บทที่ 571 คุณชายสามเย่โกรธจนสะเทือนฟ้าดิน (3)
“หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ เวินลั่วฉิงไม่เพียงแต่ไม่รับปาก ยังให้คนแก่ไปกระโดดตึกอีก อย่างนี้เข้าข่ายเจตนาฆ่าเลยนะเนี่ย”
“ใช่แล้ว ไม่เคยเห็นคนใจอำมหิตถึงเพียงนี้มาก่อนเลย หล่อนอยากให้คนแก่ตายๆไป ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเลย”
“หล่อนอยากได้เงินคุณชายสามเย่ท่าเดียว โลภมากไม่มีลิมิตจริงๆ หล่อนจะสนใจเรื่องคุณธรรมอะไรอยู่อีก น่าสงสารคนแก่ทั้งสองคนมาก คนแก่ผู้น่าสงสารหวังดีกับคุณชายสามเย่ อยากให้คุณชายสามเย่มีอนาคตที่สดใส มีความสุข”
“เพื่อความสุขของคุณชายสามเย่ คนแก่สามารถเดิมพันด้วยชีวิตของตน แต่เวินลั่วฉิงกลับโหดเหี้ยมได้ลงคอ อยากให้คนแก่ทั้งสองคนไปตายเร็วๆ”
กล่องแสดงความคิดเห็นทุกประโยค ล้วนตำหนิติเตียนเวินลั่วฉิงด้วยกันทั้งสิ้น และที่สำคัญเนื้อหายิ่งวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงขึ้นไปทุกที
“สุดท้ายคุณปู่เย่กระโดดตึกไหม?ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?คนแก่ทั้งสองน่าสงสารเหลือเกิน ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งสองท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง?”มีคนเป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่เย่ขึ้นมา อยากรู้ว่าสุดท้ายคุณปู่เย่จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่
หลังจากที่โจ๋วอันหนานเห็นข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แล้ว เม้มปากเล็กน้อย ดวงตาที่ลุ่มลึกทอแสงที่ผิดแปลกอยู่หลายส่วน
เวลานี้ ประตูหน้าห้องทำงานมีเสียงเคาะประตูแว่วเข้ามา โจ๋วอันหนานรีบเก็บมือถือไว้
คนที่เดินเข้ามาเป็นผู้ช่วยของหล่อน
“ผอ.โจ๋วค่ะ จัดการเรื่องคุณปู่เย่เรียบร้อยแล้วค่ะ”ผู้ช่วยมองหล่อนด้วยสีหน้าลังเลใจเล็กน้อย เมื่อผ่านการใคร่ครวญก็อดพูดออกมาไม่ได้“ผอ.ค่ะ ไม่ทราบว่าท่านเห็นวิดีโอเกี่ยวกับคุณปู่เย่และคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลเวินในโซเชียลหรือยังคะ?”
“ทำไมเหรอ?”โจ๋วอันหนานไม่ได้ตอบตรงคำถาม เพียงแต่มองผู้ช่วยด้วยความสงสัย
“เนื้อหาในวิดีโอมีอยู่ว่า คุณปู่เย่ข่มขู่คุณหนูเวินให้เลิกคบกับคุณชายสามเย่ แต่คุณหนูเวินไม่รับปาก วิดีโอจบลงหลังจากที่คุณหนูเวินเดินจากไปแล้ว ตอนนี้ชาวเน็ตกำลังคาดเดาว่าคุณปู่เย่ได้กระโดดตึกหรือยัง?หากเวลานี้คุณปู่เย่แอดมิทโรงพยาบาล อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้นะคะ?อันที่จริงอาการของคุณปู่เย่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเลยนะคะ”ผู้ช่วยมีความละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองได้ดี ฟังจากคำพูดของหล่อนก็รู้ว่าเป็นคนรู้ความเป็นอย่างมาก
