแรกของสุ่ยเจ๋อซีกำลังบอกกับเขาว่าความไม่สงบในใจนี้คืออันตรายอย่างหนึ่ง
เมืองทั้งเมืองมืดสนิท ราวกับสัตว์ร้ายกำลังอ้าปากเตรียมรอตะครุบเหยื่อเฉกเช่นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ไม่สบายใจเอาเสียเลย
“เช่นนั้นท่านว่าควรจะทำอย่างไรดี?” หลิวอ้าวหลานโกรธเคืองเป็นอย่างมากกับอาการถอยกลางคันของสุ่ยเจ๋อซี
‘พวกเขานำกำลังคนมาตั้งมากมาย แต่ละคนล้วนแต่มีความสามารถที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น แล้วสุ่ยเจ๋อซีกำลังหวาดกลัวอะไรกันแน่!’
“พรุ่งนี้ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!” หลิวอ้าวกว๋อไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ แต่สุ่ยเจ๋อซีกลับรู้เรื่องทุกอย่างดี เจ้าหนุ่มชาวตันซ้ายผู้นั้นอยู่ที่เมืองเฮ่อแห่งนี้ด้วย
หลังจากที่สุ่ยเจ๋อซีกลับถึงจวนสกุลสุ่ยแล้ว เห็นกับตาตนเองว่าสุ่ยจูเอ๋อร์มีสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนั้น ก็รู้สึกหวาดผวากับวิชาแพทย์ของเขายิ่งนัก
เมืองเฮ่อที่เงียบงัน ไม่แน่นะว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้อยู่ถึงการมาของเขาล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงโยกย้ายชาวเมืองออกไป
ตอนที่ทุกทิศทางปกคลุมเอาไว้ด้วยความมืดมิด ยังไม่รู้เลยว่าภายในเมืองเฮ่อจะวางกับดักอะไรเอาไว้
ตี้อู่เฮ่ออี้เป็นชาวตันซ้าย ไม่ว่าจะเป็นยาดีหรือยาพิษเขาล้วนแต่เชี่ยวชาญทั้งสิ้น
เกิดว่าตี้อู่เฮ่ออี้เตรียมยาพิษมากมายเอาไว้ตอนรับพวกละ ต่อให้พวกเขานำกำลังยอดฝีมือมาด้วยมากมาย แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนมีเลือดเนื้อ แล้วจะวิ่งเข้าชนกับพิษของตันซ้ายตรงๆได้อย่างไรกัน!
ยอดฝีมือของสกุลสุ่ยล้มตายไปมากมายพอแล้ว ดังนั้นสุ่ยเจ๋อจึงต้องระมัดระวังให้มาก
เนื่องจากในครั้งนี้เป็นการร่วมมือระหว่างสกุลสุ่ยและสกุลหลิว ซึ่งหลิวอวี๋เซิงมีแผนการเอาไว้ในใจตั้งแต่แรก ดังนั้นการที่สองตระกูลร่วมมือกันเข้าโจมตีเมืองเฮ่อในครั้งนี้ หลิวอวี๋เซิงจึงมอบอำนาจในการสั่งการให้กับสุ่ยเจ๋อซีเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของตนเองออกมา
ก่อนจะออกเดินทางมาที่นี่ หลิวอวี๋เซิงยังกำชับหลิวอ้าวกว๋อเป็นพิเศษว่า หากเกิดเหตุการณ์คับขันให้เชื่อฟังคำสั่งการของสุ่ยเจ๋อ
ดังนั้นเมื่อสุ่ยเจ๋อซีตัดสินให้เข้าโจมตีในวันพรุ่งนี้ ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อโมโหโกรธาจนหนวดกระดิกถลึงตาจ้องหน้าสุ่ยเจ๋อซีอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าตกลงเท่านั้น
แต่ทว่า ในใจของหลิวอ้าวกว๋อก็รู้สึกยินดีกับความคิดนี้ของสุ่ยเจ๋อซีเช่นกัน
เพราะหลังจากที่ออกเดินทางมาไม่นาน หลิวอ้าวกว๋อก็แอบส่งจดหมายแจ้งแก่หลิวเซิ้ง เพื่อให้เขารีบไปจากเมืองเฮ่อ
ก็ไม่รู้ว่าหลิวเซิ้งได้รับจดหมายแล้วหรือยัง!
เขาได้เขียนสถานที่นัดพบรวมทั้งวิธีการติดต่อสื่อสารเอาไว้ในจดหมายเป็นที่เรียบร้อย โดยหวังว่าหลิวเซิ้งจะฟังคำของเขา ไปจากเมืองเฮ่อที่กำลังจะพบกับหายนะแห่งนี้ทันที
ที่บนหอคอยเมืองเฮ่อ อวี้เฟยเยียนกำลังมองดูกลุ่มคนที่ท่าทางลับๆล่อๆกำลังจะลอบเข้ามาในเมืองในตอนแรก และทำลับๆล่อๆกลับออกไป ก็รู้ได้ในทันทีว่าคืนนี้พวกเขาจะไม่ก่อเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำ นางมองเห็นทุกอย่างแล้ว และนางก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่า เทพอาวุโสที่สำเร็จจนกลายเป็นปราชญ์ราชันย์คือซย่าโหวฉิงเทียน
เห็นทีว่าเขาคงจะจัดการเรื่องที่เมืองลู่สำเร็จลุล่วง และสุ่ยเจ๋อซีเองก็คงจะยังไม่รู้ว่าสกุลสุ่ยจบสิ้นแล้วเป็นแน่
“หานจื่อ อดทนเอาไว้!” เมื่อเห็นหานจื่อตะกรุยพื้นด้วยความไม่พอใจ อวี้เฟยเยียนจึงลูบศีรษะของมันเบาๆ
“แม่นางน้อย เหยื่ออันโอชะมาจ่อถึงปากและหลุดลอยไปแล้ว!”
