ระหว่างทางที่เดินผ่านเสิ่นถูเลี่ย อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
“พลังวิเศษสีชมพู หัวใจ…สาวน้อยจริงๆเลยนะ!”
รู้ดีว่าอวี้เฟยเยียนกำลังหัวเราะตนเอง เสิ่นถูเลี่ยก้รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
จะโทษเข้าก็ไม่ได้นี่นา!
สถานการณ์เช่นนั้น วินาทีที่ผู้ฝึกวรยุทธ์กำลังจะสำเร็จขั้นจักรพรรดิอาวุโสขึ้นอยู่กับสมองกำลังคิดอะไรอยู่ พลังวิเศษก็จะเป็นสีนั้นๆ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร วินาทีที่กำลังจะสำเร็จขั้นนั้นฉับพลันเขากลับคิดถึงสีหน้าของอวี้เฟยเยียนที่หัวเราะเยาะเขา บอกเขาว่าอย่าพ่ายแพ้ให้กับนางเช่นนั้นขึ้นมา อีกทั้งเขายังคิดที่จะออกไปสดงฝีมืออีกด้วย แต่ผลก็คือพลังวิเศษกลับกลายเป็นสีชมพูเสียอย่างนั้น
น่าขายหน้าที่สุดเลย!
คนอื่นปล่อยพลังวิเศษออกมา แต่ละสีช่างน่าเกรงขาม และงดงาม แต่เมื่อเขาลงมือ
‘สีชมพูที่น่ารักนี้ กลับกลายเป็นน่าขำขันอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่เขาลงมือก็ทำให้ศัตรูหัวเราะจนจะเป็นจะตายได้เลยกระมัง!’
“ห้ามหัวเราะนะ!” เสิ่นถูเลี่ยเข่นเขี้ยวเชี้ยวฟัน
แต่ยังไม่ทันที่เสิ่นถูเลี่ยจะได้ข่มขู่อวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอื้อมมือออกมาตบที่ไหล่เขาเสียก่อน
“พลังวิเศษหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร พลังในการจำแนกแยกแยะสูงส่ง”
เรื่องการซ้ำเติมคนนี้ซย่าโหวฉิงเทยีนถนัดนัก โดยไม่รอให้เสิ่นถูเลี่ยกระอักเลือด ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินจากไปไกลแล้ว
“เฮ่! พวกเจ้าอย่ามารังแกกันเช่นนี้นะ!”
เสิ่นถูเลี่ยสีหน้าอมทุกข์ ส่วนคนที่เหลือต่างพากันทำตามแบบเดียวกันกับซย่าโหวฉิงเทียน เดินเข้ามาตบที่บ่าเขาพร้อมกับกล่าวคำพูดทำนองเดียวกัน แม้แต่อาหูยังพลอยเป็นไปกับเขาด้วย
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ถูกหัวเราะเยาะจนได้…
เสิ่นถูเลี่ยนั่งยองลงใช้มือวาดพื้นเป็นวงกลมไปพลางครุ่นคิดว่า หากมีโอกาไสด้เลือกอีกครั้งละก็ ข้าจะต้องเลือกสีที่ดูภูมิฐานเข้มแข็งอย่างแน่นอน!
ทั้งสำเร็จขั้น ทั้งจัดการเรื่องของพี่ใหญ่และซ้อใหญ่สำเร็จลุล่วงได้ อวี้เฟยเยียนจึงถือโอกาสแช่ตัวอยู่ในถังน้ำพร้อมๆกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาจากทางด้านหลังเพื่อนวดไหล่ผ่อนคลายให้กับนาง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่
“เป็นอะไรไป?”
ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดที่สุดของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนจึงสามารถรับรู้ความผิดปกตินั้นได้อย่างรวดเร็ว นางกลับหลังหันนอนคว่ำร่างราบลงไป ใบหน้าชันขอบอ่างมองซย่าโหวฉิงเทียนตาแป๋ว
“แมวน้อย——”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นกล่าวจากตรงไหน
“ตอนที่สุ่ยเจ๋อซีกำลังจะระเบิดตัวเองนั้น เจ้ารู้สึกแปลกๆบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่มีนี่นา!” อวี้เฟยเยียนส่ายหน้าเบาๆ
“ข้ารู้สึกเบลอไปชั่วขณะ หลังจากนั้นเจ้าก็ปรากฏตัว จะว่าไป เจ้าก็มาได้ทันเวลาพอดิบพอดีทีเดียวนะ! หากว่าเจ้ามาช้ากว่านั้นสักหน่อยละก็ ข้าคงต้องตายอย่างแน่นอน!”
เห็นทีว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่รู้อะไรจริงๆ ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ
ความจริงก็คือ วินาทีที่เขาไปถึงที่นั่นนั้น อวี้เฟยเยียนขดตัวเข้าหากัน โดยมีแสงสีทองรูปวงกลมโอบล้อมอยู่ แสงสีทองนั้นปกป้องนางเอาไว้!
แต่นางกลับจำอะไรไม่ได้เลย!
