“ฮ่าๆ!” เสิ่นถูปั๋วอี้เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่สกุลสุ่ยเชี่ยวชาญที่สุดจะเป็นการเต้นระบำ! โอ้โห หากว่าสุ่ยฮั่วอีเจ้าเฒ่านั่นเห็นภาพนี้เข้า คงจะโมโหจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว!”
เสิ่นถูปั๋วอี้และสุ่ยฮั่วอีไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นสภาพของสุ่ยเจ๋อซีในเวลานี้ แน่นอนว่าเสิ่นถูปั๋วอี้ย่อมต้องหัวเราะเยาะด้วยความสะใจอยู่แล้ว
ขนาดผู้อาวุโสยังหัวเราะออกมาเช่นนี้ แล้วคนหนุ่มสาวอย่างพวกเขาจะรออะไรเล่า พวกเขาจึงหัวเราะออกมาเช่นกัน
หมีเยว่กำหมัดแน่นสายตาจ้องมองไปที่สุ่ยเจ๋อซีเขม็ง นางไม่เคยลืมภาพที่มารดาของนางฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตานางไปได้เลย
สุ่ยเจ๋อซีคือศัตรูของนาง!
น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของนางยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แม้ว่าตอนนี้นางจะสำเร็จถึงขั้นปราชญ์อาวุโสแล้ว แต่ก็ยังมิอาจแก้แค้นให้กับท่านพ่อและท่านแม่ด้วยมือของนางเองได้
“เยว่เอ๋อร์——”รู้ดีว่าหมีเยว่กำลังเสียใจอย่างหนัก อวี้ซิงฉงจึงบีบมือให้กำลังใจนาง
“เยียนเอ๋อร์ทำ ก็ไม่ต่างอะไรกับเราได้ทำเอง! เพราะพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน!” ได้ยินคำพูดของอวี้ซิงฉงแล้ว หมีเยว่ก็พยักหน้าเบาๆ ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่เหตุการณ์ภายในกำแพงแก้วตลอดเวลา
เสียงหัวเราะจากเบื้องล่าง ทำให้สุ่ยเจ๋อซีคับแค้นใจจนเนื้อตัวสั่นเทา
‘เขาคือเทพอาวุโส แต่กลับต้องการถูกปราชญ์อาวุโสคนหนึ่งกลั่นแกล้งควบและคุมบงการเอาไว้ น่าโมโหยิ่งนัก!’
‘จะยกโทษให้ไม่ได้!’
“อ๊าก!”
สุ่ยเจ๋อซีร้องคำรามออกมา เขาไม่สนใจความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกิดขึ้นอีกต่อไป แล้วพุ่งเข้าใส่อวี้เฟยเยียนทันที เขาคิดที่จะใช้การโจมตีโดยฉับพลันนี้ทำให้นางตกใจ ให้ตนเองสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของอีกฝ่ายไปให้ได้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ใครเล่าจะคาดคิดว่า ในขณะที่สุ่ยเจ๋อซีพุ่งเข้าไปหานางนั้น อวี้เฟยเยียนได้เรียกคืนเข็มเงินทั้งหมดกลับมา เพื่อตั้งรับสุ่ยเจ๋อซี ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก
‘นางจะทำอะไร!’ เสิ่นถูปั๋วอี้หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
‘ทำเช่นนี้มิเป็นการเสี่ยงอันตรายมากเกินไปหรือ?’
‘พลังของเทพอาวุโสสูงกว่าแม่หนูนี่อยู่มากทีเดียวเชียวนะ!’