หานจื่อใช้หัวแพะมือของอวี้เฟยเยียนด้วยความหัวเสีย
“มันรึอุตส่าห์รอคอยอยู่ทุกคืนทุกวัน รอให้เจ้าพวกคนเลวพวกนี้มารนหาที่ตายถึงที่ เพื่อที่มันจะได้กินให้อิ่มแปล้สักมื้อ ใครจะคาดคิดเล่าว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกขี้ขลาด!”
“น่าดูถูกชะมัด”
“อย่าเสียใจไปเลย พวกเรากลับไปนอนเอาแรงให้สบาย ให้ร่างกายสดชื่นเต็มพิกัด พรุ่งนี้เราจะมาทำศึกใหญ่ด้วยกัน!”
ท่าทางของหานจื่อสร้างความบันเทิงเริงใจให้กับอวี้เฟยเยียนยิ่งนัก หานจื่อในเวลานี้ราวกับเด็กที่กำลังเง้างอนไม่ได้ดั่งใจอย่างไรอย่างนั้น น่ารักจริงๆ
หลังจากที่อวี้เฟยเยียนโน้มน้าวอยู่พักใหญ่ หานจื่อก็ย่อตัวลงให้อวี้เฟยเยียนขึ้นนั่งบนหลัง และแล้วหนึ่งคนหนึ่งหมาก็มุ่งหน้ากลับโรงเตี้ยมเซียนเค่อทันที
“พวกเขาเข้ามาแล้วหรือยัง?” หลิวเซิ้งดื่มชา
“เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ช่วงกลางวันจะได้มองเห็นถนัดถนี่ จะได้ไม่ปล่อยให้ใครหลุดรอดไปได้”
“มา ข้าจะตรวจดวงตาให้กับเจ้า!” ดวงตาของหลิวเซิ้งกลบคืนสู่ภาวะเกือบจะปกติเต็มร้อย อวี้เฟยเยียนจึงปรุงยาที่เหมาะสมกับเขาให้ในรูปแบบน้ำชา ให้เขาดื่มทุกวัน
เมื่อแน่ใจว่าดวงตาของหลิวเซิ้งไม่มีอันตรายใดๆแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงได้คลายความกังวลลงไป
เสิ่นถูเลี่ย อวี้ซิงฉง หมีเยว่ อาหูและยังมีตี้อู่เฮ่ออี้กำลังเก็บตัวฝึกวิชายังไม่ออกมา กำลังในการต่อสู้ในตอนนี้ นอกจากนาง หลิวเซิ้งแล้ว ยังมีเสวี่ยเยี่ยน ชิงหง และหานจื่ออีกตัว
อีกทั้งอวี้เฟยเยียนยังได้แจ้งแก่ประชาชนชาวเมืองเฮ่อทั้งหลาย และอพยพพวกเขาออกไปเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าชาวบ้านที่มีวรยุทธ์หลายคนจะอยากอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือ แต่นักรบที่สกุลหลิวและสกุลสุ่ยนำมาในครั้งนี้ไม่ใช่นักรบธรรมดา ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงได้ปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาไป
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มีบ้านมีครอบครัว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สำหรับครอบครัวๆหนึ่งแล้วนับเป็นหายนะสูงสุดเลยทีเดียว
“พระชายา วันพรุ่งนี้ ไว้ชีวิตหลิวอ้าวกว๋อได้หรือไม่?”
ที่เบื้องหน้าของหลิวเซิ้ง มีจดหมายลับจากหลิวอ้าวกว๋อที่เขียนถึงเขาวางอยู่
ไม่ว่าจะอย่างไร ในใจของหลิวเซิ้งก็ยังเห็นแก่ความเป็นญาติอยู่บ้าง ถึงได้คิดเป็นห่วงเขา
แม้ว่าหลิวเซิ้งจะพยายามทำตนเองให้ใจแข็งดั่งหินผา แต่ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะต้องหวั่นไหวอยู่บ้าง
“ข้าเองก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของเขาอยู่แล้ว! แม้ว่าพวกเราจะอยู่คนละข้าง แต่เขาก็รักเจ้าด้วยความจริงใจ! เรื่องของหลิวอ้าวกว๋อให้เจ้าเป็นผู้จัดการก็แล้วกัน!”
“ขอบคุณครับ!” หลิวเซิ้งพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง
ค่ำคืนที่แสนยาวนานในที่สุดก็ผ่านพ้นไป ที่ปลายขอบฟ้าเริ่มมีแสงทองโผล่พ้นขึ้นมาบางเบา
เพียงแค่เสียงของพิราบสื่อสารที่บนอยู่เหนือศีรษะของสุ่ยเจ่อซี ก็ทำให้เขาที่นอนหลับไม่สนิทสะดุ้งตื่นได้ในทันที เขาฝันร้ายมาตลอดคืน และถูกเสียงร้องของพิราบสื่อสารปลุกให้ตื่นขึ้น
สุ่ยเจ๋อซีลุกยืน เขาจดจำได้ทันทีว่าพิราบสื่อสารตัวนั้นคือตัวที่สุ่ยฮั่วอีเลี้ยงเอาไว้ ก็รีบเรียกขานมันลงมาทันที
รอจนกระทั่งได้เห็นเนื้อหาของจดหมายที่พิราบสื่อสารส่งมา ก็ทำให้สุ่ยเจ๋อซีตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘บรรพชนเฒ่าสำเร็จปราชญ์ราชันย์!’
สวรรค์! สกุลสุ่ยกลายเป็นตระกูลที่มีปราชญ์ราชันย์คนที่สามของอู๋โยวไปแล้ว!