บทที่ 579 หากเสือไม่แสดงบารมีเสียหน่อย คงคิดว่าเธอเป็นแมวซะแล้ว (2)
“เหมือนจะ?”หางคิ้วเย่ซือเฉินยกขึ้น คำนี้ในใช้กับประโยคในตอนนี้ เขารู้สึกไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเธอยังพูดว่านิดหน่อยอีกด้วย?
เย่ซือเฉินมองหน้าเธอ น้ำเสียงเจือความไม่พอใจไว้
“อืม รู้สึกนิดหน่อย คุณต้องรู้ว่า ความรู้สึกของคนมัน……”เวินลั่วฉิงมองเขาแวบหนึ่ง และเริ่มวิเคราะห์ขึ้นมา
คุณชายสามเย่ดึงมือเธอขึ้นมา ก่อนจะใช้แรงกัดเล็กน้อย สัมผัสที่หกบอกเขาว่า ผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะได้ยิน
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะพูดประโยคที่น่าฟังออกมาได้ ตอนนี้เพิ่มคำคุณศัพท์เข้าไป และยังให้เธอวิเคราะห์อีก คาดว่าคงไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ
ดังนั้น เขาไม่อยากฟังการวิเคราะห์ของเธอ
“เย่ซือเฉิน คุณเกิดปีจอหรือไง?เอะอะอะไรก็กัดคน”เวินลั่วฉิงจ้องเขาตาเขม็ง นัยน์ตาแฝงเพลิงไฟหลายส่วน คนนี้เอะอะก็จะกัดคน เป็นบ้าอะไรกัน?
“คุณชายสามเย่?”เวลานี้ เวินหรวนหรวนเดินลงมาจากชั้นสองพอดี จึงเห็นการโต้ตอบของทั้งสองคน ดวงตาของหล่อนจึงเบิกกว้างกว่ากระดิ่งทองแดง
“พวกคุณหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ?ทำไมยังอยู่ด้วยกันอีก?”เวินหรวนหรวนเห็นวิดีโอก็รู้ว่าเวินลั่วฉิงกับเย่ซือเฉินเคยแต่งงานกันมาก่อน แต่พวกเขาหย่าร้างกันแล้วไม่ใช่เหรอ?
แล้วตอนนี้หมายความว่าอย่างไร?
เย่ซือเฉินไม่ได้มองหน้าเวินหรวนหรวนเลยแม้แต่แวบเดียว
มุมปากเวินลั่วฉิงยกขึ้นเล็กน้อย“เวินหรวนหรวน ข้อมูลเสียๆหายๆที่เธอเปิดโปง เธอก็รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นเองนะ”
แน่นอนเวินลั่วฉิงดูออกว่าข้อมูลในเชิงเสียหายนั้น เธอไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเวินหรวนหรวน
เย่ซือเฉินถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเวินหรวนหรวนแวบหนึ่ง ซึ่งเป็นแววตาที่เย็นเหยียบถึงขีดสุด และอันตรายถึงขีดสุด ทำให้เวินหรวนหรวนกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
เวินหรวนหรวนมองดูเย่ซือเฉินโอบเวินลั่วฉิงจากไป ไฟริษยาในดวงตาก็ลุกโชติช่วง
เพราะอะไร?เพราะอะไรคุณชายสามเย่ถึงได้เลือกเวินลั่วฉิง?เธอเก่งกว่าเวินลั่วฉิงร้อยเท่าพันเท่า คนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่คุณชายสามเย่น่าจะเป็นหล่อนมากกว่า
หล่อนจะให้เวินลั่วฉิงไม่ตายดี เวลานี้ ท่าทางของเวินหรวนหรวนน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
เย่ซือเฉินส่งเวินลั่วฉิงไปที่คฤหาสน์ตระกูลเวิน แต่ไม่ได้เข้าไป และหลังจากเวินลั่วฉิงเข้าไปด้านใน เขาก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับไป
ท่านย่าถังฟื้นแล้ว เคยให้หมอมาดูอาการแล้ว บอกว่าไม่ได้หนักหนามากนัก แค่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเฉยๆ
