กำแพงแก้วแผ่นนี้กักตัวสุ่ยฮั่วอีเอาไว้ที่กลางเวหา ดังนั้นสุ่ยฮั่วอีจึงสามารถมองเห็นตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในสกุลสุ่ยได้ชัดถนัดถนี่
หลิวอวี๋เซิงดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง เขาสังหารหมี่หลานจนตายอยู่ที่เบื้องล่าง
เขาลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าหมี่หลานคือมารดาบังเกิดเกล้าของคุณนายใหญ่แห่งสกุลหลิว สุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์
ในเวลานี้ในดวงตาของหลิวอวี๋เซิงมีแต่ความคลั่งแค้น
น่าโมโห น่าโมโหยิ่งนัก!
สุ่ยฮั่วอีสีหน้าเหยเก จู่ๆประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นก็หันไปร่วมมือกับหลิวอวี๋เซิง เล่นไม้นี้ มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก
หากเขาไม่ฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนแล้วทำลายกำแพงแก้วออกไปละก็ ลูกหลานสกุลหลิวที่อยู่ในจวนจะต้องถูกฆ่าจนไม่เหลือรอดสักคนเป็นแน่!
“เด็กเมื่อวานซืน ตายเสียเถอะ!”
ลำแสงสีเหลืองแกมน้ำตาลโอบล้อมร่างของสุ่ยฮั่วอี พลังวิเศษของเขารวมตัวกันกลายเป็นร่างเต่าสีเหลืองน้ำตาลตัวหนึ่ง โดยมีสุ่ยฮั่วอียืนอยู่บนหลังของมัน
“บรรพชนฒ่กำลังจะสำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์?” มีบางคนร้องขึ้น
เทพอาวุโส สามารถสร้างกำแพงแก้วเป็นของตัวเองขึ้นมาได้ และลำดับของเทพอาวุโสยิ่งสูง ความสามารถในการควบคุมพลังวิเศษก็ยิ่งแข็งแกร่ง และสามารถทำให้พลังวิเศษรวมตัวกันเป็นรูปเป้นร่าง
แต่การที่ทำให้พลังวิเศษกลายร่างเป็นสัตว์ต่างๆ และสามารถควบคุมสัตว์ชนิดนั้นๆได้ มีเพียงขั้นปราชญ์ราชันย์เท่านั้นจึงจะทำได้
ตอนนี้พลังวิเศษของสุ่ยฮั่วอีกลายร่างเป็นเต่าตัวหนึ่งได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นระดับเทพอาวุโสขั้นเจ็ดขึ้นไปเชียวนะ!
ชาวบ้านที่เดิมทีสนับสนุนสกุลสุ่ย ต่างก็กำลังโห่ร้องอยู่ที่เบื้องล่าง
“บรรพชนเฒ่า ฆ่ามัน!”
“บรรพชนเฒ่า สู้ๆ!” เสียงโห่ร้องป่าวประกาศสนับสนุนด้วยความดีใจดังขึ้นจากเบื้องล่าง สุ่ยฮั่วอีจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แววตาของเขาราวกับกำลังบอกว่า
‘เจ้าหนุ่ม เห็นแล้วไช่ไหมเล่า! นี่ต่างหากที่เขาเรียกว่าความสามารถที่แท้จริง!’
“ที่แท้เจ้าก็เป็นไอ้ขี้ขลาดคนหนึ่ง!(เต่าให้ความหายว่าขี้ขลาด)” ซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะเยาะ
“ขี้ขลาด?” เสียงของซย่าโหวฉิงเทียนดังก้องไปทั่วทั้งเมืองลู่ ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เอาใจช่วยเขาได้ยินดังนั้น ฉับพลันก็หัวเราะจนตัวงอมือกุมท้อง ‘ฮ่าๆ’ ออกมายกใหญ่
“ขี้ขลาด! ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ท่านบรรยายเสียจนเห็นภาพ!”
“ใช่!” ก็แค่ไอ้ขี้ขลาดคนหนึ่ง!
“ไม่ต้องพูดมาก”! สุ่ยฮั่วอีที่เดิมทีอยากจะโอ้อวดความเก่งกาจของตนเองสักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่นัก แต่ละคำที่เขาเอ่ยออกมาทำให้คนฟังโมโหจนกระอักเสียทุกครั้งไป
“วันนี้ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าตาย! รวมร่าง!”
