ที่โรงเตี้ยมเซียนเค่อแห่งนี้ ไม่มีใครสนใจเขาเลยจริงๆ
แม้แต่เสิ่นถูเลี่ยเองก็ไม่ได้มาอยู่คอยเป็นเพื่อนเสิ่นถูปั๋วอี้สักเท่าไหร่ ทว่ากลับเอาแต่ไปเฝ้าดูอวี้เฟยเยียนที่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง
น่าประหลาดใจยิ่งนัก!
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ คนพวกนั้นคงจะแทบนั่งมอบแทบเท้าเขาราวกับคนรับใช้ไปแล้ว! หายากนักที่จะได้พบสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งเสิ่นถูปั๋วอี้ก็ไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับดีใจด้วยซ้ำ
เขาไม่ชอบพวกประจบประแจงเอาอกเอาใจเขาเลยสักนิด เขาชื่นชอบคนที่จริงใจ!
เสิ่นถูปั๋วอี้จึงถือโอกาสนี้ พินิจพิจารณาพวกของอวี้เฟยเยียนโดยละเอียดทีละคนเสียเลย
‘อวี้ซิงฉง ไม่เลว! หมีเยว่ก็มีพรสวรรค์ดี!’ คนทั้งสองฝืนเข้าตาเสิ่นถูปั๋วอี้มาได้
สำหรับเจ้าหนุ่มท่าทางซื่อบื้อสักหน่อยที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหมอนั้น ได้ยินเขาเรียกแม่หนูน้อยว่า น้องสาว
‘พวกเขาเป็นญาติกัน?’
‘เป็นหมอ ในด้านของวรยุทธ์ยังสามารถสำเร็จได้ถึงขั้นอ๋อง ไม่ง่ายเลยจริงๆ’
‘แต่ ยังถือว่าห่างไกลจากศิษย์ของเขาอยู่อีกนิดหน่อย!’
คนที่ทำให้เสิ่นถูปั๋วอี้รู้สึกสนใจมากที่สุดก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียน เขาที่ใช้ชีวิตมาสองร้อยกว่าปี แต่กลับดูเจ้าหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ไม่ออกเลยจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสิ่นถูเลี่ยบอกว่าซย่าโหวฉิงเทียนอายุยังไม่ถึงยี่สิบสี่ ก็ทำให้เสิ่นถูปั๋วอี้ยิ่งให้ความสนใจในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก
‘ปราชญ์ราชันย์ที่ยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ ทำลายสถิติทั้งหมดของอู๋โยวที่เคยมีมา’
‘เขาเติบโตมาอย่างไรกัน?’
เ’ขายังเป็นคนอยู่ใช่หรือไม่?’
แม้ว่าเสิ่นถูปั๋วอี้อยากที่จะพูดคุยกับซย่าโหวฉิงเทียนสักหน่อย แต่ทว่าตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนสนใจเพียงแค่อวี้เฟยเยียนเท่านั้น เสิ่นถูปั๋วอี้จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้นไป
ดังนั้นตอนนี้คนที่เสิ่นถูปั๋วอี้ให้ความสนใจมากที่สุดจึงกับกลายเป็นอวี้เฟยเยียน
นางสามารถเอาชีวิตรอดออกมาจากการที่เทพอาวุโสระเบิดตัวเองได้ ทั้งยังเตรียมสำเร็จขั้นอีกด้วย น่าสนใจยิ่งนัก!
‘สามีภรรยาตัวน้อยสองคนนี้เก่งกาจยิ่งนัก!’
จนกระทั่งถึงช่วงเช้าของวันที่สี่ แสงทองพุ่งตรงออกมาจากห้องของอวี้เฟยเยียนกระทบกับก้อนเมฆ
“แมวน้อย!” ซย่าโหวฉิงเทียนลุกยืนขึ้น มองไปยังแสงสีทองที่วนรอบอยู่ที่เพดานด้วยความตื่นเต้น
หากสำเร็จขั้นเหนือกว่าราชาอาวุโสขึ้นไป ลำแสงของพลังจะเป็นสีรุ้ง พูดง่ายๆนั่นก็คือ ผู้ที่สำเร็จถึงขั้นราชาอาวุโสขึ้นไป ก็จะสามารถเลือกสีพลังของตนเองได้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว
และอวี้เฟยเยียนก็เลือกแสงสีทองระยิบระยับ สีนี้ช่างสง่างามมีพลัง รุ่งโรจน์อย่างที่สุด
“สำเร็จข้ามขั้น? ราชาอาวุโส? ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่——”
เมื่อเสิ่นถูเลี่ยมองเห็นลำแสงของพลังเป็นสีทอง ก็ร้องขึ้นอย่างเหลือเชื่อ หน้าตาท่าทางราวกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นก็หงายหลังตึงล้มลงบนเสิ่นถูปั๋วอี้นั่นเอง
“บรรพชนเฒ่า ขอท่านให้ข้าได้พักพิงหน่อยเถอะ! ข้ารับไม่ไหวจริงๆ!” เพราะอะไรเมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับเสวี่ยอวี้ ฉายาบัณฑิตของข้าเห็นที่คงจะต้องมอบให้กับนางเสียแล้ว!
