สุ่ยเจ๋อซีไม่เห็นอวี้เฟยเยียนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย แค่เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง แท้ว่านางจะสวมผ้าแพรปกปิดใบหน้า แต่ดูจากรูปร่างลักษณะแล้วยังอ่อนหัดยิ่งนัก ส่วนน้ำเสียงก็อ่อนหวานเยาว์วัยยิ่งนัก
เห็นที ว่านางนี่เองก็คือฮูหยินของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่หลิวอวี๋เซิงเคยเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
ได้ยินมาว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่นรักนางนักหนา แต่น่าเสียดาย พวกเขาถูกกำหนดให้เป็นนกเป็ดน้ำคู่ที่โชคชะตากลั่นแกล้งให้ต้องทุกข์เข็ญ เพราะไม่ทันไรก็ต้องไปพบกันในนรกเสียแล้ว!
“เฮอะ!”
‘ไม่รู้สวะที่ไหนจู่ๆก็โผล่ขึ้นมาสองคน พวกมันคงจะคิดว่าอู๋โยวกลายเป็นแผ่นดินของพวกมันไปแล้วกระมัง’
‘มันช่าง…โง่งมไร้เดียงสาเสียจริง!’
ก่อนหน้านี้ สุ่ยเจ๋อซียังเคยสงสัยอยู่ว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นและสกุลเสิ่นถูจะเกี่ยวข้องกัน
แต่มาคราวนี้เขากลับไม่พบเสิ่นถูเลี่ย เห็นทีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคงจะเป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนเที่ยวคาดเดากันไปต่างๆนานาเท่านั้น
เสิ่นถูเลี่ยชื่นชอบการคบค้าสมาคมมีเพื่อนฝูงไปทั่ว การที่เขาคบหาประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเป็นสหาย ไม่แน่ว่าจะใช่เจตนาของตระกุลเสิ่นถูเสมอไป
มิเช่นนั้น วันนี้ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นตายด้วยน้ำมือของบรรพชนเฒ่า ก็ไม่เห็นสกุลเสิ่นถูออกหน้าแต่อย่างใด?
‘เขาคงจะคิดมาไปเองกระมัง!’
‘อีกอย่าง ต่อให้ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นอาจเอื้อมเผยอขึ้นไปข้องเกี่ยวกับสกุลเสิ่นถูแล้วอย่างไรเล่า!
หากเขาฆ่าคนสองคนนี้แล้ว สกุลเสิ่นถูจะยอมแตกหักกับสกุลสุ่ยเพียงเพราะคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสองคนนี้?’
‘ยิ่งกว่านั้นบัดนี้บรรพชนเฒ่าของสกุลสุ่ยก็กลายเป็นปราชญ์ราชันย์คนที่สามของแผ่นดินอู๋โยวแห่งนี้ไปแล้ว! ต่อให้สกุลเสิ่นถูไม่พอใจ แต่คิดว่าคงจะต้องเก็บอาการไว้หน้ากันอยู่บ้างละ!’
เมื่อคิดไตร่ตรองทุกสิ่งอย่างโดยละเอียดแล้ว สุ่ยเจ่อซีก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป
‘หญิงผู้นี้สังหารน้องชายของเขา เขาจะต้องฆ่านางแก้แค้นให้กับสุ่ยเจ๋อเป่ย!’
