มีคนร้องขึ้น เมื่อเห็นท้องฟ้าแปรปรวน เมฆดำเข้าปกคลุมแทนที่ ทุกคนต่างก็กรีดร้อง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งที่เป็นเวลาโพล้เพล้เท่านั้น แล้วเพราอะไรท้องฟ้าถึงได้แปรปรวน!
“ข้ากำลังจะบำเพ็ญทุกกรกริยา พวกเจ้ายังไม่รีบไปหลบซ่อนตัวอีก!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก เพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเอง เสียงอันเด็ดขาดชัดเจนของซย่าโหวฉิงเทียนก็ดังลงมาจากฟากฟ้า
“บำเพ็ญทุกกรกริยา!” เมื่อได้ยินดังนั้นชาวเมืองลู่ต่างก็ตกอกตกใจจนตกตะลึง
การที่เทพอาวุโสจะสำเร็จขั้นเพิ่มขึ้นจนก้าวไปเป็นปราชญ์ราชันย์ได้นั้น นับเป็นการก้าวหน้าครั้งใหญ่ เพื่อไปสู่ลำดับขั้นวรยุทธ์ที่เรียกว่าราชันย์ ดังนั้นจึงจะต้องผ่านการบำเพ็ญทุกกรกริยา
ในอดีตเมื่อตอนที่เสิ่นถูปั๋วอีและอวิ๋นเฮ่อเทียนบำเพ็ญทุกกรกริยานั้น สะท้านสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งอู๋โยว แต่คนทั้งสองเลือกที่จะไปบำเพ็ญทุกขกรกริยาในป่าลึกห่างไกลจากผู้คน ผู้คนจึงได้เห็นเพียงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้บาดเจ็บล้มตายเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด
ทว่าตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนกลับกำลังจะบำเพ็ญทุกขกรกริยาบนแผ่นดินเมืองลู่ ท้องฟ้าแปรปรวน กลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวเข้าใกล้เมืองลู่เข้ามาทุกขณะ ประชาชนที่กำลังตื่นตระหนกพลันได้สติขึ้นมา แต่คนละต่างก็เร่งรีบเก็บข้าวของ ลนลานหลบหนีออกไปจากเมืองลู่ทันที
บำเพ็ญทุกกรกริยา…
ปราชญ์ราชันย์…
หลิวอวี๋เซิงเผยรอยยิ้มขมขื่น เขากำลังรู้สึกลึกๆว่า ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่มีนิสัยผูกใจเจ็บมีแค้นต้องชำระเช่นนี้ เขาจะต้องไม่ปล่อยสกุลหลิวเอาไว้อย่างแน่นอน
หากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสามารถผ่านการทดสอบในครั้งนี้ไปได้ย่างราบรื่น จนสำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์ละก็ ตระกูลต่อไปที่จะต้องดับสูญนั่นก็คือสกุลหลิว
‘ไม่ได้!’
เขาจะต้องรีบกลับรายงานเรื่องนี้ให้กับบรรพชนเฒ่าได้รับทราบ!
สกุลหลิวกำลังตกอยู่ในอันตราย ในเวลานี้ไม่ใช่เวลามาอวดเก่ง พวกเขาจะต้องหาวิธีการรับมือกับอันตรายที่พร้อมจะมายืนทุกเวลาเสียก่อน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี๋เซิงจึงอาศัยโอกาสที่ทุกคนกำลังหลบหนีเอาชีวิตรอดกันจนวุ่นวายโกลหนนี้หลบหนีออกไปพร้อมกับนักรบสกุลหลิวสิบเอ็ดคนทันที
อีกฝ่ายกำลังตั้งใจรับมือกับบททดสอบครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจพวกเขาว่าจะเป็นอย่างไรกันอีกเล่า! ไม่หนีในตอนนี้ จะรอไปถึงเมื่อไหร่กัน!
มองเห็นหลิวอวี๋เซิงและนักรบสกุลหลิวแฝงตัวอยู่ไปกับชาวบ้านที่หนีตายออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็หรี่ตามองพร้อมกับครุ่นคิด
ไม่หาเรื่องก็คงไม่ต้องตาย!
หากว่าหลิวอวี๋เซิงยังรอคอยอยู่ที่เดิม ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้า ฆ่าคนที่เหลือ แล้วปล่อยหลิวอวี๋เซิงเพียงคนเดียวให้มีชีวิตรอดกลับไป
เพียงแต่ หลิวอวี่เซิงตื่นตูมเกินไป!