ในขณะที่เสิ่นถูปั๋วอี้กำลังเป็นห่วงอยู่นั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็ตวัดฝ่ามือทั้งสองประกบกัน พลันฝ่ามือของนางกลายเป็นร้อยอรหันต์พันอรหันต์ ฟาดเข้าที่ลำตัวของสุ่ยเจ๋อ
“พรวด——”ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาที่อก จนสุ่ยเจ๋อซีกระอักเลือดออกมา
ในขณะเดียวกัน สุ่ยเจ๋อซีก็ได้กลื่นหอมของดอกไม้ ผงอะไรบางอย่างสีเหลืองสดสาดลงบนร่างของเขา มันเกิดเสียง ‘ฟู่ๆ’ ตามมา
สุ่ยเจ๋อซีนึกว่าตนเองตาลายจนเห็นภาพหลอน เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือผงสีเหลืองสดเมื่อครู่กลับกลายเป็นแมลงกินเนื้อตัวสีเหลืองอ่อน พวกมันกำลังเข้าสู่ร่างกายของเขาโดยผ่านทางบาดแผลที่ถูกเข็มทิ่มเหล่านั้น
“นี่ นี่มันคือ——”
ฉับพลันสุ่ยเจ๋อซีก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ที่อีกฝ่ายมาประชิดตัวเขาก็เพื่อหาโอกาสลงมือนี้ และก่อนหน้านี้ที่นางสู้อุตส่าห์ลงเสียเวลาไปกับเขาตั้งเป็นนาน เพื่อทำร้ายเขาจนเกิดบาดแผลเล็กบาดแผลน้อย ก็เพื่อต้องการปูทางสำหรับการนี้
“เจ้า เจ้าทำอะไรกับข้า?”
สุ่ยเจ๋อซีรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังคืบคลานชอนไชอยู่ภายในเนื้อหนังภายในกระดูกของเขา เพียงแค่คิดถึงตัวหนอนจำนวนมากอาศัยอยู่ภายในร่างกายของตน ก็ให้เขารู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุด
“เจ้าลองทายดูสิ!” อวี้เฟยเยียนหยิบขลุ่ยออกมา เริ่มเป่าบรรเลงขณะเดียวกันก็พยายามหลบหลีกการโจมตีจากสุ่ยเจ๋อซีไปด้วย
เสียงเพลงบรรเลงไพเราะเพราะพริ้ง อันเกิดจากขลุ่ยทำให้กองทัพหนอนที่อยู่ในร่างของสุ่ยเจ๋อซีก็เริ่มเคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลงบรรเลงนั้น
“อ๊าก——” ร่างกายของสุ่ยเจ๋อซีเริ่มเคลื่อนไหวเองอย่างควบคุมไม่ได้ หากมองจากที่ไกลๆดูคล้ายกับเขากำลังเต้นระบำอยู่อย่างไรอย่างนั้น
‘บทเพลงนี้…’
เสิ่นถูปั๋วอี้ได้เสียงเพลงบรรเลงจากขลุ่ย ฉับพลันดวงตาของเขาก็สว่างวาบ
‘ในอดีตเขาเคยเห็นคนผู้หนึ่งเคยกระทำเฉกเช่นเดียวกันนี้ ใช้บทเพลงบรรเลงมาควบคุมหนอน นี่ถือเป็นวรยุทธ์ขั้นสูง แล้วแม่หนูน้อยผู้นี้รู้วิชานี้ได้อย่างไรกัน?’
‘หรือว่า นางคือทายาทของเขา?’
เสิ่นถูปั๋วอี้ดวงตาเป็นประกาย ราวกับว่านึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาขึ้นมาได้
“มือไหนของเจ้าที่สังหารบิดาของหมีเยว่? มือขวาใช่หรือไม่?” อวี้เฟยเยียนเอ่ยถาม
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” สุ่ยเจ๋อซีกล่าวจบ เขาก็เจ็บปวดที่มือขวาอย่างรุนแรง เนื้อบริเวณแขนขวาบวมเป่งขึ้นราวกับลูกบอลดูแลน่าเกลียดทั้งยังเคลื่อนไหวหยุบหยับอย่างต่อเนื่อง
‘หนอนเหล่านั้นกำลังกัดกินเนื้อของเขา! เป็นไปไม่ได้!’
มือข้างหนึ่งของสุ่ยเจ๋อซีกุมแขนที่บาดเจ็บขณะที่ทรุดเข่าลงบนพื้น
‘นี่มันวิชามารอะไร? ใช่ มันต้องเป็นวิชามาร!’
“ไม่ใช่มือขวา? หรือว่าเป็นมือซ้าย?” อวี้เฟยเยียนทอดถอนใจแผ่วเบา
“เจ้าทำลายครอบครัวของผู้อื่นให้ต้องพลัดพราก แย่งชิงภรรยาเขามา เจ้ารู้ความผิดหรือยัง?
