ยังมีอีก หากนางไปเยือนสกุลเสิ่นถู นางก็จะเป็นแขกคนสำคัญ อีกทั้งยังมีศักดิ์สูงกว่าคนอีกหลายคนเป็นรอบๆทีเดียว ดูสิทร
อำนาจเพียงใดกัน!
หรือว่า หากว่าเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมละก็ อาจารย์จะเป็นคนแรกที่ออกหน้าคืนความเป็นธรรมให้กับเจ้าเอง…
สรุปก็คือ เสิ่นถูปั๋วอี้เอ่ยเสนอเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจมากมายออกมา เพราะเขาอยากได้อวี้เฟยเยียนมาเป็นศิษย์จริงๆนี่นา!
“ผู้อาวุโสต่อให้ข้าไม่ใช่ศิษย์ของท่านก็ตาม แต่ต่อไปหากว่าท่านมาที่นี่ ผู้ที่มาถือว่าเป็นแขก ข้าก็จะยังคงต้อนรับท่านอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวยิ้มๆพร้อมกับคีบเนื้อเป็ดวางลงในชามของเสิ่นถูปั่วอี้
“พี่ใหญ่ของข้าต้องฝากท่านด้วย!”
ความหมายจากคำพูดของอวี้นั่นก็คือ ขอเพียงแต่ท่านตั้งใจสั่งสอนถ่ายทอดวิชาให้กับพี่ชายของข้า ทุกอย่างก็พูดกันง่าย
“ได้ๆ! เจ้าวางใจได้เลย! ไม่เกินหนึ่งปี ข้าจะทำให้พี่ชายของเจ้าสำเร็จราชาอาวุโสให้ได้!” เสิ่นถูปั่วอี้ตบที่อกของตนเองให้คำสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปจนกระทั่งดึกดื่น ทุกคนต่างพากันพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศครื้นเครงมีความสุขยิ่งนัก
ทุกคนต่างก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยจนท้องอิ่มแปล้ แม้แต่หมีเยว่ และเพราะนางกินมากเกินไปสักหน่อย จึงต้องกลับไปหาทางย่อยที่เรือนของตนเอง
การที่ทุกคนเอาแต่แย่งชิงอวี้เฟยเยียนกันนั้นทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมา เขาจึงถือโอกาสตอนที่ทุกคนออกไปเดินย่อยอาหารด้านนอก แบกอวี้เฟยเยียนกลับห้องทันที
“เฮ่——” อวี้เฟยเยียนกล่าวยังไม่ทันจบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทาบทับเข้ามา เขาคิดถึงนางจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!
หลังจากจุมพิตที่ยาวนานผ่านพ้นไป อวี้เฟยเยียนก็นอนหนุนอยู่บนไหล่ของซย่าโหวฉิงเทียนเพื่อสูดเอาอากาศเข้าไปหายใจให้ได้มากที่สุด
แย่จึง!
นี่เขากะให้นางขาดอากาศหายใจตายหรืออย่างไรกัน?
“แมวน้อย พี่อายุมากกว่าเจ้า เจ้ารังเกียจพี่หรือเปล่า?” ซย่าโหวฉิงเทียนปากก็พูดไป มือก็ไม่หยุดที่จะทำหน้าที่ของมัน มันกำลังทำในสิ่งที่ควรจะกระทำ ในเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่จะอีดออดเกรงใจกันอีกต่อไป
ตั้งแต่เมื่อครู่ตอนที่อวี้เฟยเยียนอาบน้ำนั้น เขาก็อยากที่จะกินนางแล้ว แต่ต้องอดทนจนกระทั่งถึงตอนนี้ มันช่างเป็นบททดสอบคนจริงๆ
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนตอบคำถาม นางก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลอกคราบจนเปลือยเปล่าเสียแล้ว ต่อจากนั้นร่างกายของเขาก็ทาบทับลงมา
“ข้าเปล่าสักหน่อย——”
อวี้เฟยเยียนยังคงไม่เข้าใจเพราะเหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ถามเช่นนี้
“จริงนะ?” ซย่าโหวฉิงเทียนใช้มือทั้งสองข้างวาดไปทั่วทั้งร่างกายของอวี้เฟยเยียน
“หากว่าพวกเราแก่เฒ่า พี่แก่กว่าเจ้า เจ้าจะรังเกียจพี่หรือไม่?
“ไม่หรอก——” อวี้เฟยเยียนหน้าแดงก่ำ ดวงตาหวานซึ้งของนางฉ่ำวาว ราวกับธารน้ำที่ชุ่มชื่นสดใส
“ไม่รังเกียจก็ดี!” ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงไปกัดเบาๆที่ริมฝีปากของอวี้เฟยเยียน
“พี่ได้ยินมาว่า ผู้หญิงยิ่งอายุมากขึ้นความปรารถนาก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ถึงขนาดว่าถึงตอนที่พวกนางมีความต้องการที่ดุดันรุนแรงนั้น ผู้ชายแทบปรนเปรอไม่ไหวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามีแก่ภรรยาสาว ฝ่ายภรรยายมักจะมีช่วงเวลาที่เหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวหัวใจ แต่เจ้าวางใจได้เลย พี่ร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก พี่จะไม่มีทางหมางเมินเจ้าอย่างแน่นอน!”
คำพูดนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้อวี้เฟยเยียนตกตะลึงไม่น้อย
‘นี่เขาไปฟังใครพูดจาเหลวไหลมาอีก?’
‘จู่ๆ ถึงได้พูดจาเช่นนี้ขึ้นมา?’