คนที่มีจิตใจชั่วร้ายต่ำช้า ต่อให้มีใครมาให้ความหวังกับเขา เขาก็ไม่มีทางไขว่คว้ามันเอาไว้
เมฆหมอกมืดดำ มาพร้อมกับสายฟ้า ที่ฟาดลงมาเหนือศีรษะของซย่าโหวฉิงเทียน
“เปรี้ยงๆ——”
เสียงฟ้าผ่าที่สะเทือนเลือนลั่นดังลงมาจากท้องฟ้า แสงสีทอง สีเงิน สีน้ำเงินสว่างวาบ ราวกับงูเจ็ดสีกำลังเริงระบำ ที่เหนือศีรษะของซย่าโหวฉิงเทียน
“เริ่มบำเพ็ญแล้ว! บำเพ็ญแล้ว!”
ผู้คนที่หนีออกมาได้ ยังไม่ทันที่จะได้หายใจหายคอ แต่ละคนก็หันมองไปยังท้องฟ้าตาไม่กระพริบ
เวลานี้ ท้องฟ้ามืดสนิท
ผู้คนจึงมองเห็นเพียงแค่ซายหนุ่มในชุดสีม่วงกำลังยืนนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง ผ่านทางแสงของสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะๆนั้น
“นายท่าน หากว่าเขาตายอยู่ที่นั่น ก็คงจะดีมากทีเดียว!” นักรบชาวสกุลหลิวกระซิบเบาๆ เขาได้กล่าวสิ่งที่หลิวอวี๋เซิงกำลงครุ่นคิดอยู่พอดิบพอดี
“ใช่นะสิ”
เมื่อหลบหนีเข้าสู่เขตที่ปลอดภัย หลิวอวี่Jเซิงก็ไม่ต้องรู้สึกขวัญผวาประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นอีกต่อไป
เทพอาวุโสที่อายุยังน้อย ปราชญ์ราชันย์ที่ยังหนุ่มยังแน่น ทำลายสถิติที่ผ่านมาของอู๋โยวจนราบ
ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่นจู่ๆก็ปรากฎตัว เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของอู๋โยว
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งแปด หลิวอวี๋เซิงไม่อยากจะเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่า หลิวอวี๋เซิงยังคงมีสติอยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารอชมเรื่องตลกขบขัน! ยมบาลที่ลอยวนเวียนอยู่เหนือหัวของพวกเขายังไม่จากไปไหน อาศัยช่วงเวลาที่ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นกำลังบำเพ็ญทุกกรกริยานี้ พวกเขาต้องพากับหลบหนีไปเสีย ยิ่งไกลยิ่งดี
“พวกเราไป!”
อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยผู้หนึ่งกำลังยกมือกุมศีรษะ สีหน้าหวาดกลัว เสียงที่เปล่งออกมาสั่นระริก
“พี่สาม ข้ากลัว——”
ผู้ที่พูดคือคุณหนูคนสุดท้องในบรรดาลูกสาวทั้งสี่ของสกุลหลิว สุ่ยมี่เอ๋อร์
คนที่ยืนอยู่ข้างกายสุ่ยหมี่เอ๋อร์ นั่นก็คือคือสุ่ยจูเอ๋อร์
นับตั้งแต่ที่สุ่ยจูเอ๋อร์ถูกเชียนเย่เสวี่ยวางยาในครั้งก่อน ก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงกินถ่ายเรี่ยราดราวกับไม่ใช่คน กระทั่งเข้าสู่วันที่สิบ ในที่สุดนางก็ได้สติ ร่างกายก็ค่อยๆกลับคืนสู่ภาวะปกติ
และหลังจากที่สุ่ยจูเอ๋อร์ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดสิบวันที่ผ่านมา นางก็เจ็บแค้นตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยอย่างที่สุด
‘นางแน่ใจได้เลยว่า พวกเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างกับนาง’
‘น่าโมโหยิ่งนัก!’
เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มแห่งความเจ็บแค้นที่อยู่ในใจของสุ่ยจูเอ๋อร์ มันตอกย้ำนางอย่างรุนแรง ทำให้สุ่ยจูเอ๋อร์เริ่มที่จะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเอาเป็นเอาตาย
เพราะนางต้องการฆ่าคนทั้งสามคนนั้นด้วยมือของตัวเอง!
ความมุ่งมั่นเพียรพยายามของสุ่ยจูเอ๋อร์ ได้รับการสนับสนุนจากสุ่ยเจ๋อซี
เพียงแต่เมื่อเขาเห็นสุ่ยจูเอ๋อร์มานะฝึกวิชาด้วยความยากลำบาก ก็เกรงว่านางจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป ดังนั้นจึงให้บุตรสาวคนที่สี่สุ่ยมี่เอ๋อร์ไปท่องเที่ยวที่วัดบนเขาหลินอู้เป็นเพื่อนสุ่ยจูเอ๋อร์สักสองสามวัน
วันนี้สองพี่น้องเดินทางกลับบ้าน ก็พบเข้ากับเหตุการณ์นี้พอดี
ที่โชคดีก็คือสุ่ยจูเอ๋อร์รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงมิได้กลับจวนมาพร้อมกัยสุ่บมี่เอ๋อร์ด้วย นางจึงมีเวลาปลอมตัวให้เรียบร้อยก่อนปะปนเข้ากับกลุ่มฝูงชน มองดูเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของสกุลสุ่ยกับตาตนเอง
“ไม่ได้เรื่อง ร้องไห้ทำไมกัน!” สุ่ยจู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาอาฆาตแค้น
‘สกุลสุ่ยหมดสิ้นแล้ว!’
