เมื่อเอ่ยถึงพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตายไป สีหน้าของตี้อู่เฮ่ออี้ก็เข้มขึ้นมาถนัดตา
ชาวตันที่ติดตามตี้อู่เจ๋ออพยพมายังหมู่บ้านหลัวฮั่นแห่งนี้มีจำนวนไม่มาก และหลายปีที่ผ่านมามีชาวตันจำนวนมากที่ต้องตายไประหว่างที่เก็บยา หากนับรวมทั้งหมู่บ้านรวมทั้งเด็กน้อยด้วยละก็ สมาชิกชาวเผ่าตันมีจำนวนราวร้อยกว่าคนเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันก็ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา
“พี่ มีข้ากับฉิงเทียนอยู่! การเก็บยาคราวนี้ พวกเราจะช่วยท่านเอง!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ก็มองไปยังซย่าโหวฉิงเทียน
“ใช่ไหม ฉิงเทียน!”
“อื้ม” ซย่าโหวฉิงเทียนตอบรับ ไม่นานเมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนก็เตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บยา
เมื่อต้องขึ้นเขา อวี้เฟยเยียนจึงผลัดเปลี่ยนชุดให้ทะมัดทะแมงเพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวกต่อการเดินทางมากยิ่งขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็เช่นกันเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เปลี่ยนชุดกับเขาด้วย
จนกระทั่งพวกของอวี้เฟยเยียนออกมา จึงเห็นว่าที่ลานกว้างด้านนอกมีคนทยอยเข้ามาจำนวนเกือบสิบคน คนชราอยู่ดูแลเด็กๆอยู่ภายในบ้าน ส่วนหนุ่มสาววัยฉกรรจ์ไม่ว่าจะชายหรือหญิงสาวล้วนแต่เตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บยาทั้งสิ้น
“มากันครบแล้วใช่ไหม!”
แม้ว่าตี้อู่เจ๋อจะอายุล่วงเลยเจ็ดสิบกว่ามาแล้วแต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าเผ่าและคือผู้ที่มีประสบการณ์สูงสุด แต่ทุกครั้งที่เก็บยาเขาก็จะเป้นผู้นำขึ้นไปเสมอ
“ครบแล้วๆ!” เสียงชาวบ้านร้องขึ้น ผู้สูงอายุยืนจูงเด็กๆยืนมองอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนออกมา ตี้อู่เจ๋อก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“มา มานี่เร็ว! “
ตี้อู่เจ๋อให้ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนยืนอยู่ข้างตน
“แล้วแนะนำพวกเขาให้ทุกคนได้รู้จัก นางคือหลานสาวของข้า อวี้เฟยเยียน ส่วนคนนี้คือหลานเขยของข้า ซย่าโหวฉิงเทียน หลานเขยของข้าเก่งกาจยอดเยี่ยมยิ่งนัก! อายุยังน้อยแต่ก็สำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์ ปราชญ์ราชันย์คนที่สามแห่งอู๋โยวของเรา!ก่อนหน้านี้ปราชญ์ราชันย์ทั้งสองท่าน เสิ่ถูปั๋วอี่และอวิ๋นเฮ่อเทียนทุกคนคงจะรู้จักกันแล้ว แต่พวกเขาอายุสองร้อยก่าปีถึงจะสำเร็จขั้น แต่ หลานเขยของข้าอายุยี่สิบสี่ปี! ยี่สิบสี่ปีเท่านั้นนะ!”
ในขณะที่พูดตี้อู่เจ๋อใบหน้าแดงระเรื่อ หนวดกระดิกเล็กน้อย
“หลานสาวของข้าก็เก่งกาจไม่แพ้กัน! พวกเจ้าลองทายดูสิว่านางสำเร็จถึงขั้นอะไร และในด้านของการแพทย์นางสำเร็จขั้นอะไรกัน?”
คำถามที่ตี้อู่เจ๋อกล่าวขึ้น ทำให้ชาวบ้านเริ่มพูดคุยถกเถียงกันขึ้นมา
‘ข่าวที่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือปราชญ์ราชันย์ก็ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงมากพออยู่แล้ว ตอนนี้หัวหน้าเผ่ายังมาเอ่ยถึงอวี้เฟยเยียนอีก หรือว่านางเก่งกาจยิ่งกว่าซย่าโหวฉิงเทียนอีกอย่างนั้นหรือ?’
“หัวหน้าท่านให้พวกเราทาย พวกเราก็ทายไม่ถูก ไม่สู้ท่านบอกคำตอบออกมาเลยเถอะ! “
ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งผู้คนที่อยู่ด้านข้างรีบเออออห่อหมกเห็นด้วยกับเขาทันที
“หึๆ! ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องทายไม่ถูก!” ตี้อู่เจ๋อยิ้มพราวขณะที่มือลูบเคราของตนด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงฟังให้ดีละ! หลานสาวของข้าคือราชาอาวุโส! ทั้งยังคือราชาโอสถอีกด้วย! ราชาโอสถอายุสิบหกปี
เสี่ยวเยียนในอดีตยังไม่เคยเก่งกาจเท่านี้เลยด้วยซ้ำ!”