โจ๋วอันหนานก้มหน้า ส่วนลึกของดวงตามีความเย็นเหยียบแวบผ่าน เพียงแต่ตอนที่หล่อนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าก็กลับเป็นสูงศักดิ์เฉกเช่นปกติ“ฉันก็รู้สึกว่าอาการของคุณปู่เย่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ฉันได้พูดโน้มน้าวคนไข้ดูแล้ว แต่คนไข้ยืนกรานว่าจะนอนให้ได้ หรือคุณลองไปเกลี้ยกล่อมเขาดูสิ คุณก็รู้ว่าห้องคนไข้ของโรงพยาบาลเราไม่ค่อยจะว่างกันเลย หากคุณสามารถชักจูงคนไข้รายนี้ออกไปได้ จะถือว่าคุณมีคุณงามความชอบหนึ่งเรื่อง”
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะไปลองดูค่ะ”ผู้ช่วยเป็นสาวโสดที่ไร้เดียงสา ได้ยินสิ่งที่โจ๋วอันหนานกล่าวมา หล่อนก็เชื่อเสียสนิทใจ
“ได้ หากคุณสามารถเกลี้ยกล่อมคุณปู่เย่ออกโรงพยาบาลได้ เดือนนี้ฉันจะให้โบนัสคุณสองเท่า”โจ๋วอันหนานมองหน้าหล่อนด้วยรอยยิ้ม
ผู้ช่วยเดินออกไปด้วยความชื่นมื่น
หลังจากที่ผู้ช่วยออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าโจ๋วอันหนานก็เลือนหายไป ดวงตาฉายความเย็นยะเยือกออกมาหลายส่วน
หล่อนมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ พร้อมกับครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็นำมืออีกเครื่องหนึ่งจากลิ้นชักออกมา ซึ่งมือถืออันนี้ใหม่เอี่ยมมาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะซื้อมาหยกๆ
โจ๋วอันหนานเอามือถือออกมา จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ข้อความด้วยความรวดเร็ว แล้วส่งออกไป
เย่ซือเฉินไม่ค่อยสนใจเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์คเท่าใดนัก ดังนั้นจึงไม่เห็นวิดีโอที่แพร่ออกมาทางโซเชียล
แต่พนักงานในบริษัทหลายคนเห็นแล้ว และได้กระจายข่าวไปทั่วทั้งบริษัทอย่างเร็วไว เลขาหลิวที่เพิ่งจะจัดการธุระของบริษัทเวินซื่อกรุ้ปเสร็จ เตรียมจะมารายงานข่าวดีให้แก่ประธานของตน แต่เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบก็เกิดความรู้สึกหนักอึ้ง
หลังจากที่เลขาหลิวดูวิดีโอและอ่านกล่องแสดงความคิดเห็นจบ ก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจราวกับวิญญาณลอยออกจากร่างไปแล้ว
จบแล้ว จบแล้ว คราวนี้ฉิบหายแน่ จะต้องเกิดความโกลาหลจนต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแน่ๆ!!
เลขาหลิวไม่กล้าเสียเวลา รีบเดินเข้าห้องทำงานของท่านประธานของตน
“จัดการธุระเรียบร้อยแล้วเหรอ?”เย่ซือเฉินเงยหน้ามองเขา มุมปากยกขึ้น“เธอว่ายังไง?”
“ท่านประธานครับ จัดการเรื่องบริษัทเวินซื่อกรุ้ปเรียบร้อยแล้วครับ คุณนายเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้วครับ คุณนายบอกว่าทำตามคำสั่งของท่านประธานได้เลยครับ คุณนายบอกว่าเชื่อใจท่านประธานครับ”เลขาหลิวแอบถอนหายใจหนึ่งเฮือก เขาคิดประโยครายงานนี้ตั้งแต่อยู่ระหว่างทางแล้ว เดิมทีถือเป็นการมารายงานข่าวดี
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องวิดีโอขึ้นมาอีก……
“อืม ถือว่าเธอยังพอมีจิตใจอยู่บ้าง”มุมปากเย่ซือเฉินยกขึ้น เขาพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้อย่างเห็นได้ชัด
“เธอไม่ได้ฝากอะไรมาบอกผมเลยเหรอ?”ดวงตาเย่ซือเฉินกะพริบ จู่ๆก็ถามขึ้นมาหนึ่งประโยค เธอไม่คิดจะนัดเขาไปดินเนอร์อะไรเลยเหรอ?
