‘หรือว่าหัวสมองของเขามันเป็นสมองหมูกัน?’
“บรรพชนเฒ่า ท่านจะต้องแก้แค้นให้หลิวหลางนะคะ!”
เหวินหลานเมื่อเห็นว่าหลิวปิงปิงเงียบกริบโดยไม่กล่าวอะไรอยู่เป็นนาน จึงรวบรวมความกล้ากล่าวออกไปประโยคหนึ่ง
“หุบปาก!” หลิวปิงปิงท่ากราด
“แต่งเมียทั้งทีต้องแต่งเมียดีเข้าบ้าน! ในตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้วที่จะแต่งเจ้าเข้าบ้าน แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า เรื่องน่าขยะแขยงที่เจ้ากับหลิวอ้าวหลานร่วมกันก่อขึ้น ข้าสู้อุตส่าห์ช่วยเหลือพวกเจ้าปิดบังมันเอาไว้ เจ้ายังไม่รู้จักสำนึกตัวตอนนี้ยังเกือบจะทำลายวรยุทธ์ที่ข้าสู้อุตส่าห์เพียรฝึกมาอีกด้วย!”
“หากว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเหวินจู๋ละก็ ข้าฆ่าเจ้าตายไปตั้งนานแล้ว!” แน่นอนว่าหลิวปิงปิงย่อมต้องไม่เอ่ยเรื่องที่ตนเองเข้าฌาณล้มเหลวให้ใครได้รู้อยู่แล้ว
สกุลหลิวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว หากว่านางเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีก สกุลหลิวคงถึงคราวอวสานแล้วเป็นแน่
จู่ๆ ก็ถูกหลิวปิงปิงด่าทอ ทำเอาเหวินหลานทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันที
‘นางโดนหลิวอ้าวหลานใช้กำลังปลุกปล้ำ ไม่ใช่ความต้องการของนางเลยสักนิด แต่เพราะอะไรบรรพชนเฒ่าถึงได้พูดจาให้นางเสียหายถึงเพียงนี้? เพราะอะไร?’
หลิวอวี๋เซิงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำลายคนอื่นไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ทำร้ายตัวเอง สมน้ำหน้า!
“เจ้าจะให้ข้าไปแก้แค้นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเพื่อมัน? ข้าเป็นเพียงเทพอาวุโส เจ้าจะให้ข้าไปต้านทานปราชญ์ราชันย์? หรือเจ้าเกรงว่าที่สกุลหนานกงและสกุลสุ่ยล่มสลายลงไป พวกมันอยู่ในนรกจะเงียบเหงา ต้องการให้ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนพวกมันอย่างนั้นหรือ?!”
เมื่อกล่าวถึงช่วงที่ต้องใช้อารมณ์ หลิวปิงปิงก็ใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับไอออกมาอย่างหนัก
“แคกๆ!” หลิวปิงปิงไอเลือดออกมาใส่ผ้าเช็ดหน้า นางจึงรีบซ่อนผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ภายในเสื้อย่างรวดเร็ว
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ห้ามคนของสกุลหลิวทั้งหมดพูดถึงเรื่องแก้แค้นอีก ให้ลูกหลานสกุลหลิวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตรงหรือสายรอง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลให้รีบกลับเมืองเหมยทั้งทันที! นับตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าจงเก็บหางของตัวเองให้เรียบร้อย ปฏิบัติตัวเสียใหม่!”
“วันๆอย่าได้คิดแต่จะไปแก้แค้น ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเด็กหรือแก่ ให้ทุกคนตั้งใจเก็บตัวฝึกวิชา!”
ในช่วงเวลาขับขันเช่นนี้ การตัดสินใจของหลิวปิงปิงนั้นถือว่าถูกต้องที่สุด
สกุลหลิวถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเก็บตัวสักพัก
ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นกำจัดสกุลหนานกงและสกุลสุ่ย ทั้งยังสำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์อย่างราบรื่น ความสามารถของเขามิอาจมองข้ามได้
หลิวปิงปิงรับรู้เป็นอย่างดีว่า เทพอาวุโสและปราชญ์ราชันย์ระดับขั้นวรยุทธ์ต่างกันมากเพียงใด นางยังเป็นห่วงอยู่เลยว่า เกิดประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมาคิดบัญชีเรื่องที่สกุลสุ่ยและสกุลหลิวร่มมือกันเล่นงามเขาถึงที่นี่ละก็ นางจะรับมือเขาได้อย่างไร
เพราะอย่างไรเสีย สกุลหลิวเป็นฝ่ายไปขอร่วมมือกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นก่อน ภายหลังก็ตระบัดสัตย์พลิกลิ้น หันไปเข้าพวกกับสกุลสุ่ย
หากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นกัดไม่ปล่อยในเรื่องนี้ จะต้องล้างบางสกุลหลิวให้ได้ละก็ ด้วยกำลังของสกุลหลิวในตอนนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย
เกรงเสียแต่ว่า สกุลหลิวยังไมทันมีโอกาสที่จะได้เห็นอาทิตย์ขึ้น ก็ต้องดับสูญเสียแล้ว!