“ตาแก่สองคนนั้นเกินไปจริงๆ พวกเขาจะรังแกมากไปแล้ว คิดว่าฉิงฉิงของพวกเรารังแกง่ายๆอย่างนั้นหรือ?”เวินลั่วฉิงยังไม่ทันเดินเข้าไปถึงก็ได้ยินเสียงอันโกรธเคืองของท่านย่าถังเสียแล้ว
“คุณแม่ค่ะ อย่าคิดมากค่ะ คุณหมอบอกว่าอาการของท่านจะคิดมากไม่ได้นะคะ”เฟิ่งเหมียวเหมียวรีบเกลี้ยกล่อม เกรงว่าท่านย่าถังจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น
เห็นได้ชัดว่าท่านย่าถังโกรธไม่น้อย ซึ่งเพลิงโกรธนี้จะระงับเช่นไรก็ระงับไม่อยู่ “ฉันไม่เป็นอะไร ตอนนี้ฉันอยากไปตีกับพวกเขาจังเลย” 、
“พวกเขาไปหาฉิงฉิง บีบคั้นฉิงฉิง ยังอัดวิดีโออีก แล้วยังไม่พอ ยังลงโซเชียลอีก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”ท่านย่าถังยิ่งพูดเพลิงโกรธก็ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้น
“เรื่องอื่นก็ช่างเถอะ ประเด็นคือคุณปู่เย่มาแอดมิทโรงพยาบาลในเวลาอย่างนี้ คนส่วนมากจึงบอกว่าฉิงฉิงบีบให้เขากระโดดตึก บอกว่าฉิงฉิงคิดผู้ร้ายฆ่าคน”ถังหลินจัดแจง เวลานี้ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมเช่นกัน
“เหอะ เขากล้ากระโดดตึกจริงๆเหรอ ต้องแกล้งทำอยู่แล้ว ตาเฒ่านี่ไร้ยางอายสิ้นดี โหดร้ายมากๆ”
พูดถึงเรื่องนี้ ท่านย่าถังก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้น
“พวกเรารู้ว่าไม่ใช่ความจริงอยู่แล้ว แต่คนอื่นไม่รู้ ดังนั้น สิ่งสำคัญในตอนนี้คือให้ประชาชนรู้ความจริง และต้องสืบให้ได้ว่าใครเป็นผู้เผยแพร่วิดีโอนั้น เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ฉิงฉิง”เวลานี้สีหน้าท่านปู่ถังก็ดูแย่มาก
“ตาเฒ่านั้นต้องจงใจนอนที่โรงพยาบาลแน่ๆ เกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการยากเสียแล้ว”ท่านย่าถังรู้จักคุณปู่เย่ดี ดังนั้นท่านจึงสรุปผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้
โทรทัศน์ในห้องโถงกำลังเปิดอยู่ ทันใดนั้นก็มีข่าวสดแทรกรายงานเข้ามาหนึ่งเรื่อง
เวลาที่เวินลั่วฉิงเดินเข้าไปถึงภายในห้องโถง บังเอิญเห็นรายงานข่าวพอดิบพอดี ซึ่งเป็นเทปบันทึกการให้สัมภาษณ์ของโจ๋วอันหนาน
ดูจากภาพในวิดีโอแล้ว น่าจะอยู่ในห้องทำงานที่โรงพยาบาล ซึ่งมีนักข่าวอยู่เต็มไปหมด
“ผอ.โจ๋วค่ะ คุณแจ้งมาว่าจะชี้แจงเรื่องสำคัญให้พวกเราทราบ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรกันคะ?”นักข่าวตั้งคำถามขึ้นมา
“ดิฉันอยากชี้แจ้งต่อทุกท่านว่า ตอนนี้คุณปู่เย่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของเราจริงๆค่ะ”โจ๋วอันหนานเงยหน้ามองนักข่าว น้ำเสียงเบาและช้า แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบสงบลง
บัดนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงได้ยินคำแถลงข่าวของโจ๋วอันหนาน จึงรีบหันหน้าไปมองกันทุกคน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเวินลั่วฉิงเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว
เวินลั่วฉิงก็ไม่ได้ออกเสียง หยุดเดินแล้วดูโทรทัศน์ เธอก็อยากรู้ว่าโจ๋วอันหนานจะกล่าวว่าอย่างไรเหมือนกัน
“เขาอยู่ที่โรงพยาบาลของอันหนาน?”ท่านย่าถึงขมวดคิ้ว“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว เด็กอันหนานคนนี้ ฉันเชื่อถือได้”
“อืม เด็กอันหนานคนนี้พูดโกหกไม่เป็น ดังนั้นท่านวางใจได้เลยค่ะ”เฟิ่งเหมียวเหมียวก็รีบเห็นด้วย
เห็นได้ชัดว่าโจ๋วอันหนานมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อพวกเขา ทุกคนต่างเชื่อใจในตัวโจ๋วอันหนาน
“ผอ.โจ๋วค่ะ คุณปู่เย่ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ ถูกเวินลั่วฉิงบีบให้กระโดดตึกใช่หรือไม่คะ?”นักข่าวที่ไปในเวลานั้น ต่างรู้เหตุการณ์เป็นอย่างดี พูดให้แน่ชัดก็คือพวกเขาหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ เพราะมีเพียงเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ข่าวที่ตีพิมพ์ออกไปจะได้รับการตอบรับที่ดีกว่า
“ดิฉันขอพูดด้วยความสัตย์จริงว่า คุณปู่เย่ไม่ได้รับบาดเจ็บค่ะ คุณปู่เย่เพียงแค่มาตรวจสุขภาพกายเท่านั้นค่ะ ซึ่งตรวจพบเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ แต่ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ คุณปู่เย่พักอยู่ที่โรงพยาบาลก็เพื่อบำรุงสุขภาพร่างกายค่ะ”โจ๋วอันหนานมองหน้าทุกคน โดยพูดทีละคำอย่างชัดเจน ท่าทางของเธอเปิดเผยเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ จึงไม่มีใครกล้าสงสัยแต่อย่างใด
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเด็กอันหนานคนนี้รู้กาลเทศะ รู้ผิดชอบชั่วดี”เห็นได้ชัดว่าท่านย่าถังโล่งอกไปหนึ่งเปลาะ“เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาใหญ่ก็คลี่คลายลงแล้ว”
“ใช่ ในที่สุดก็วางใจได้เสียที ขอแค่คุณปู่เย่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร”เฟิ่งเหมียวเหมียวตบหน้าอกเร็วๆ ใบหน้ามีความปลาบปลื้มใจอยู่หลายส่วน
เวินลั่วฉิงดูโทรทัศน์ ดวงตาพลันกะพริบเบาๆ เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้สะสางง่ายดายเช่นนี้
“ฉิงฉิง หนูมาแล้วเหรอ หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”เฟิ่งเหมียวเหมียวเห็นเวินลั่วฉิง เห็นได้ชัดว่าโล่งอกไปหนึ่งเปลาะ
“อืม ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ”เวินลั่วฉิงเพิ่งเดินเข้าห้องโถง ดวงตายังคงอดมองโทรทัศน์แวบหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเห็นภาพโจ๋วอันหนานเดินออกไปพอดี
ท่านย่าถังก็เป็นห่วงเวินลั่วฉิงเช่นกัน เกรงว่าเวินลั่วฉิงจะเสียใจ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
ทุกคนเห็นโจ๋วอันหนานออกมาไขข้อสงสัยกันแล้ว เช่นนั้น เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร เรื่องต่อจากนี้ก็คงจะสะสางกันง่ายขึ้น
ภายในโรงพยาบาล โจ๋วอันหนานแถลงข่าวเสร็จ ก็เดินไปห้องคนไข้คุณปู่เวินทันที