บทที่ 722 การตรวจดีเอ็นเอที่ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ (12)
“ฉันกับคุณเย่ไม่มีอะไรน่าคุยกันอีก”เวินลั่วฉิงตอบหนึ่งประโยคอย่างราบเรียบแบบไม่หันกลับมา เท้าของเธอแทบไม่ได้หยุดเดินเลย
“ฉิงฉิง ถ้าฉันเป็นพ่อแท้ๆของหนู หนูก็จะปฏิบัติต่อฉันอย่างนี้เหรอ?”เย่โป๋เหวินกล่าวหนึ่งประโยคอย่างรีบร้อน
“เย่ซือเฉินเป็นลูกชายแท้ๆของคุณใช่หรือเปล่า?แล้วคุณปฏิบัติต่อเขาอย่างไร?”ครั้งนี้ เวินลั่วฉิงหยุดเดิน แต่เธอไม่ได้หันกลับไป มุมปากเผยความเย้ยหยันหลายส่วน
ก่อนหน้านี้ถึงแม้เธอไม่ได้สืบต่ออย่างจริงๆจังๆ แต่เธอก็สืบได้เบาะแสเล็กน้อย เธอรู้ว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เย่โป๋เหวินไม่เคยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเย่ซือเฉินเลย ไม่เคยสนใจเลยสักนิด
คำว่าพ่อ เย่ซือเฉินมียังสู้ไม่มีเสียจะดีกว่าเลย!!
เย่โป๋เหวินชะงัก กะพริบตาเร็วๆ เขาโดนโต้กลับแบบไม่มีคำจะตอบ
เวินลั่วฉิงจับที่จับประตู ตอนแรกเธออยากออกไปเลย แต่ทันใดนั้นเธอนึกถึงการตอบสนองของโจรลักพาตัวตอนอยู่ในสถานีตำรวจ
เย่โป๋เหวินรู้สึกแม่ของเธอ อีกทั้งระหว่างพวกเขายังเกิดเรื่องไม่ธรรมดาอย่างนั้น เย่โป๋เหวินจะรู้อะไรบ้างหรือเปล่า?
“แม่ของฉันเคยถูกลักพาตัวหรือเปล่า?”ตอนที่เวินลั่วฉิงถามก็หันกลับไปกะทันหัน แล้วมองหน้าเย่โป๋เหวิน
เดิมทีเย่โป๋เหวินมีสีหน้าร้อนรนและกังวล เมื่อได้ยินคำพูดของเวินลั่วฉิง สีหน้าทั้งหมดของเขาก็แข็งค้าง เขาเบิกตากว้างกะทันหันแล้วจ้องมองเวินลั่วฉิงอยู่อย่างนั้น
เวินลั่วฉิงมองดวงตาเบิกกว้างของเขาออกมาว่าความตกตะลึงและกระสับกระส่าย อีกทั้งยังมีการโทษตัวเอง สุดท้ายเป็นอารมณ์ที่แม้แต่เวินลั่วฉิงก็อ่านใจไม่ออก
อารมณ์ในแววตาของเขาซับซ้อนมาก แต่กลับเพียงพอที่จะแสดงว่า เขารู้เรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเขาด้วย
“คุณรู้เรื่องนี้?”เดิมทีเวินลั่วฉิงก็หยั่งเชิงดู ไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงมาก แต่เมื่อเห็นการตอบสนองของเย่โป๋เหวิน ดวงตาของเธอก็หรี่ขึ้นโดยพลัน
“ไม่รู้ ฉันไม่รู้”เย่โป๋เหวินได้สติก็พยายามปกปิดอารมณ์ทางใบหน้าอย่างสุดความสามารถ แต่เห็นได้ชัดว่ายิ่งเกิดความโกลาหลอลหม่าน
เวินลั่วฉิงเก็บการตอบสนองทุกอย่างของเขาไว้ในสายตา ดังนั้นคำพูดของเขาไม่สำคัญเลย เพราะในใจเวินลั่วฉิงได้คำตอบแล้ว