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงจะต้องมีใครสักคนออกหน้ารับผิดชอบเผชิญหน้ากับพายุแห่งความโกรธเคืองของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่กำลังจะมาถึง
เมื่อไตร่ตร่องเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดชัดเจนดีแล้ว หลิวปิงปิงก็มีสีหน้าเข้มขึ้นไปถนัดตา จากนั้นจึงค่อยประกาศการตัดสินใจที่สำคัญอีกเรื่อง
“อะไรนะ! บรรพชนเฒ่า ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
เมื่อเหวินหลานได้ยินว่าหลิวปิงปิงจะขับหลิวอวี๋เซิงออกจากตระกูล ก็ยืดอกทันทานเสียงแข็ง ทว่ากลับไม่ได้รับความสนใจจากหลิวปิงปิงเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของหลิวปิงปิง ความโง่เขลาของและความละโมบของหลิวอวี๋เซิงจะนำพาสกุลหลิวไปสู่อันตราย เขาคือคนผิดของสกุลหลิว
“ไม่กระทำเช่นนี้ หากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมากล่าวโทษละก็ ใครจะเป็นผู้รับ?”
“ในเมื่อโง่งมนัก เช่นนั้นก็จงตั้งใจเฝ้าตระกูลให้ดีต่อไปเถอะ และอย่าไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองอีก”
“หากไม่มีวาสนาก็อย่าเผยอ ก็จงแยกแยะเหตุและผลให้ออก เพราะหลิวอวี๋เซิง หากมิใช่เพราะเขา สกุลหลิวเราจะมีคนต้องตายมากมายถึงเพียงนี้หรือ?!”
ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวของหลิวปิงปิง ทำเอาเหวินหลานพูดไม่ออก
“ข้าไม่เพียงแต่จะขับหลิวอวี๋เซิงออกจากสกุลหลิว ข้ายังจะส่งคนไปอธิบายเรื่องนี้ให้กับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นได้เข้าใจ! ไม่แน่อาจจะทำให้เรื่องนี้สงบลงได้!”
“หึ เจ้าคิดว่าปราชญ์ราชันย์เป็นอะไร? เขาไม่เอาผิดสกุลหลิว ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว”
คำพูดของหลิวปิงปิงถือเป็นดั่งราชโองการของสกุลหลิว
ดังนั้น ศพของหลิวอวี๋เซิงจึงถูกโยนทิ้งออกไปนอกเขตเมืองเหมยทันที ส่วนเหวินหลานที่เอาแต่กอดศพของหลิวอวี๋เซิงเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ จึงถูกโยนออกไปพร้อมกันด้วย
แม้ว่าหลิวปิงปิงจะไม่ได้สนใจเรื่องราวภายในสกุลหลิวมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ครั้งนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ นางจึงต้องรีบเร่งออกมาดูแลจัดการเรื่องราวทุกอย่างภายในสกุลหลิวด้วยตัวเอง ดังนั้นคำสั่งนี้จึงถูกถ่ายทอดลงไปอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในคำสั่งการของมากมายของหลิวปิงปิงนั้น ข้อที่โหดร้ายทารุณจนแทบไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่เลยนั่นก็คือ นางสั่งการให้สังหารสุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่ตั้งครรภ์ได้หกเดือนไปด้วย
เพราะตอนนี้หลิวปิงปิงโกรธแค้นสกุลสุ่ยและคนของสกุลสุ่ยคนเข้ากระดูกดำ!