สุ่ยฮั่วอีกล่าวจบ เขาและกายทิพย์เต่าของเขาก็รวมร่างเป็นหนึ่งเดียว ร่างของเขาโอบล้อมด้วยสีน้ำตาลอมเหลืองของเกราะเต่าที่แน่นหนา
เต่า แม้ว่าจะไม่ชำนาญในการรุกเพื่อโจมตี ทว่าในขณะเดียวกันก็สามารถป้องกันตนเองได้ยอดเยี่ยมที่สุด
หากว่าอวี้เฟยเยียนอยู่ที่นี่ละก็ นางจะต้องถึงกับเอ่ยปากด้วยความตกตะลึงว่า——ระฆังสีทองเป็นแน่
“เป็นเต่าหดหัวจริงๆ!” ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยาะ แล้วเข้าโจมตีสุ่ยฮั่วอีอย่างรวดเร็วปานสายลม
เมื่อครู่ ในตอนที่ซยาโหวฉิงเทียนต่อสู้อยู่กับนักรบของสกุลหลิวนั้น สุ่ยฮั่วอีที่อยู่กลางหาได้จับตาดูวิธีการโจมตีของซย่าโหวฉิงเทียนโดยละเอียด มันเป็นการโจมตีโดยตรง จากด้านหน้าที่ ‘โง่เขลา’ ที่สุด
และซย่าโหวฉิงเทียนก็บ้าดีเดือดยิ่งนัก เพราะเขาชื่นชอบการหักคอผู้อื่น นี่มันวิธีการต่อสู้อะไรกัน!
แต่ทว่า สุ่ยฮั่วอีได้คิดวิธีการรับมือเอาไว้แล้ว ตอนนี้ร่างของเขามีกระดองเต่าห่อหุ้ม กระดองที่แข็งแรง ดาบ ทวนฟันแทงไม่เข้า แม้แต่ลำคอของเขาก็ยังได้รับการปกป้องเอาไว้อย่างดี อีกฝ่ายไม่มีทางทำร้ายเขาได้
ดังนั้น การประมือในครั้งแรก สุ่ยฮั่วอีจึงคิดการณ์ทุกอย่างเอาไว้ง่ายดายไปหมด
เขาเจตนาที่จะทดสอบความอดทนของซย่าโหวฉิงเทียนสักหน่อย ดังนั้นจึงไม่หลบไม่หลี ยืนนิ่ง รอคอยให้อีกฝ่ายลงมือ
“ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตากับความเก่งกาจของข้าเสียหน่อย!”
สุ่ยฮั่วกล่าวจบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็มาอยู่ตรงหน้าเขาทันที
‘รวดเร็วยิ่งนัก!’
สุ่ยฮั่วอีกระพริบตาปริบๆ แต่ทว่าสิ่งที่รวดเร็วกว่าก็คือหมัดของซย่าโหวฉิงเทียน
ซึ่งดูเหมือนว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะโจมตีด้วยวิธีการที่สุ่ยฮั่วอีคิดเอาไว้จริงๆ เขาใช้วิธีการที่ง่ายดายที่สุดตรงไปตรงมาที่สุดนั่นก็คือ ใช้หมัดของเขาต่อยเข้าไปที่หน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของสุ่ยฮั่วอีกตรงๆ
“พลั่ก——”
ไม่ต้องรอให้สุ่ยฮั่วอีหัวเราะออกมา ความเจ็บปวดที่บริเวณหน้าอกก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น และมันแผ่ซ่านมาถึงกายเนื้อของเขา
“ฟี้ว——”
สุ่ยฮั่วอีกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับผนังของกำแพงแก้วอย่างจัง พลังอันแข้งแกร่งของกำแพงแก้วสะท้อนกลับจนร่างของเขากระเด็นตกลงไปยังก้นบึ้งของกำแพงแก้วทันที
“ปึก——”
เกราะเต่าสีเหลืองที่ตำแหน่งหัวใจของสุ่ยฮั่วอีกแตกร้าวเป็นแปดเหลี่ยมลายแมงมุม และรอยร้าวแปดเหลี่ยมนั้นค่อยๆขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้น และแล้วเกราะกระดองเต่าก็ ‘แครกๆ’ แตกเป็นเสี่ยงๆตกลงไปที่พื้นของกำแพงแก้ว มันมลายกลายเป็นพลังวิเศษ ดูดกลืนหายเข้าไปในร่างของซย่าโหวฉิงเทียน
“แคกๆ…” สุ่ยฮั่วไอออกมา ในปากของเขาคละคลุ้งไปด้วยรสชาติของกลิ่นคาวเลือด
เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เกราะกระดองเต่าที่เขาสร้างขึ้นจากพลังวิเศษของตนเองจะถูกซย่าโหวฉิงเทียนทำลายจนแตกละเอียดได้อย่างง่าย
‘เป็นไปไม่ได้!’
หากมิใช่ว่าได้รู้สัมผัสกับความเจ็บปวดด้วยตัวเองละก็ สุ่ยฮั่วอีคงจะคิดว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ เกราะเต่าของเขาแข็งแรงทนทานจนมิอาจทำลายลงได้ง่ายๆเช่นเดิม
แต่บังเอิญว่า เขามาปะทะกับซย่าโหวฉิงเทียนเข้า
“เจ้าทำได้อย่างไร? บอกข้ามา เจ้าทำมันได้อย่างไรกัน!”
ตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ค้นคว้าศึกษามาโดยตลอดว่าทำอย่างไรจึงจะใช้พลังวิเศษมาเป็นเกราะปกป้องตนเองได้ แม้กระทั่งหลังจากที่สำเร็จถึงขั้นเทพอาวุโสระดับเจ็ดแล้ว เขายังเปลี่ยนพลังวิเศษให้กลายเป็นกระดองเต่า เพื่อให้เข้าคู่กับเรื่องของวรยุทธ์ที่ตนเองศึกษา
แล้วเพราะอะไรกัน เกราะเต่าที่เขาศึกษาทดลองกว่าหมื่นครั้ง มันถึงได้ย่อยยับอย่างง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน
“เจ้ามันอ่อนแอเกินไป!” การตอบคำถามของซย่าโหวฉิงเทียนเหมือนกันกับการโจมตีของเขา ชัดเจนตรงไปตรงมา
ประโยคนี้ ตอกย้ำสุ่ยฮั่วอีอย่างหนักหน่วง
เขากระอักเลือดออกมาอีกกองใหญ่ จนส่วนตั้งแต่ริมฝีปากลงมาจนถึงปลายคางอาบไปด้วยเลือดชุ่มโชก มองดูแล้วก็ให้สะบักสะบอมทรุดโทรมยิ่งนัก
“ข้าจะไม่ยอมแพ้!” สุ่ยฮั่วอีลุกยืนขึ้นมา
“ข้าจะไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนขี้เกียจจะเสียเวลากับสุ่ยฮั่วอีอีกต่อไป เขายังต้องรีบเดินทางกลับอีกนะ!
“เจ้าเฒ่า ข้าจะแสดงของจริงให้เจ้าดู!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ ลมห่าใหญ่ก็พัดขึ้น ชุดสีม่วงอันสวยงามปลิวไสวต้อนรับสายลม
ขณะเดียวกันลำแสงที่วนเวียนรอบกายซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ยิ่งเข้มขึ้น พลังเหล่านั้นรวมร่างเป็นกลุ่มก้อนวงใหญ่ โอบล้อมเขาเอาไว้
“นี่คือ——” ในใจของสุ่ยฮั่วอีบังเกิดความหวาดกลัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ห่าว——”
เสียงหวีดร้องยาวหนักแน่นดังขึ้นกลางเวหา ที่ด้านหลังของซย่าโหวฉงิเทียน มังกรเศียรสีม่วงขดตัวแล้วผงกเศียรขึ้นมา เสียงหวีดร้องยาวนั้นดังสนั่นหวั่นไหว ประชาชนที่อยู่บนพื้นเบื้องล่างต่างก็ถูกแรงกดดันอันหน่วงแผ่นซ่านลงมากดดันเอาไว้ จนต้องนั่งคุกเข่าลง
“ขะ แข็งแกร่งยิ่งนัก!” นักรบสกุลหลิวเมื่อเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ก็ตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา
หลิวอวี๋เซิงเองเมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้า เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างที่สุด
หากเขารู้ตั้งแต่แรกว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือเทพอาวุโสขั้นสุดท้าย เขาจะไปร่วมมือกับสกุลสุ่ย ล่วงเกินท่านเทพผู้นี้ได้อย่างไร! แม้แต่บรรพชนเฒ่าของสกุลหลิว ยังเป็นเพียงเทพอาวุโสขั้นหกเท่านั้นเอง!
‘เขานี่มันช่างตาบอดยิ่งนัก!’
แต่ทว่าผู้ที่ตื่นตระหนกมากที่สุด คงหนีไม่พ้นสุ่ยฮั่วอี
ซย่าโหวฉิงเทียนควบคุมพลังวิเศษให้กลายร่างเป็นมังกรเทพ! เศียรของมังกรตนนี้สูงกว่ากระดองเต่าของสุ่ยฮั่วอีหลายเท่านัก!
กระดองเต่าของสุ่ยฮั่วอี มีเพียงแค่รูปร่างที่เลือนราง ไม่ว่าจะเป็นดวงตา จมูก หัว ทั้งยังมีลายบนกระดองของเต่า แม้กระทั่งกลีบเท้าของเต่า ล้วนแต่เป็นภาพที่เลือนรางทั้งสิ้น
แต่มังกรม่วงของซย่าโหวฉิงเทียนนั้น หนวดเคราชัดเจน เกล็ดที่ลำตัว แต่ละเกล็ดประณีตงดงาม ยิ่งมิต้องกล่าวถึงหางของมังกรเลย ว่าตวัดตั้งตระหง่านเกรียงไกรเพียงใด
‘เจ้าหนุ่มคนนี้ คือเทพอาวุโสขั้นปลาย’
“ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวเถอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยือกเย็น มังกรม่วงที่ด้านหลังของเขา พุ่งเข้าโจมตีสุ่ยฮั่วอีทันที