“สุดท้ายแม่ฉันไม่ถูกทำร้าย ใช่ไหม?”เวินลั่วฉิงหรี่ตาเล็กน้อยมองเขา ทันใดนั้นก็ถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ซึ่งคำนี้เปลี่ยนประเด็นไปไกลมาก
และผลที่เธอวิเคราะห์จากการตอบสนองของโจรลักพาตัว แต่ยังไงเสียก็ยังเป็นเพียงการวิเคราะห์ หากเย่โป๋เหวินรู้เรื่องนี้ คงรู้ผลสุดท้ายเป็นอย่างดี
ตอนนี้เธอต้องการคำตอบที่แน่ใจจากปากของเย่โป๋เหวิน
“ใช่ ใช่ ไม่มี……”เห็นได้ชัดว่าเย่โป๋เหวินคาดไม่ถึงว่าเวินลั่วฉิงจะถามเช่นนี้ จึงตั้งตัวไม่ทัน เผลอพยักหน้าตอบไปด้วยจิตใต้สำนึก
วินาทีนี้สีหน้าของเขาเจือความโชคดีไว้นิดหน่อย แต่กลับมีความหนักอึ้งเจือไว้มากกว่า
ใช่ตอนนั้นแม่ของเธอไม่ได้ถูกทำร้าย เพราะเขาช่วยแม่เธอออกมาได้ แต่……
เวินลั่วฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอเห็นอารมณ์ที่แปรปรวนของเย่โป๋เหวินในขณะนี้ สิ่งที่เขารู้สึกโชคดีคงเพราะแม่เธอไม่ได้ถูกทำร้าย
ในเมื่อแม่ไม่ได้ถูกทำร้าย แล้วเขารู้สึกหนักอึ้งเพราะเหตุใด?
เวินลั่วฉิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เธอได้คาดการณ์ไว้เสียอีก
เย่โป๋เหวินหลับตา ร่างกายสั่นเทาแบบควบคุมไม่ได้ สองมือของเขาจับที่พักแขนวีลแชร์ไว้แน่น มือที่ผอมแห้งมีเส้นเอ็นสีเขียวปรากฏเด่นชัดขึ้นมา แต่ยังคงควบคุมความสั่นทั่วร่างกายไม่อยู่
บัดนี้ถึงแม้เขาจะหลับตาสนิท แต่ความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขายิ่งคงชัดเจน ความเจ็บปวดนั้นเผยความสิ้นหวังที่ใกล้แหลกสลายไว้ด้วย
เวินลั่วฉิงเห็นการตอบสนองของเขาเช่นนี้ ดวงตาเธอหรี่ขึ้น เมื่อปะติดปะต่อเรื่องก่อนหน้าและหลัง เวินลั่วฉิงวินิจฉัยความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือตอนนั้นแม่ของเธอถึงแม้จะไม่ถูกทำร้าย แต่ภายหลังก็เกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรบางอย่างขึ้นแน่
ซึ่งดูออกจากสีหน้าของเย่โป๋เหวินตอนนี้ เหตุการณ์ตอนนั้นต้องรุนแรงมาก หนักอึ้งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะอนาถมากๆเลยทีเดียว……
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”มุมปากเวินลั่วฉิงขยับ อดถามหนึ่งประโยคไม่ได้
“ฉิงฉิง อย่าถามเลย อย่าถามอีกเลย อย่าถามเรื่องตลอดไป ฉันบอกหนูได้เพียงว่าแม่หนูไม่ได้ถูกทำร้ายใดๆ และตอนนั้นแม่หนูสลบ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแม่หนูไม่รู้เรื่องด้วยเลย หนูรู้แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องถามอย่างอื่นอีกนะ”เย่โป๋เหวินถอนลมหายใจเข้าลึกๆ ลืมตาขึ้น แต่อารมณ์ของเขากลายเป็นไร้การควบคุม