ในขณะนั้น พลันสุ่ยเจ๋อซีนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘เรื่องในปีนั้น นางรู้ได้อย่างไร?’
“ขะ ข้าเปล่า!” สุ่ยเจ๋อซีเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า
“แม้แต่ความกล้าที่จะออกมายอมรับความผิดของตนเองยังไม่มี เจ้ามันขี้ขลาดยิ่งนัก!” อวี้เฟยเยียนยิ้ม ตามมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสที่บริเวณมือซ้ายของสุ่ยเจ๋อซี
“อ๊าก! นังมาร เจ้ามันใช้วิชามาร!” สุ่ยเจ๋อซีกลิ้งทุรนทุรายไปมาบนพื้น สภาพของเขาที่น่าอเนจอนาถเช่นนี้แต่กลับมิอาจทำให้อวี้เฟยเยียนเกิดความสงสารขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย
‘พี่ชายของนางเกือบตายเชียวนะ! สหายของนางก็บาดเจ็บสาหัสเพราะสกุลสุ่ย! บัญชีนี้ นางจะค่อยๆทวงคืนจากเขาอย่างสาสม’
สุดท้ายสุ่ยเจ๋อซีได้แต่คำรามเรียกอวี้เฟยเยียนว่า ‘นังมาร’ ดวงตาของเขาแดงก่ำเบิ่งกว้าง ราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้ออวี้เฟยเยียนเลยทีเดียว
แต่ยิ่งสุ่ยเจ๋อซีกระทำเช่นนี้ ความเจ็บปวดจากร่างกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายมือซ้ายและมือขวาของเขาก็ถูกหนอนกัดกินเนื้อจนหมดสิ้น จนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
ตอนนี้เขากำลังดิ้นทุรนทุรายกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายในกำแพงแก้วของตนเอง ปากก็ร้องเรียกแต่หมีเยว่
“สุ่ยเยว่เอ๋อร์ เจ้าจะทนมองพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้าตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ? นังลูกอกตัญญู! เจ้าเห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ!”
ทว่าตรงกันข้าม คำพูดของสุ่ยเจ๋อซีกลับเป็นการไปกระตุ้นหมีเยว่ให้โกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น
“ท่านแม่บอกกับข้าหมดแล้ว เจ้าไม่ใช่พ่อของข้า! เจ้าทำร้ายพ่อบังเกิดเกล้าของข้าจนตาย เจ้ายังให้ร้ายแม่ของข้าจนตาย! ข้าอยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย! ข้าไม่ใช่สุ่ยเยว่เอ๋อร์ ข้าคือหมีเยว่!”
กล่าวจนกระทั่งถึงตอนสุดท้าย มือที่จับกระบี่ของหมีเยว่สั่นเทาเล็กน้อย เพราะอารมณ์ที่กำลังคุกกรุ่นอย่างรุนแรง
คำพูดของหมีเยว่ ทำให้สุ่ยเจ๋อซีเริ่มคิดขึ้นมาได้บ้างในขณะที่กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดนั้น
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
‘นางไม่ใช่ลูกสาวของเขา?’
‘หมีเยว่ หมีเยว่…’
ฉับพลันสุ่ยเจ๋อซีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ตอนนั้นสุ่ยเยว่เอ๋อร์คลอดก่อนกำหนด หรือว่าคลอดก่อนกำหนดเป็นเรื่องเท็จ? นางคือลูกที่ติดท้องมา แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ลูกของเขา?’
เมื่อครุ่นคิดจนแน่ใจแล้ว พลันสุ่ยเจ๋อซีก็เข้าใจได้ในทันที ที่ตนเองอุตส่าห์เลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก นั่นคือลูกสาวของคนอื่นหรอกหรือนี่
“นังคนชั้นต่ำลอกลวงข้า! นังคนชั้นต่ำหลอกลวงข้า!”
สุ่ยเจ๋อซีเปิดปากด่าทออย่างหนักหน่วง
“นังคนชั้นต่ำ มันจะต้องไม่ตายดี! มันกล้าหลอกลวงข้า! บัดซบเอ้ย!”
คนผู้นี้ผิดแล้วไม่รู้จักสำนึก สุดท้ายยังเอาแต่โทษคนอื่นไม่ทั่ว กู่ไม่กลับแล้วจริงๆ