ซึ่งเรื่องนี้ เสิ่นถูปั๋วอี้เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“ไม่ผิดหรอก เทียบกับนางแล้ว เจ้าถือว่าเป็นทรัพยากรที่โง่มากทีเดียว!”
คำวิจารณ์ของเสิ่นถูปั๋วอี้ กระหน่ำซ้ำเติมโจมตีเสิ่นถูเลี่ยอย่างหนักหน่วง จนเขาต้องกุมหัวใจเอาไว้ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“บรรพชนเฒ่า ท่านกำลังเห็นคนนอกดีกว่าลูกหลานของตัวเองนะครับ!”
“ข้าไม่ได้เห็นคนนอกดีกว่า ข้าเพียงแต่เข้าข้างลูกศิษย์ของข้าเท่านั้น! จะว่าไป ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เจ้าต่างหากที่ดูเหมือนคนนอกมากกว่าเสียอีก!”
“พรวด”
เมื่อได้ยินบรรพชนเฒ่าของตัวเอง จัดให้ตนเองอยู่ในเขตของคนนอก ส่วนอวี้เฟยเยียนกลับกลายเป็น ‘คนกันเอง’ ไป ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว
‘ไม่เยาะเย้ยถากถางกันเช่นนี้สิ บรรพชนเฒ่าของข้า!’
“พวกเจ้าดูนั่นสิ!”
ชิงหงชี้ไปบนท้องฟ้า ที่แท้หลังจากที่ปรากฏลำแสงสีทองขึ้นแล้วก็ยังปรากฏลำแสงสีแดงขึ้นมาพร้อมกัน ลำแสงสีทองและสีแดงพาดเข้าด้วยกัน ความสวยงามที่ปรากฏขึ้นแลดูแปลกตาอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ลำแสงสองสี?” คราวนี้ทำให้เสิ่นถูปั๋วอี้ถึงกับตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ลำแสงสองสีของพลังวิเศษ นี่นับเป็นครั้งแรก
แม้แต่เสิ่นถูปั๋วอี้ที่อายุกว่าสองร้อยปียังไม่เคยพบเคยเห็น คนอื่นๆยิ่งไม่รู้ความหมายใหญ่
พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่าอวี้เฟยเยียนนอกเสียจากลำดับขั้นวรยุทธ์จะก้าวหน้าแล้ว ระดับวิชาแพทย์ของนางก็ก้าวหน้าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แสงสว่างจ้าสีแดงสดนี้ หมายถึงความสำเร็จในด้านวิชาแพทย์ของนาง ที่ตอนนี้นางสำเร็จถึงเทพโอสถเป็นที่แล้ว
“แมวน้อย——”
รอจนกระทั่งลำแสงนั้นหายไป ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้พุ่งตัวเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนในห้อง เมื่อได้กกกอดความอบอุ่นจากเนื้อตัวที่นุ่มนิ่มของคนในอ้อมกอดแล้ว พลันก็ทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงความหวาดกลัวตลอดสองสามวันที่ผ่านมาของซย่าโหวฉิงเทียนสงบลงได้
“ฉิงเทียน ข้าทำสำเร็จแล้ว——” อวี้เฟยเยียนกอดซย่าโหวฉงิเทียนเอาไว้แน่น อ้อมกอดของเขายังคงให้ความอบอุ่นแก่นางเสมอมา
“ใช่ เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก! เจ้าสำเร็จข้ามขั้น เจ้าทำให้ผู้คนทึ่ง ชื่นชมและเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากนวลของอวี้เฟยเยียนโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเนื้อตัวของนางจะยังเลอะเทอกเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ขอเพียงแต่ยังรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของนาง เขาก็พอใจแล้ว
หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแสดงความรักต่อกันจนสมกับความคิดถึงแล้ว คนทั้งสองก็ออกมาจากห้อง อวี้เฟยเยียนจึงได้เห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนรออยู่ด้านห้องพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าเก่งกาจเช่นนี้ พี่ใหญ่อย่างข้ารู้สึกกดดันมากจริงๆ!” อวี้ซิงฉงฉีกยิ้มแล้วก้าวไปด้านหน้ากอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้
“ข้าจะต้องเร่งมือ มุ่งมานะพยายามเพื่อสำเร็จขั้นให้สำเร็จ ข้าจึงจะสามารถปกป้องเจ้าได้! มิเช่นนั้น ข้าคงเป็นพี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง ที่เอาแต่พึ่งพาคนอื่นตลอดไปเป็นแน่!”