‘เป็นเพราะคนผู้นั้น!’
‘เขาสมควรตาย!’
“พี่สาม พวกเราจะตายไหมคะ?” สุ่ยมี่เอ๋อร์เป็นเด็กขี้กลัวมาตั้งแต่เกิด นางจึงถูกการตายของสุ่ยฮั่วอีทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ตอนนี้จึงทำได้เพียงจับชายเสื้อของสุ่ยจูเอ๋อร์เอาไว้แน่น ด้วยเกรงว่าสุ่ยจูเอฮ๋อร์จะทอดทิ้งตนเองไป
“พวกเราจะไม่ตาย!” แม้ว่าสุ่ยจูเอฮ๋อร์จะไม่ชอบหน้าสุ่ยมี่เอ๋อร์เท่าไหร่นัก และปกติก็คอยกลั่นแกล้งนางเป็นประจำ แต่ตอนนี้สกุลสุ่ยต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายถูกฆ่าล้างตระกูล พวกนางพี่น้องจึงต้องสมัครสามัคคีปรองดองกันเอาไว้เท่านั้น
“ท่านพ่อไปที่เมืองเฮ่อ! พวกเราเดินทางไปเมืองเฮ่อ! สมทบกับท่านพ่อ!” สุ่ยจูเอ๋อร์รู้ดีว่า เมืองลู่ในเวลานี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ฆ่าล้างสกุลสุ่ย ตามกฎแล้ว เมืองลู่จะต้องตกเป็นของเขาด้วย
สิ่งเดียวที่พวกนางทำได้นั่นก็คือ ตามหาสุ่ยเจ๋อซีให้พบ อาศัยอยู่กับเขา อย่างน้อยที่สุดพวกนางก็จะได้มีญาติสนิท
ส่วนเรื่องแก้แค้น ก็ต้องค่อยๆวางแผนกันต่อไป
‘มันต้องมีโอกาสเป็นแน่!’
สุ่ยจู๋เอ๋อร์จ้องมองชายหนุ่มในชุดสีม่วงกลางเวหาจากระยะไกลให้เต็มตาอีกครั้ง
เมื่อไม่มีสุ่ยฮั่วอี สกุลสุ่ยก็จะต้องถูกตัดออกจากสกุลใหญ่ทั้งแปด นับจากนี้ไป เกียรติยศและความสุขสบายก็จะห่างไกลจากพวกนางเข้าไปอีก!
ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นทำลายบ้านข้าจนพินาศย่อยยับ บัญชีแค้นนี้ข้าสุ่ยจูเอ๋อร์จะจดจำเอาไว้
“มี่เอ๋อร์ พวกเราไป!”
สุ่ยจูเอ๋อร์ดึงมือสุ่ยจูเอ๋อร์ให้หลบหนี หากว่าไม่อาศัยหลบหนีไปในตอนนี้ อีกเดี๋ยวอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
การบำเพ็ญทุกกรกริยาของซย่าโหวฉิงเทียนยังคงดำเนินต่อไป ครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองเขาผ่านมันมาได้ ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และครั้งที่สามนี้ถือเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งก็ว่าได้
“พวกเจ้าดูนั่น!” คนผู้หนึ่งชี้นิ้วไปยังซย่าโหวฉิงเทียน
ในตอนนั้นซย่าโหวฉิงเทียนได้คืนสภาพกลับร่างเดิมของเขาเป็นที่เรียบร้อย เส้นผมสีเงินยาวปลิดปลิวไสว เปลือกตาที่กำลังข่มให้ปิดลงเบิกกว้างขึ้นมา มันสะท้อนแสงสีม่วงเข้มออกมา
“เขาคือ…เทพอย่างนั้นหรือ?” คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจของทุกคน
“พี่สาม เขา เขาหล่อเหลาเหลือเกิน——”
สุ่ยมี่เอ๋อร์ตกใจเสียงร้องระงมของฝูงชน และเมื่อนางหันกลับไปมองเห็นเหตุการณ์นั้นก็ถึงกับตกตะลึง
แม้ว่าสุ่ยมี่เอ๋อร์จะมองไม่เห็นใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนชัดเจน แต่ทว่า เส้นผมสีเงินที่ปลิวไสวของเขา ก็ติดตราตรึงใจนางนางยิ่งนัก