แน่นอนเขายิ่งตั้งหน้าตั้งตารอคอยเรื่องหลังจากดินเนอร์เสร็จแล้ว
“ไม่มีครับ”เลขาหลิวขยิบมุมปาก ท่านประธานกับคุณนายก็มีมือถือ ตอนนี้ติดต่อกันสะดวกรวดเร็วจะตาย จำเป็นต้องให้เขาส่งสารอีกเหรอ?
“อืม คุณจัดการเรื่องนี้ได้ไม่เลวเลย หน้าที่หลักต่อจากนี้ของคุณคือดูแลเรื่องทางบริษัทเวินซื่อกรุ้ปให้ดี”เย่ซือเฉินรู้ว่าเวินลั่วฉิงไม่ใช่หัวการค้า และไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเขาคิดจะให้เลขาหลิวไปรับผิดชอบแทน
“ครับ”เลขาหลิวรีบพยักหน้าหงึกๆ สถานะของเขาจากเลขาไปเป็นคนดูแลบริษัทแห่งนี้ มันต้องเป็นเรื่องสิริมงคลอยู่แล้ว
“ประธานครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”ถึงแม้เลขาหลิวจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เขารู้ว่าต้องรายงานเรื่องนี้ เพราะยังไงเสีย ท่านประธานก็ต้องรู้ในเวลาไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ ไม่สู้ให้รับทราบโดยเร็ว จะได้คิดหาวิธีแก้ไขได้ทันท่วงที
“ยังมีเรื่องอะไรอีก?”ขณะนี้เย่ซือเฉินกำลังคิดสรรหาคำพูดในการนัดเวินลั่วฉิงไปออกเดท ดังนั้นไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเลขาหลิวมากนัก
“ท่านประธานครับ วันนี้คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ไปหาคุณนายครับ อีกทั้งยังอัดวิดีโอเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตด้วยครับ ตอนนี้โลกออนไลน์กำลังแชร์กระจายข่าวกับอย่างบ้าบิ่นมากครับ ท่านรีบดูเร็วครับ……”เลขาหลิวรวบรวมความกล้ารายงานเรื่องนี้ด้วยสองขาที่สั่นเทาเล็กน้อย
“เอาวิดีโอให้ผมดูซิ”สีหน้าเย่ซือเฉินเปลี่ยน ได้ยินเลขาหลิวบอกว่าคุณปู่เย่เป็นคนทำ เขาก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
เลขาหลิวรีบเปิดวิดีโอแล้วยื่นให้เย่ซือเฉินดู
ตอนที่เย่ซือเฉินเห็นวิดีโอ ดวงตาก็ค่อยๆหรี่ขึ้นมาทีละนิด เขาได้ฟังคำพูดของคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นแข็งถึงขีดสุด และเมื่อเห็นคุณปู่เย่ขู่ว่าจะกระโดดตึก ส่วนคุณย่าเย่ก็คุกเข่าให้เวินลั่วฉิง มุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มเย็นออกมา
พวกท่านสามารถทำทุกอย่างได้จริงๆ กลวิธีของพวกท่านยิ่งนานวันยิ่งร้ายกาจมากขึ้น ตอนเขาเด็กก็บีบให้คุณแม่ของเขาจากไป ตอนนี้ยังคิดจะมาขับไล่ผู้หญิงของเขาอีก……
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจก็คือ เวินลั่วฉิงไม่ได้รับปากจะเลิกกับเขา ถึงแม้ผู้ใหญ่ทั้งสองจะพูดจาไม่น่าฟังเพียงใด ถึงแม้จะบีบคั้นเธอมากเท่าไหร่ แต่เธอกลับไม่รับปากพวกท่าน!!
นาทีนี้หัวใจเย่ซือเฉินเต้นตึกตัก เธอไม่ได้รับปากว่าจะเลิกกับเขา แสดงว่าเธอมีใจต่อเขา ช่างดีเหลือเกิน!
“ท่านประธานลองดูแสดงความคิดเห็นด้านล่างสิครับ”เลขาหลิวเห็นประธานของตนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย จึงอดเตือนขึ้นมาหนึ่งประโยคไม่ได้