อวี้ซิงฉงปาก็เอ่ยกล่าวไป ขณะเดียวกันเขาย่อตัวให้ศีรษะอยู่ในระดับเดียวกันกับบ่าของอวี้เฟยเยียน การกระทำอันแปลกประหลาดของเขา ทำให้ทุกคนต้องหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หมีเยว่พินิจมองอวี้ซิงฉงที่ตัวเบ้อเร่อกระทำเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มออกมา
“เดิมทีข้าหลงคิดไปว่าในครั้งนี้ตนเองพัฒนาไปมาก แต่เมื่อเห็นความสำเร็จของน้องสาวแล้ว ความมั่นใจของข้าก็ต้องสั่นคลอน!”
ใบหน้าของตี้อู่เฮ่ออี้ที่เดิมทีผอมตอบและเรียวเล็กอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งผ่ายผอมเข้าไปอีก
“น้องพี่ เจ้าต้องช้าหน่อยนะ! หากว่าเจ้ายังเร็วกว่านี้อีกละก็ พี่ชายเจ้าคนนี้จะตามเจ้าไม่ทันเสียแล้ว!”
สิ่งที่ตี้อู่เฮ่ออี้หมายความถึง คือวิชาแพทย์ แต่เมื่อเขากล่าวออกมาไม่ชัดเจนเช่นนี้ จึงให้ความหมายได้สองแง่สองง่าม ซึ่งนั้นทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนที่ได้ยินจึงลากกคอตี้อู่เฮ่ออี้ขึ้นมาทันที
“เจ้าจะตามนางอย่างไร? นางเป็นคนของข้าแล้ว!”
“น้องเขย น้องเขย เจ้าปล่อยมือนะ! น้องพี่ เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็ว!”
แม้ว่าตี้อู่เฮ่ออี้จะไม่ถึงกับเตี้ย แต่ว่าเขาก็มีรูปร่างผอม ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของซย่าโหวฉิงเทียนได้ ตี้อู่เฮ่ออี้เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนที่เอาแต่ยืนมองพร้อมกับหัวเราะอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตะโกนออกมา
“น้องเขย ข้ามีเจ้าของแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ปล่อยมือ
ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีกับอวี้เฟยเยียนที่นางสำเร็จขั้น เสิ่นถูเลี่ยเองก็เตรียมจะเข้ามาแสดงความยินดีทว่ากลับถูกเสิ่นถูปั๋วอี้ชิงตัดหน้าเสียก่อน
“แม่หนู ข้าคือเสิ่นถูปั๋วอี้ เจ้าช่างมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม จะสนใจที่จะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?”
อวี้เฟยเยียนพอจะจดจำชายเครายาวผู้นี้ได้ สุ่ยเจ๋อซีเมื่อเห็นเขาก็ให้ความเคารพยำเกรงเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่า แค่ได้เอ่ยปากก็จะรับนางศิษย์เสียแล้ว แลจะกระตือรือร้นเกินไปหน่อยกระมัง แต่ยังไม่ทันที่อวี้เฟยเยียนจะเอ่ยตอบอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็โอบเอวนางเอาไว้แล้วตอบคำถามแทนนางว่า
“แมวน้อยมีข้าแล้วทั้งคน ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์!”
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนเด็ดขาดชัดเจน
อาจารย์อะไรพวกนั้น สำหรับอวี้เฟยเยียนแล้วนับเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกินความจำเป็นสิ้นดี