ตี้อู่เจ๋อกล่าวจบ หมู่บ้านก้ราวกับตลอดแตกอย่างไรอย่างนั้น
“เทพโอสถคุ้มครอง!”
มีคนๆหนึ่งร้องขึ้นมา หลังจากนั้นทุกคนก็พากันคุกเข่าลง พูดพร้อมกันว่า
“เทพโอสถคุ้มครอง!” ชาวตันซ้ายทั้งหมด มีตี้อู่เจ๋อคือปรมาจารย์โอสถ ตี้อู่จิ่งซาน ตี้อู่จิ่งสุ่ยและตี้อู่จิ่งเหรินคือเทพโอสถเช่นกัน
มาตอนนี้แม่นางน้อยประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ทำให้ชาวตันซ้ายยินดีปรีดายิ่งนัก
นางอายุเพียงแค่สิบหกปีแต่กลับมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อไปอนาคตยังอีกยาวไกลอย่างแน่นอน!
“ดีๆ!” เมื่อเห็นว่าสมาชิกในชนเผ่ากำลังตื่นตระหนก ตี้อู่เจ๋อหัวเราะออกมาแล้วให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
“ขอเพียงแต่ลูกหลานของเราประสบความสำเร็จ วิชาแพทย์ของเราได้สืบทอดต่อไป ตันซ้ายก็มีหวังที่จะได้ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง”
ตี้อู่เจ๋อพูดจามีเหตุผล
‘นักเรียนเหนือกว่าครู คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน!’
ขอเพียงมีสายเลือดใหม่มาสืบทอดและนำวิชาแพทย์ให้เลื่องลือระเบิดไกลไปทั่วหล้า ตันซ้ายจึงจะดำรงอยู่และรุ่งเรื่องสืบต่อไป!
อยู่ท่ามกลางสายตาที่อบอุ่นเอื้ออาทรของทุกคนที่เฝ้ามองมา ทำให้อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน
ดูออกว่าอวี้เฟยเยียนกำลังเขินอาย ตี้อู่เจ๋อถึงกับ
“ฮ่าๆ” หัวเราะร่วนออกมาเป็นพร้อมกับโบกไม้โบกมือ
“ไป! พวกเราไปเก็บยากัน! ในระยะนี้อากาศดี พวกเราจะต้องอาศัยช่วงเวลานี้รีบขึ้นเขาไปเก็บยากลับมาตาก! “
การที่ตี้อู่เจ๋อต้องแนะนำซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนก่อนที่จะขึ้นเขาไปเก็บยานั้นก็เพื่อต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทุกคน
ซึ่งก็เป็นดังที่เขาคาด เมื่อสมาชิกชาวเผ่าตันได้รู้ความสามารถของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแล้ว คนชราที่รอคอยอยู่ในหมู่บ้านก็คลายความกังวลใจไปได้มาก มียอดฝีมืออยู่ด้วยถึงสองคน การขึ้นเขาไปเก็บยาคราวนี้คงจะไม่ต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายอีกแล้ว
ในขณะที่ทุกคนเตรียมออกเดินทางขึ้นเขาไปเก็บยานั่นเอง จู่ๆซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยขึ้นมาว่า ‘ช้าก่อน’ ทำให้ตี้อู่เจ๋อหยุดชะงัก
“มีอะไรหรือหลานเขยของข้า?” ตี้อู่เจ๋อกล่าวถามขึ้น
“ท่านเรียกข้าว่าฉิงเทียนเถอะ! จริงแล้วข้ามาในครั้งนี้ ได้เตรียมของขวัญมาบางส่วน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพวกท่าน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบเขาก็หยิบนกหวีดไม้ไผ่ขึ้นมาเป่า
เพียงไม่นาน กลุ่มเมฆสีครามก็ล่องลอยเข้ามา รอจนกระทั่งมันลอยเข้ามาใกล้ ตี้อู่เฮ่ออี้ถึงกับร้องออกมา
“น้องเขย ของขวัญของเจ้าคงจะไม่ใช่พิราบสื่อสารกระมัง!”
“พิราบสื่อสาร?” ตี้อู่เจ๋อตั้งใจแหงนมองขึ้นไปอีกครั้ง กลุ่มก้อนอะไรบางอย่างสีขาวที่ล่องลอยเข้ามา
‘นั่นมันพิราบสื่อสารชัดๆนี่!’
‘มีตั้งสิบกว่าตัวทีเดียว’
‘พิราบสื่อสารมากมายเพียงนี้มาจากไหนกัน?’
“หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบห้าตัว!” ตี้อู่หรงเต๋อนับจำนวน ซึ่งเมื่อผลการนับออกมาก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงพรึงเพริดจนสะดุ้ง
นี่มันพิราบสื่อสารสิบห้าตัวเต็มๆ
อวี้เฟยเยียนเข้าใจแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนทำท่าลับลมคมนัย ที่แท้เขาก็ไปตามจับพิราบนี่เอง
“ท่านตา ท่านยาย ท่านลุงสามคนและท่าป้า พี่ชายห้าคน อาซ้ออีกสองคน รวมกันแล้วสิบห้าคนพอดิบพอดี!”