บุตรสาวของสกุลสุ่ยคือสะใภ้คนโตของสกุลหลิว แต่สกุลสุ่ยกลับไม่เห็นแก่ความเป็นญาติแม้สักนิด ตลบหลังสกุลหลิวได้ ทั้งยังให้ร้ายจนสกุลหลิวต้องมีจุดจบน่าอนาถเช่นนี้ สมควรตายยิ่งนัก!
ครั้นเมื่อสุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์ถูกลากออกไป หลิวปั๋วยังคงนั่งคุกเข่าโขกศีรษะขอร้องแทนนางไม่เลิก
“บรรพชนเฒ่า ขอท่านเห็นแก่ที่นางกำลังตั้งครรภ์ ปล่อยอวิ๋นเอ๋อร์ไป! ไว้ชีวิตนางสักครั้งด้วยเถอะ! บรรพชนเฒ่า ลูกในท้องของนางคือลูกของข้า คือลูกหลานสกุลหลิวนะครับ!”
สุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์แม้จะมีนิสัยเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่ก็เง้างอนน่าเอ็นดู ทั้งยังนางยังมีรูปร่างหน้าตางดงาม ดังนั้นหลิวปั๋วจึงรักนางมาก
เมื่อมองเห็นการกระทำของหลิวปั๋วแล้ว หลิวปิงปิงก็ถึงกับส่ายหน้า
‘เชื้อไม่ทิ้งแถว โง่เหมือนพ่อมันไม่มีผิดจริงๆ!’
ความแค้นระหว่างสกุลหลิวและสกุลสุ่ยมิใช่จะจบลงได้เพียงแค่วันสองวัน!
“ลูกของนางแซ่หลิว แต่ในตัวกลับมีเลือดของสกุลสุ่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง! เจ้าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฮ่อหรอกหรือ? สกุลสุ่ยลอบโจมตีสังหารคนของสกุลหลิวสิบห้าชีวิต พวกเขาวางแผนการเอาไว้ล่วงหน้า คิดตลบหลังสกุลหลิวตั้งแต่แรก อีกอย่าง พ่อตาของเจ้าไม่ได้เห็นเจ้าเป็นลูกเขย ไม่ได้เห็นเป็นพวกเราเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย เขาคิดที่จะเล่นงานสกุลหลิวตั้งแต่แรก คนเช่นนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้”
“เจ้าจงจำเอาไว้ สุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ใช่ภรรยาของเจ้า แต่เป็นศัตรู!”
หลิวปิงปิงพูดจาไม่ให้ใครได้โต้แย้งขึ้นมาได้อีก เพียงไม่นาน คนรับใช้ของสกุลหลิวก็ถือศีรษะของสุ่ยอวิ๋นเอ๋อร์เข้ามา เมื่อหลิวปั๋วเห็นศีรษะของผู้เป็นภรรยาเข้าก็ถึงทนดูไม่ไหวกับเป็นลมล้มพับลงไปเลยทีเดียว
เเมื่อเห็นสภาพของหลิวปั๋วแล้ว หลิวปิงปิงก็ถึงกับส่ายหน้า
‘ไร้ประโยชน์สิ้นดี’
‘มิน่าเล่าสกุลหลิวถึงได้ล่มจม’
‘ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมีความคิดเห็นประการใดต่อสกุลหลิว’
‘หากว่าเขามาคิดบัญชีสกุลหลิวถึงที จะทำอย่างไรกันดี?’
ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนกลับมิได้ล่วงรู้เลยว่าบรรพชนเฒ่าแห่งสกุลหลิวกำลังครุ่นคิดถึงเขาอย่างหนัก เพราะในตอนนี้เป็นเวลาสามวันเข้าไปแล้วที่อวี้เฟยเยียนเก็บตัวเข้าฌาณ แล้วเงียบหายไปโดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนมีกำลังใจที่แข้งแกร่งเพียงพอละก็ เขาคงจะบุกเข้าไปดูสภาพการณ์ภายในตั้งนานแล้ว
สามวันมานี้ ทุกคนเอาแต่เป็นห่วงอวี้เฟยเยียน เมื่อไม่เห็นอวี้เฟยเยียนออกมา ทุกคนล้วนแต่เป็นกังวลใจ
เสิ่นถูปั๋วอี้ก็ใจกว้างพอที่จะพำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อได้โดยไม่ถือสา เขาเป็นผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นปราชญ์ราชันย์ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังเกรงอกเกรงใจ แต่ครั้งนี้กลับพบเข้ากับสถานการณ์ที่ต่างออกไป