บทที่ 563 ถังจื่อโม่ไปพบคุณย่าแท้ๆ (3)
แต่พี่ชายของเธอไม่เหมือนกัน พี่ชายช่างเลือก แต่บังเอิญว่าอาหารวันนี้มีแต่ของโปรดของพี่ชายทั้งนั้นเลย ช่างวิเศษไปเลย
“ใช่เหรอ?”เมิ่งหยูเยียนหยุดชะงัก มองถังจื่อโม่ด้วยจิตใต้สำนึก อันที่จริงก่อนหน้านี้หล่อนได้ถามเด็กๆไว้แล้วว่าชอบกินอะไร ซึ่งถังจื่อซีบอกว่าอะไรก็ได้ ส่วนถังจื่อโม่ไม่ได้ตอบอะไร
ดังนั้น อาหารที่หล่อนทำพวกนี้ล้วนเป็นของโปรดตอนซือเฉินยังเด็ก สมัยซือเฉินยังเด็กชอบทานกับข้าวฝีมือหล่อนมาก
“ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ คุณย่ายอดเยี่ยมไปเลย รู้ว่าพี่ชายชอบกินอะไรด้วย”ถังจื่อซีไม่ได้ทราบสาเหตุที่มีเมนูพวกนี้ เธอแค่พูดอะไรตามที่คิดได้เท่านั้น
แต่พอเมิ่งหยูเยียนได้ฟังเด็กน้อยจื่อซีพูด ดวงตาทั้งคู่พลันกะพริบอย่างรวดเร็ว โลกใบนี้ยังมีเรื่องบังเอิญอยู่เหรอ?หน้าตาถังจื่อซีไม่เพียงแต่เหมือนซือเฉิน เรื่องการกินก็ยังเหมือนอีกด้วย?
ทำไมบังเอิญอย่างนี้?
แต่ผลตรวจDNAออกมาแล้วว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด?!
ต่อมา เมิ่งหยูเยียนยังสังเกตเห็นรายละเอียดอีกอย่างหนึ่ง
หล่อนเห็นตอนถังจื่อโม่คีบ Sweet and Sour Spare Ribsไม่กี่ชิ้นอยู่นั้น พบว่าเขาเขี่ยต้นหอมออกมาจากกระดูกซี่โครง
เมิ่งหยูเยียนจ้องหน้าถังจื่อโม่พลันรู้สึกตกตะลึง ซือเฉินตอนเด็กก็ไม่ชอบกินต้นหอม ทุกครั้งที่หล่อนใส่ต้นหอมเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ซือเฉินมักจะคัดต้นหอมออกมาอย่างละเอียด หล่อนเคยลองเกลี้ยกล่อมดูหลายหนแล้ว ต่างไร้ผลทั้งสิ้น ต่อมาหล่อนจึงไม่ได้ใส่ต้นหอมลงในอาหารอีก
อาหารที่หล่อนทำในวันนี้ก็ไม่ได้ใส่ต้นหอมเหมือนกัน แต่โร่ถิงเป็นคนโรยต้นหอมบน Sweet and Sour Spare Ribsในตอนหลัง
หล่อนยังว่าโร่ถิงอยู่เลย แต่โร่ถิงกลับหัวเราะใส่หล่อน บอกว่าโลกนี้คนไม่กินต้นหอมอย่างพี่ชายมีไม่มากหรอก
แต่ว่าจื่อโม่ก็บังเอิญไม่ชอบด้วยเหมือนกัน อีกทั้งท่วงท่าตอนจื่อโม่คีบต้นหอมออกมาก็เหมือนตอนซือเฉินยังเด็กมากๆ
ทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้?หน้าตาเหมือนยังไม่พอ อุปนิสัยก็ยังเหมือนอีก?
หล่อนรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“จื่อซี จื่อโม่ พวกหนูเป็นฝาแฝดกันจริงๆเหรอ?”ทันใดนั้นเมิ่งหยูเยียนอดถามขึ้นมาหนึ่งประโยคไม่ได้
ครั้งก่อนหล่อนเอาเส้นผมของถังจื่อซีไปตรวจดีเอ็นเอ
เป็นไปได้ไหมที่เด็กทั้งสองไม่ใช่ฝาแฝด?ไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ?