ฝ่ายหนึ่งคือเทพอาวุโสที่เพิ่งจะสำเร็จขั้นมาสดๆร้อนๆ อีกฝ่ายคืออวี้เฟยเยียนที่วนเวียนอยู่ที่ขั้นปราชญ์อาวุโสขั้นปลายมานานแสนนาน
ศึกนี้ ได้ลั่นกลองรบขึ้นแล้ว
“ฮ่าๆ——”
ดาบเล่มใหญ่ของสุ่ยเจ๋อซีส่องประกายวาบวับยามกระทบแสง เขาเงื้อดาบขึ้นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลฟันฉับลงไปโดยมีอวี้เฟยเยียนเป็นเป้าหมาย
ตอนนี้ เลือดลมของสุ่ยเจ๋อซีสูบฉีดเต็มที่ มีเรี่ยวแรงมหาศาล ยากที่มนุษย์ซึ่งมีเลือดเนื้อห่อหุ้มเป็นเกราะกำบังจะต้านทานได้
แม้แต่กำแพงแก้วสีน้ำเงินอ่อนยังสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังจำนวนมหาศาล
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุ่ยเจ๋อซีที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลราวกับวัวหนุ่ม ทั้งยังมีไอสังหารที่เข้มข้นเปล่งออกมาจากร่างของเขาตลอดเวลา อวี้เฟยเยียนจึงเลือกที่จะหลบหลีกอย่างรวดเร็วและฉับไว้
แม้นางจะหลบหลีก แต่สุ่ยเจ๋อซีกลับไม่ยอมปล่อยให้นางหนีไปได้นาน เขาไล่ตามหลังอวี้เฟยเยียนไปติดๆ ด้วยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องฆ่าศัตรูที่สังหารน้องชายของตนให้ขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียว
เพียงแต่ อวี้เฟยเยียนหัวไว รู้จักพลิกแพลง มีกระบวนท่าหลากหลาย ทำให้สุ่ยเจ๋อซีไม่สามารถเข้าใกล้อวี้เฟยเยียนแม้เพียงครึ่งคืบตรงกันข้ามนางยังสามารถหาโอกาสเข้าถึงตัว จนสกัดจุดเขาได้หลายต่อหลายครั้ง
ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้นั้น ราวกับถูกเข็มเล่มเล็กๆทิ่มแทงแล้วหายไป ซึ่งมันเหมือนกับความรู้สึกที่ถูกสกัดจุดเมื่อครู่ทุกประการ
“เก่งจริงเจ้าก็อย่าเอาแต่หนีสิ!”
สุ่ยเจ๋อซีถูก ‘ปั่นหัว’ เสียจนอารมณ์คุกกรุ่น
เขารึคิดไปว่าเขาจะรีบเผด็จศึกนี้ให้ได้โดยเร็ว ใครจะคาดคิดเล่าว่าอีกฝ่ายที่เป็นเพียงปราชญ์อาวุโสเท่านั้น จะทนทายาด ทั้งการดำรงอยู่ของพลังยุทธรวมทั้งความรวดเร็ว มิได้ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิดทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
‘นังคนนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้!’
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สุ่ยเจ๋อซีก็ยิ่งมั่นใจในความคิดนี้มากขึ้นเท่านั้น ลูกสาวของเขาทั้งสี่คน ไม่มีสักคนที่เก่งกาจทัดเทียมอวี้เฟยเยียนได้เลย
หากว่าเขาปล่อยให้นางยิ่งก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆละก็ สักวันหนึ่งนางจะต้องกลายเป็นหนามยอกอกของสกุลสุ่ยอย่างแน่นอน
‘ดังนั้นวันนี้จะต้องฆ่านางให้ได้!’
ความคิดมุ่งร้ายของสุ่ยเจ๋อซี อวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้
‘ดูถูกนาง หมายจะเอาชีวิตของนางนะหรือ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก’
“เจ้าจะหลบไปถึงเมื่อไหร่กัน!”
สุ่ยเจ๋อซีเพิ่งจะสำเร็จขั้นเทพอาวุโส ลมปราณจึงยังไม่คงที่ การต่อสู้ที่ยืดเยื้อไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างมาก
แต่อวี้เฟยเยียนกลับมีที่ว่าจะเล่นไม้นี้แน่แล้ว จึงเอาแต่หลบหลีกถ่วงเวลาเขา ไม่ยอมออกมาเผชิญหน้าโดยตรง น่าโมโหที่สุดเลย!
“มีปัญญาก็มาจับข้าให้ได้สิ?”
อวี้เฟยเยียนยิ้ม รอยยิ้มของนางราวกับผีเสื้อสีชมพูที่ไม่รู้สึกว่าการถูกจองจำอยู่ในโลกใบนี้เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวมากเพียงใดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายมีอิสระเสรี ตั้งอกตั้งใจปั่นหัวสุ่ยเจ๋อซีต่อไป
คนทั้งสามที่ยืนมองอยู่เบื้องล่างเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว ก็คลายความกังวลลงไปได้บ้าง
‘แต่ก็ไม่รู้ว่าอวี้เฟยเยียนจะยื้อได้นานเท่าไหร่นะสิ!’
