อีกด้าน หลิวเซิ้งกำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับจักรพรรดิอาวุโสคนหนึ่งอยู่
ชั่วพริบตา นักรบสกุลสุ่ยก็ถูกเด็ดหัวไปแล้วถึงสามคน แต่ทว่าลำแสงสุ่ยเจ๋อซีกลายเป็นสีน้ำเงินโดยสมบูรณ์
อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่า เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเป็นอย่างมาก นางจะต้องขัดขวางสุ่ยเจ๋อซีมิให้เขาสำเร็จขั้นได้ และนางได้ปรุงยาพิษขึ้นมาเพื่อใช้ในการสำคัญเช่นนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว
เมื่อปราชญ์อาวุโสทั้งสามคนได้กลิ่นหอมของดอกไม้ พลันพวกเขาก็มีสีหน้าเหยเก กระอักเลือดน้ำลายฟูมปาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ หงายหลังล้มตึงลงไปบนพื้น
“ในมือของนางคือยาพิษ!”
เมื่อใครคนหนึ่งร้องเตือนขึ้น คนที่เหลือจึงรีบป้องกันตนเองด้วยการกินยาถอนพิษครอบจักรวาลป้องกันเอาไว้ทันที
ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา สุ่ยฮั่วอีได้สั่งการให้นักรบทั้งหลายของสกุลสุ่ยเตรียมยาวิเศษที่ถอนพิษทุกชนิดเอาไว้มาด้วย
เพราะเขารู้ดีว่าตี้อู่เฮ่ออี้และประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเป็นพวกเดียวกัน และเผ่าตันก็เชี่ยวชาญในเรื่องการปรุงยาพิษ ดังนั้นตั้งใจจึงแจกจ่ายยาวิเศษที่สามารถถอนพิษทุกชนิดได้ให้กับนักรบสกุลสุ่ยทุกคน เพื่อเอาไว้ใช้ต้านทานยาพิษของตี้อู่เฮ่ออี้โดยเฉพาะ
ในปีนั้นตอนที่เผ่าตันแตกออกจากกัน สกุลสุ่ยก็เข้าร่วมผสมโรงใส่ไคล้ให้ไฟแห่งความหมาดหมางรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็แย่งชิงของดีมาได้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือยาวิเศษที่ใช้สำหรับถอนพิษของเผ่าตันด้วย
นึกไม่ถึงว่า มันจะได้ใช้ประโยชนืแล้วในครั้งนี้
แม้ว่ายานี้จะไม่อาจถอนพิษของอวี้เฟยเยียนได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยนักรบของสกุลสุ่ยจะยังพอมีกำลังไม่หมดสภาพอย่างเช่นที่ผ่านมา ตรงกันข้ามสามารถยืนหยัดต่อไปได้
‘นี่พวกมันเตรียมการมาก่อน?’
อวี้เฟยเยียนยิ้มเยือกเย็น ‘ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน!’
“พวกเจ้าถอยไป!” อวี้เฟยเยี่ยนสั่งการให้พวกของตนหลีกทาง ส่วนตัวนางทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แม่นางน้อย อย่าฆ่ามันจนตายหมดละ เหลือให้ข้าจัดการบ้าง!”
หานจื่อเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะเล่นงานศัตรูจนตายหมด แล้วจะไม่เหลือเหยื่อเอาไว้ให้มันได้กิน จึงส่งสายตามองไปยังอวี้เฟยเยียนตาละห้อย
‘นี่มันเวลาอะไรแล้ว หานจื่อยังห่วงแต่เรื่องกินอยู่ได้’ อวี้เฟยเยียนแทบจะร้องไห้ออกมาทีเดียว
“เจ้ารอเดี๋ยว!”
หานจื่ออ้าปากกว้าง มันงับเอาร่างของศัตรูที่นอนตายเรียงรายอยู่กว่าสิบคนออกไปรวมกันในตำแหน่งที่ไกลออกไปเรียบร้อย มันจึงวางใจ
“แม่นางน้อย ไม่ต้องเกรงใจ ลุยเลย!”
“คนสิบคนเพียงพอที่จะให้ข้ากินจนอิ่มหนำสำราญทีเดียว!”
อวี้เฟยเยียนโปรยกลับดอกไม้สีชมพูขึ้น กลีบดอกไม้ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นลำแสงสีน้ำเงินรูปครึ่งวงกลมโอบล้อมร่างของนักรบสกุลสุ่ยเอาไว้ กลีบดอกไม้สีชมพูเหล่านั้นจึงร่วงลงบนพื้นแทน
“นายท่าน!” นักรบของสกุลสุ่ยร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เพราะตอนนี้สุ่ยเจ๋อซีได้สำเร็จขั้นเทพอาวุโสเป็นที่เรียบร้อย!
สุ่ยเจ๋อซีที่เพิ่งจะสำเร็จเทพอาวุโสมาหมาดๆ แววตากระพริบถี่ๆทั้งวาวแสงสีน้ำเงินระยับ เขาเขย่งปลายเท้า ทะยานขึ้นไปโจมตีอวี้เฟยเยียนทันที
“นังชั้นต่ำ ตายเสียเถอะ!”
“ฮูหยิน!”
คนของซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ที่นั่นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ร้อนใจอย่างที่สุด พวกเขาทั้งสามลงมือโจมตีสุ่ยเจ๋อซีพร้อมกัน
“เฮอะ!”