เขาพูดเร็วมาก แต่ยังคงเก็บซ่อนการโทษตัวเองและความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสไม่ได้
ดวงตาเวินลั่วฉิงกะพริบเบาๆ แม่ของเธอไม่เป็นอะไร ดังนั้นการโทษตัวเองและความเจ็บปวดคงไม่ได้รู้สึกต่อแม่ของเธอ
ในเมื่อเย่โป๋เหวินไม่อยากพูด เธอรู้ว่าถึงเธอจะถามต่อก็ถามอะไรไม่ได้ศัพท์
เวินลั่วฉิงเปิดประตูห้อง พลางก้าวเท้าออกไป ครั้งนี้เย่โป๋เหวินไม่ได้เรียกเธอให้หยุดอีกต่อไป
หลังเวินลั่วฉิงจากไป เย่โป๋เหวินก็นั่งอยู่ในห้องคนเดียว เสมือนวินาทีนั้นวิญญาณถูกดูดออกจากร่างกายก็ไม่ปาน นั่งอึ้งๆ มึนๆเบลอๆ อยู่อย่างนั้นตั้งครึ่งค่อนวัน โดยไม่มีการตอบสนองใดๆและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
ด้านนอกโรงแรม ลุงหลี่ยังคงรอเวินลั่วฉิงอยู่ เวินลั่วฉิงเห็นก็ขึ้นรถทันที
หลังขึ้นรถ เวินลั่วฉิงแอบสูดลมหายใจเข้า ออก ทำให้ตัวเองสงบลง หลังปรับอารมณ์ได้แล้ว เธอคิดๆดูแล้วก็เอามือถือออกมา จากนั้นก็โทรหาถังหลิน
“ฉิงฉิง เป็นอะไร?”มือถือดังสองครั้ง ถังหลินก็รับสาย
“พี่ในมือพี่มีผลตรวจDNAของเย่โป๋เหวินใช่ไหม?”เวินลั่วฉิงจำได้ว่าถังไป๋เชียนเคยบอกว่า แม่ของจี้หซีเคยสงสัยว่าถังจื่อโม่เป็นลูกของจี้หซี ดังนั้นแอบไปตรวจ DNA
ถังไป๋เชียนบอกว่าตอนนั้นผลตรวจถูกถังหลินสับเปลี่ยน ซึ่งตอนนั้นถังหลินไม่ได้บอกว่าถังหลินเปลี่ยนของใครมา เธอก็ไม่ได้ถามด้วย
แต่ภายหลังถังหลินก็รู้ว่าถังจื่อโม่เป็นลูกของเธอ จึงบอกว่าถังจื่อโม่เป็นลูกของเย่ซือเฉิน
และเอาผลตรวจDNAถังจื่อโม่กับเย่ซือเฉินให้ดู
ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าตอนนั้นถังหลินเปลี่ยนเป็นของเย่ซือเฉิน……
ตอนนั้นถังหลินไม่รู้ว่าถังจื่อโม่เป็นลูกของเย่ซือเฉิน ดังนั้นเพื่อให้แม่ของจี้หซีเชื่อว่าเป็นลูกของเย่ซือเฉิน ถังหลินต้องใช้ผลตรวจทั้งของเย่ซือเฉินกับเย่โป๋เหวินแน่ๆ
ดังนั้นในมือถังหลินมีผลตรวจDNAของเย่โป๋เหวินอยู่
เมื่อกี้อยู่ต่อหน้าเย่โป๋เหวิน เธอแกล้งเป็นไม่ใส่ใจ แต่เธอรู้ดีว่า อันที่จริงหัวใจเธอนั้นใส่ใจมากๆ
เรื่องอย่างนี้จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร?
ดังนั้นเธอต้องตรวจสอบให้แน่ชัด
“ใช่ แต่น้องถามเรื่องนี้ทำไม??”ถังหลินไม่เข้าใจเล็กน้อย เธอหาผลตรวจDNAของเย่โป๋เหวินทำไม?