“ใช่ พวกเราเป็นฝาแฝดกัน”ถังจื่อซีกับจื่อโม่เกือบตอบพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
“คุณนายเหลยค่ะ พวกเขาเป็นฝาแฝดจริงๆค่ะ”เยว่หงหลิงไม่รู้ว่าทำไมหล่อนจึงถามเช่นนี้ แต่เรื่องนี้เป็นความจริงไม่อาจผิดเพี้ยนได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเวินลั่วฉิง เรื่องของเวินลั่วฉิงก็สลับซับซ้อน ดังนั้นเยว่หงหลิงจึงไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย
“ออ”เมิ่งหยูเยียนผิดหวังเล็กน้อยและรู้สึกหดหู่ใจด้วย แต่หล่อนชื่นชอบเด็กทั้งสองคนนี้จริงๆ ถึงแม้จะไม่ใช่สายเลือดของซือเฉิน
หล่อนก็ยังคงชื่นชอบอยู่ดี
ดังนั้นเมิ่งหยูเยียนรู้สึกว่าอย่างอื่นก็ไม่สำคัญอะไร
หลังจากที่เวินลั่วฉิงวางสายก็เอายาที่รับมาจากโรงพยาบาลลงจากรถ
เธอยังไม่ทันเข้าไปถึงด้านในก็ได้ยินเสียงโต้แย้งแว่วออกมาจากห้องโถง
“พ่อครับ ที่นี่เป็นบ้านของพวกเรา ทำไมพวกเราจะกลับมาไม่ได้?”น้ำเสียงเวินจีหยันมีความเหนื่อยล้าและยังไร้ยางอายอีกด้วย
“ใช่ค่ะคุณปู่ บ้านออกจะใหญ่โตขนาดนี้ ท่านอยู่ก็คนจะอ้างว้างเปล่าๆ พวกเรากลับมาอยู่เป็นเพื่อนจะดีกว่าใช่ไหมคะ?”คำพูดของเวินหรวนหรวนไร้ยางอายสิ้นดี
ก่อนหน้านี้พวกเขาย้ายออกไปทั้งครอบครัว ตอนคุณปู่ไม่สบาย พวกเขาก็ไม่ได้ดูแล ยิ่งกว่านั้นแม้แต่กลับมาเยี่ยมเยียนก็ไม่มี แต่ตอนนี้กลับอยากมาอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ซะงั้น
“คุณพ่อค่ะ หรวนหรวนพูดถูก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราเป็นห่วงสุขภาพของท่าน ดังนั้นจึงย้ายกลับมาอยู่ด้วย”คำพูดของหลี่หยุนยิ่งหน้าด้านกว่าใคร
มุมปากเวินลั่วฉิงยิ้มเย็นหลายส่วน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เพียงแต่ย้ายออกไป อีกทั้งยังขายทุกอย่างที่มีราคาทิ้งหมด เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะย้ายกลับมาอีก
คาดว่าเวลานี้คงอับจนหนทางเป็นแน่!
“พวกนายไม่ใช่อยากอยู่เป็นเพื่อนฉัน แต่พวกนายไม่มีที่อยู่แล้วต่างหาก?”คุณปู่เวินมองนิสัยของพวกเขาจนทะลุปรุโปร่งกันหมดแล้ว ทำไมจะไม่เข้าใจความคิดของพวกเขากัน
“คุณพ่อ ดูพ่อพูดสิ พวกเราคิดถึงท่านไง กลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านไง”ไม่เจอกันไม่กี่วัน หนังหน้าเวินจีหยันด้านขึ้นเป็นกองเชียว
แต่เวลาที่เวินจีหยันพูดคำนี้ออกมา มีความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เพราะเงินในมือของเขาคืนหนี้จนหมดสิ้นแล้ว หุ้นส่วนของเขาก็ขายให้กับไป๋ยี่รุ่ยแต่แรกแล้วด้วย
เขาอยากเป็นประธานบริษัทเวินซื่อกรุ้ป หากไม่มีหุ้นส่วนอยู่ในมือก็จะไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานได้เด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ที่เขาขายหุ้นตัวเองก็เพื่อไปกวาดซื้อหุ้นเล็กๆในมือนักลงทุนย่อย บ้านและทรัพย์สินในนามของเขาต่างเอาไปค้ำประกัน ตอนนี้ไม่มีเงินไปคืน ทางธนาคารจึงได้อายัดบ้านของเขา เขาไม่มีที่อยู่อาศัยแล้วจริงๆ
อันที่จริงตอนนั้นเขาก็ได้นำบ้านตระกูลเวินไปค้ำประกันด้วย แต่ธนาคารไม่ได้ยึดบ้านตระกูลเวินไป เขาสืบได้ความว่ามีคนไปคืนหนี้ในส่วนของบ้านหลังนี้ ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงไม่ถูกยึด
ตอนนี้เขาไม่มีที่ให้พักอาศัย จึงแต่ได้บากหน้าย้ายกลับมาอยู่
“หืม”คุณปู่เวินจ้องมองเวินจีหยันด้วยสีหน้าเย้ยหยันหลายส่วน“ได้ยินว่านายขายบริษัททิ้งแล้ว ขายได้เท่าไหร่กัน?”