แต่ทว่า ยังไม่ทันที่อวี้เฟยเยียนจะได้ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องนี้ให้กระจ่าง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้ร่างกายและพละกำลังของเขาบอกกับอวี้เฟยเยียนแล้วว่า ‘พี่ไหว!’
โรงเตี๊ยมเซียนเค่อใหญ่โตกว้างขวาง แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนจะพักอยู่ห้องเดียวกันเพียงลำพังสองคน แต่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ว่าจะข้างบนข้างล่าง ข้างในหรือข้างนอกล้วนแต่มีเพื่อนๆของพวกเขาอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นคืนนี้อวี้เฟยเยียนจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางเปล่งเสียงร้องออกมา
คนที่พักอยู่ที่ไหน ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ทั้งสิ้น แล้วมีคนไหนบ้างที่จะไม่หูๆไวตาไวกัน!
ต่อให้เป็นเพียงเสียงจิจ๊ะในลำคอ เขาก็ได้ยินกันหมดแล้ว
แล้วเสียงครางของนางมิต้องอับอายขายหน้าไปถึงไหนต่อไหนหรอกหรือ!
อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงก่ำ นางกัดเส้นผมของตนเองเอาไว้แน่นอย่างอดกลั้นไม่ให้ตนเองเปล่งเสียงใดๆออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นภาพนั้นแล้วก็ให้ขบขันยิ่งนัก เข้าจึงเอื้อมมือออกมาสร้างกำแพงแก้วให้โอบล้อมรอบห้องของพวกเขาเอาไว้เสมือนห้องของพวกเขาแยกออกมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว
“แมวน้อยคนดีของพี่ อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ! กำแพงแก้วของพี่กันเสียง ไม่มีใครได้ยินทั้งนั้น!”
ซย่าโหวฉิงเทียนก้มลงมาใช้ปากดูดดึงขบเม้มใบหูของอวี้เฟยเยียน
เขาถึงกับทำให้นางถึงเพียงนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนถึงกับทำหน้าไม่ถูก
‘ปราชญ์ราชันย์’
‘กำแพงแก้วของท่านมีไว้เพื่อใช้สำหรับทำเรื่องอย่างว่าระหว่างชายหญิงหรืออย่างไร?’
‘ที่ท่านฝึกวรยุทธ์ก็เพื่อวันนี้?’
‘อย่า*ให้มันมากนักได้ไหมเล่า!’
“เด็กดี! เส้นผมของเจ้าจะขาดเสียหมด พี่เจ็บปวดใจไปด้วยนะ!” ซย่าโหวฉิงเทียนค่อยๆเอาเส้นผมออกจากปากอวี้เฟยเยียน
“พี่ชอบฟังเสียงของเจ้า มันไพเราะที่สุด!”
‘หน้าไม่อาย!’
ต่อให้เขาและนางจะเคยมีความสัมพันธ์กันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เมื่อได้ยินคำพูดน่าไม่อายของซย่าโหวฉิงเทียนมามากมา ย แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องแหววขึ้นมา เสียงของนางอ่อนหวาน ออดอ้อน ใครได้ฟังเป็นต้องหัวใจละลาย
“เด็กดี——” ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ลงทัณฑ์ด้วยริมฝีปากอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนต้องส่งเสียงครางออกมาในที่สุด
“แมวน้อยคนดี! พี่รักความคับแน่นของเจ้า!”
ค่ำคืนที่แสนยาวนาน อวี้เฟยเยียนได้ด่ำดิ่งลงไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างไม่มีขวยเขินไม่มีอับอายแล้วไม่มีที่สิ้นสุดครั้งแล้วครั่งเล่า
ด้วยเพราะต้องแยกจากกันไปนาน บวกกับความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญก่อนหน้านี้ขณะที่สุ่ยเจ๋อซีกำลังจะระเบิดตัวเองด้วย ทำให้ในคืนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนใช้วิธีการแรกเริ่มธรรมดาแต่ทว่าดุเดือนที่สุดสัมผัสรักกับอวี้เฟยเยียน
มีเพียงแค่ทำเช่นนี้ เขาจึงจะรู้สึกชัดเจนถึงการมีอยู่ของนาง รับรู้ได้ว่านางอยู่ข้างกายเขา อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างแท้จริง
มีเพียงทำเช่นนี้ หัวใจของเขาจึงจะสงบลงได้
“แมวน้อยอย่าจากพี่ไป——” ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังหลงสมองมึนงงมัวเมาลงไปกับรสชาติรักนั้น นางก็ได้เสียงของเขาพร่ำบอก
“พี่ทนไม่ไหว…”
จวบจนกระทั่งนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงเวลาบ่ายของอีกวัน จึงพบว่าอวี้ซิงฉงและหมีเยว่ไม่อยู่ พวกเขาติดตามเสิ่นถูปั๋วอี้เดินทางไปจากที่นี่เสียแล้ว
“น้องพี่ เดิมทีซิงฉิงอยากที่จะมาบอกลาเจ้าก่อนไป แต่น้องเขยบอกว่าเจ้าง่วงนอนมา”ก ว่าแล้วตี้อู่เฮ่ออี้ก็มอบจดหมายที่อวี้ซิงฉงฝากเอาไว้ให้กับอวี้เฟยเยียน
เมื่อนึกถึงตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนหน้าแดงเถือกจนถึงใบหูในตอนที่บอกกล่าวพวกเขานั้น ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ต้องกุมขมับ
‘น้องเขย เจ้าทำอะไรกับน้องสาว มันเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเจ้าหมดแล้ว’