ที่น่าแปลกใจมากนั่นก็คือ แสงสีทองนั้นจางหายไปทันทีเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนปรากฏตัว เขาจึงรับร่างอวี้เฟยเยียนเอาไว้ที่กลางเวหา
“มีอะไรหรือ? “
อวี้เฟยเยียนเมื่อเห้นว่าซย่าโหวฉิงเทียนเงียบลงไปไม่พูดจา จึงเอื้อมมือออกมากระทุ้งเขาเล็กน้อย
เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ซย่าโหวฉิงเทียนข้องใจเป็นอย่างมากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ เดิมทีเขาคิดที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไตร่ตรองเพียงคนเดียว แต่เขาก็ไม่เคยพูดโกหกอวี้เฟยเยียนมาก่อน ดังนั้นเมื่อนางออดอ้อนออเซาะมากเข้า ซย่าโหวฉิงเทียนจึงต้องยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดในวันนั้นให้นางฟังโดยละเอียด
“ไข่สีทอง?” ปากน้อยๆของอวี้เฟยเยียนกลายเป็นวงกลม
‘ท่าทางเจ่งชะมัดยาก! หรือว่านางไม่ใช่มนุษย์ เป็นสัตว์ระหลาด? หรือว่าเป็นเทวดา? หรือว่า หรือว่านางคือเทพประจำตัวผู้คอยพิทักษ์รักษานาง? ถึงช่วงเวลาสำคัญนางจะกลายร่างหรือเปล่านะ?’
อวี้เฟยเยียนคิดจินตนาการไปต่างๆนานา ทว่า อวี้เฟยเหยียนพร่ำขึ้นมาเบาๆ
“ยังดื้อรั้นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน! เฮอะ!”
‘เจ้าหมอนั่นอีกแล้ว?’
ก่อนหน้านี้ที่นางฝึกสอนเจ้าไฟบรรลัยกัลป์นั้น มันก็เคยเปล่งเสียงออกมา ตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่!
ครั้งนี้ ถึงตาซย่าโหวฉิงเทียนเป็นฝ่ายกล่าวถามขึ้นมาบ้าง
“มีอะไรหรือ”
สำหรับเจ้า ‘สิ่งประหลาด’ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในร่างของตนเองนั้น อวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด นางจึงบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับซย่าโหวฉิงเทียนได้รู้
“ทำไมเจ้าถึงได้มาบอกเอาป่านนี้!” ซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อได้ฟังก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาทันที
‘เขาไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ เจ้าสิ่งแปลกประหลาด ชนิดนี้มาก่อน มันคงจะไม่ทำร้ายอวี้เฟยเยียนใช่ไหม!’
‘ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? หรือว่าควรจะถามเหลียนจิ่น? ให้เจ้าไม้เท้าเทพนั่นพยาการณ์ให้สักหน่อย?’
“เอาละๆ!” เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียด อวี้เฟยเยียนก็รีบปลุกปลอบว่า
“แม้ว่าไม่รู้ว่าเจ้านั่นเป็นอะไร เพราะอะไรถึงได้มาอยู่ในร่างของข้า แต่มันจะไม่ทำร้ายข้า! เพราะข้าเชื่อมัน! เจ้าเองก็ไม่ติ้งตื่นตระหนกไปมากมาย! ไม่แน่นะว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นมันก็ได้ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ก็เป็นได้!”
ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอวี้เฟยเยียน ต่อให้เป็นเรื่องเล็กเท่าขี้ตาแมวก็ตาม ในสายตาของซย่าโหวฉิงเทียนล้วนแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ
แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้อวี้เฟยเยียนเป็นกังวล ซย่าโหวฉิงเทียนจังค่อยๆปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ทุกคนสำเร็จขั้น อวี้เฟยเยียนจึงลงครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารนานาชนิดเต็มโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่าตาน่ากินมากมายหลากหลายนิด เสิ่นถูปั่วอี้ก็แทบตาถลนออกมานอกเบ้าเลยทีเดียว
‘เสียใจเหลือเกิน! หากรู้ตั้งแต่แรกว่าอวี้เฟยเยียนมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีเสน่ห์ปลายจวักเป็นเลิศอีกด้วยละก็ เป็นตายอย่างไรเขาก็ต้องเป็นอาจารย์ขอนางให้จงได้!’
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ลองลิ้มชิมรสหมูผัดหน่อไม้แล้ว เสิ่นถูปั๋วอี้ก็ถึงกับน้ำตาจะไหลเลยทีเดียว
หากว่ากันตามหลักการแล้ว เขาเป็นถึงปราชญ์ราชันย์ จึงควรจะไม่มีความอยากในอาหารอีต่อไป เพียงแต่กินอะไรสักเล็กน้อยเมื่อถึงเวลากินก็เพียงพอ การกินข้าวสำหรับเขาแล้วจะกินหรือไม่กินก็ได้
แต่ว่า ฝีมือในการทำอาหารของอวี้เฟยเยียนช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินคู่กันกับสุราด้วยแล้ว ชั้นหนึ่งไม่มีสองเลยทีเดียว!
“แม่หนู ข้าเสียใจยิ่งนัก! ไม่เช่นนั้นเจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าเถอะ จดชื่อเอาไว้เท่านั้นก็ได้!”
เสิ่นถูปั๋วอี้ยัดอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมาทั้งที่มีอาหารอยู่ในปากไปด้วย
“ข้าไม่สอนวรยุทธ์เจ้า ทั้งจะไม่เรียกร้องอะไรจากเจ้า ขอเพียงแต่เจ้ามาอยู่กับข้า คอยทำอาหารเลิศรสให้ข้าได้กินสักมื้อก็เพียงพอแล้ว! แม่หนูน้อย เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร!”
ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ยอมรับปาก เสิ่นถูปั๋วอี้จึงรีบหยิบยื่นข้อเสนอดีๆออกมาเป็นชุด
เช่นว่า หากเป็นศิษย์ของเขาแล้วละก็ เมื่อนางออกไปข้างนอกเอ่ยเพียงชื่อของเขา ก็จะไม่มีใครกล้ารังแกนางอย่างแน่นอน