“คุณพ่อครับ บริษัทประคองต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ผมก็ไม่มีทางรอดอื่น บริษัทเย่อซื่อกรุ้ปใช้กลอุบาย จงใจกดราคา ดังนั้นผมจึงขายได้ไม่ค่อยเยอะมากนัก อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปนั้นยากจะฟื้นฟูขึ้นมาได้อีก เย่ซือเฉินรับไปก็เป็นเพียงของย่ำแย่เท่านั้น”จุดนี้เวินจีหยันพูดความจริง แน่นอนว่าเป็นความจริงในความเข้าใจของเขาเท่านั้น
อันที่จริงวัตถุประสงค์ที่เขาไปกวาดซื้อหุ้นส่วนย่อยก็เพื่อเป็นประธานบริษัทเวินซื่อกรุ้ป แล้วจะได้ขายตึกของบริษัททิ้ง แต่เพราะการแทรกแซงของเย่ซือเฉินทำให้ไม่มีใครกล้ารับซื้อตึกบริษัทเวินซื่อกรุ้ป ส่วนบริษัทขาดทุนมาตลอด เลขาหลิวยังพาพนักงานธนาคารมาทวงหนี้อีก จึงได้แต่ขายหุ้นส่วนที่เพิ่งซื้อมาออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทำกำไร ยังทำให้ขาดทุนจนต้องชดใช้ทรัพย์สินที่เขามีอยู่ด้วย
“คุณพ่อครับ หุ้นส่วนในมือของพ่อก็รีบขายเถอะครับ ถึงแม้จะขายไม่ได้ราคาดี แต่ก็ยังดีกว่าขาดทุนไม่ได้อะไรเลยนะครับ”คำพูดประโยคนนี้ของเวินจีหยันนั้นจริงใจมาก แน่นอนเป็นเพราะรู้ว่าหุ้นส่วนของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปไร้ราคา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะแย่งชิงอีก
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลังจากที่เย่ซือเฉินเปลี่ยนให้หุ้นส่วนเหล่านี้มาอยู่ในนามของเวินลั่วฉิงแล้ว ซึ่งได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลในการลงทุนกับบริษัทเวินซื่อกรุ้ป ดังนั้นตอนนี้บริษัทเวินซื่อกรุ้ปจึงหลุดพ้นวิฤกตไปได้แล้ว โดยสามารถบริหารได้ตามปกติ แม้กระทั่งจะบอกว่าสถานการณ์ในขณะนี้ดีกว่าเมื่อก่อนก็ยังได้……
เลขาหลิวเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หุ้นส่วนบริษัทเวินซื่อกรุ้ปพุ่งขึ้นมาเยอะมาก ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เพิ่มขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปแล้ว
“ของเสีย?นายคิดว่าคุณชายสามเย่จะรับของเสียหรือไง?”คุณปู่เวินหัวเราะออกมา เย่ซือเฉินเป็นคนแบบไหน?จะรับของเสียได้อย่างไร?อีกอย่างถึงแม้จะเป็นของเสียจริงๆ แต่เมื่อถึงมือของเย่ซือเฉินต้องฟื้นขึ้นจากความตาย กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเป็นแน่