‘นายท่านก็คงจะไม่กลับมาตอนนี้เดี๋ยวนี้เสียด้วย ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรดี?’
แต่ทว่าเวลาไม่ค่อยท่าให้พวกเขาได้มานั่งเฝ้าสังเกตการณ์ศึกตรงหน้าอีกต่อไป นักรบของสกุลสุ่ยที่ปรับสภาพร่างกายได้เริ่มที่จะตอบโต้กลับ พุ่งเข้าใส่ชิงหง เสวี่ยเยี่ยน และหลิวเซิ้งทันที
กำลังของศัตรูมีมาก กำลังของเรามีน้อย ศึกนี้จึงเป็นศึกที่ยากลำบากยิ่งนัก
“ไอ้พวกบัดซบ!”
“กล้ารังแกแม่นางน้อย ข้าจะกัดคอพวกเจ้าให้ตาย!”
“ไอ้พวกสวะเน่า!”
หานจื่อใช้ความอึดอัดโกรธเคืองเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นพลัง ฉับพลันกองกกำลังของสกุลส่ยจึงกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของหานจื่อโดยฉับพลัน หานจื่อเน้นเข้าโจมตียอดฝีมือที่มีวรยุทธ์สูง เพื่อแบ่งเบาภาระของพวกชิงหง เสวี่ยเยี่ยนและหลิวเซิ้ง
“หึๆ เจ้าตัวนี้ดุร้ายไม่เบา!”
วินาทีที่หานจื่องับหัวของหนึ่งในนักรบของสกุลหลิวไป แล้วเคี้ยวศีรษะของเขาก่อนจะกลืนลงไปนั่นเอง เสียงที่ฟังดูสนอกสนใจสุนสนานร่าเริงก็ดังแว่วมา
“ใคร?”
เมื่อหานจื่อเงยหน้าขึ้น สายตาของมันก็ปะทะกับชายวัยกลางคนเครายาวผู้หนึ่ง
‘เขาคือ…ศัตรู? หรือคนผ่านทาง?’
เมื่อยังไม่รู้แน่ชัดถึงเจตนาของอีกฝ่าย หานจื่อจึงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะเข้าโจมตี มันพองขนทั่วร่างอย่างระแวดระวัง
“โอ้? เอาจริงแล้วอย่างนั้นหรือ?” ชายเครายาวปลดน้ำเต้าไม่ไผ่บรรจุสุราเอาไว้ที่เอวออกมา แล้วกระดกดื่มมันเข้าไปสองอึก
“ข้ามีสุราดี เจ้าจะดื่มด้วยกันหรือไม่?”
“ข้าไม่ต้องการ!”
หานจื่อจ้องมองชายเครายาวด้วยความหวาดระแวง
‘บุคคลที่อยู่ตรงหน้ามันนี้จัดว่าเป็นยอดฝีมือที่มีฝีมือสูงส่งพอๆกับนายท่านของมันเลยทีเดียว เขาเป็นใครกัน?’
“วางใจเถอะ ข้าไม่มีเจตนาร้าย!” เสิ่นถูปั๋วอี้มองดูเจ้าหมายักษ์สีดำที่จ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้ายไม่เป็นมิตรแล้วก็ถึงกับเราะแก้เก้อออกมา เผยให้เห็นฟันซี่ใหญ่สีขาวทั่วทั้งปาก
“ข้าเพียงแค่ผ่านทางมา!’
“ผ่านทาง? จริงหรือ?”
จนแล้วจนเล่าหานจื่อก็ยังจ้องมองชายเครายาวผู้นี้ไม่วางตา
‘ตอนนี้พวกเรากำลังต่อสู้กับศัตรู จะเสียสมาธิไม่ได้ มันจะต้องคอยระมัดระวังให้มาก’
หานจื่อยังคงตั้งหน้าตั้งตาจับตาดูเสิ่นถูปั๋วอี้ต่อไป นักรบสกุลสุ่ยเมื่อเห็นดังนั้นจึงแอบย่องเข้ามาจากทางด้านหลังของมัน แล้วเงื้อกระบี่ขึ้นฟันฉับลงมาหมายที่หัวของหานจื่ออย่างมุ่งร้าย
“ระวัง——”