สุ่ยเจ๋อซีสบถด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาใช้พลังสร้างกำแพงแก้วขึ้นมากักตัวตนเองและอวี้เฟยเยียนเอาไว้ด้วยกัน เพื่อมิให้บุคคลที่อยู่โดยรอบเข้ามาได้ คนที่อยู่ ณ ที่นั้นพยายามทำลายกำแพงแก้ว ทว่ากลับถูกพลังของมันโจมตีกลับมาอย่างรุนแรง
“แม่นางน้อย!” หานจื่อรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาในทันที
ก่อนที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะออกเดินทาง เขามอบอวี้เฟยเยียนให้มันดูแล มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“แม่นางน้อย ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
หานจื่อกระโจนขึ้นมา แต่ทว่ากำแพงแก้วของสุ่ยเจ๋อซีได้ลอยสูงขึ้นไปถึงกลางเวหาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นไม่ว่าหานจื่อจะพยายามอย่างไร ก็กระโจนไม่ถึงกำแพงแก้วสีน้ำเงินนั้นอยู่ดี
“อ๋าว——บรู๊ว——” หานจื่อโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก มันโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
มันอยากจะเกิดมามีปีกยิ่งนัก จะได้บินขึ้นไปบนอากาศไปช่วยอวี้เฟยเยียนได้
“หานจื่อ!” เมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นของหานจื่อ อวี้เฟยเยียนก็หันมายิ้มให้กับมัน
“แม่นางน้อย!”
หานจื่อเงยหัวขึ้น แววตาของมันฉายแววร้อนรนด้วยความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน
“แม่นางน้อย เพราะข้าไม่ดีเอง! หากมิใช่เพราะว่าข้าเห็นแก่กิน แม่นางน้อยก็คงจะไม่ถูกเจ้าคนชั่วกักขังเอาไว้!”
หานจื่อเสียใจเป็นอย่างมาก มันคิดว่าเป็นเพราะมันประวิงเวลา ทำให้อวี้เฟยเยียนต้องพลอยตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
“หานจื่อ! นี่คือการต่อสู้ของข้า! เจ้าจะต้องเชื่อข้า! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ข้าจะไม่ยอมให้ใครเอาชนะได้ง่ายๆ!”
น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ทำให้หานจื่อสงบใจลงได้บ้าง มันจับจ้องท้องฟ้าตาไม่กระพริบ ด้วยเกรงว่าตนเองจะพลาดเหตุการณ์สำคัญอะไรไป
“เฮอะ! เด็กเมื่อวานซืนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
สุ่ยเจ๋อซีได้ยินในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมา ก็ยิ้มเยาะ
“แม้ว่าเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าจะถือว่าเป็นเลิศกว่าใคร แต่เจ้าจงอย่าลืมว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน! ปราชญ์อาวุโสเทียบกับเทพอาวุโสแล้ว ยังห่างไกลกันอีกหลายขุม ไม่ใช่แค่เพียงเล็กน้อย! วันนี้ของปีหน้าคือวันตายของเจ้า!”
สุ่ยเจ๋อซีกล่าวยังไม่ทันจบ อวี้เฟยเยียนก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน
“ไม่ต้องพูดมาก! ลีลาท่ามากเช่นนี้เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ! หากว่าเจ้าไม่มีหนวดเคราละก็ ข้ายังคิดว่าเจ้าเกิดมาผิดเร่างเสียแล้ว!”
แววตาของอวี้เฟยเยียนคมกริบ พู่กันพิพากษาในมือของนางขยับเพื่อเตรียมจะสกัดจุดสุ่ยเจ๋อซี
เมื่อครู่เห็นกับตาว่าสุ่ยเจ๋อเป่ยต้องตายด้วยวิธีการประหลาดของอวี้เฟยเยียนมาแล้ว ตอนนี้สุ่ยเจ๋อซีจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก
สุ่ยเจ๋อซีหลบหลีกการโจมตีจากอวี้เฟยเยียน แล้วเงื้อดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาตวัดลงไปหมายที่ท้ายทอยของอวี้เฟยเยียน ทว่าราวกับนางมีตาหลังก็ไม่ปาน เพราะยังไม่ทันทีที่สุ่ยเจ๋อซีจะตวัดดาบลงมาถึง อวี้เฟยเยียนก็หลบหลีกอย่างรวดเร็วว่องไวดั่งปลาไหลทาน้ำมัน วินาทีต่อมา พู่กันพิพากษาของอวี้เฟยเยียนก็สกัดจุดเคลื่อนไหวที่เท้าซ้ายซึ่งพ้นรองเท้าออกมาของสุ่ยเจ๋อซีไว้ได้
“อ๊าก——”
ความเจ็บปวดแล่นพล่านขึ้นมาจากเท้าในจุดที่ไม่มีอะไรป้องกันเอาไว้ ทำเอาสุ่ยเจ๋อซีถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว
แม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะเทียบเท่ากองทัพมดรุมกัดก็ตามที แต่หลังจากที่ความเจ็บปวดนั้นมลายหายไป ก็ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆอีก
หรือว่านี่คือการเล่นกลตบตา?
ความหวาดกลัวในวิชาสกัดจุดของอวี้เฟยเยียนที่มีอยู่เดิม สูญสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมๆกับบความเจ็บปวดที่เท้าของเขาที่หายไปด้วย
‘ก็ไม่เท่าไหร่นี่นา!’