“อันนี้เป็นเคสหกปีก่อน ตอนนั้นผมเป็นหมอให้การรักษาจริงๆครับ แต่เวลาผ่านไปนานขนาดนั้น คงจำทุกอย่างไม่ได้หรอกครับ
ไม่ทราบว่าประธานเย่ต้องการถามด้านไหนครับ?”ผู้อำนวยการลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มีความสอพลอน้อยลง เพิ่มความจริงจังขึ้นมาหลายส่วน
ผู้อำนวยการลู่ไม่ได้บ่ายเบี่ยง ไม่ได้กล่าวกับเย่ซือเฉินในเรื่องที่ไม่อาจรั่วไหลข้อมูลคนไข้ได้
เพราะการบ่ายเบี่ยงต่อหน้าเย่ซือเฉินนั้นเท่ากับเป็นเรื่องเท็จ ดังนั้นคำตอบของเขาจึงพอดิบพอดีเป็นอย่างมาก
เย่ซือเฉินหลุบตาลง มองเอกสารในมือของผู้อำนวยการลู่ มุมปากที่ยกโค้งขึ้นลดลงไปกว่าครึ่ง ชั่วขณะนี้ไม่ได้พูดจาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ยามนี้เขาเงียบงันมาก แต่ถึงจะเงียบเพียงนี้ แต่ก็ทำให้คนไม่อาจละเลยการมีตัวตนอยู่ของเขา ในทางกลับกัน ยิ่งทำให้คนหายใจติดขัดมากขึ้น
“ประธานเย่?”ตอนแรกผู้อำนวยการลู่ก็ไม่กล้ารบกวนเขา แต่เห็นเขาใช้ความคิดแบบไม่พูดจา จึงอดขานเรียกหนึ่งประโยคไม่ได้
“ตอนนั้นเธอบาดเจ็บบริเวณท้อง ผู้อำนวยการลู่รู้ไหมว่าเธอบาดเจ็บได้อย่างไร?”เย่ซือเฉินเงยหน้าไปมอง ซึ่งแววตามืดทะมึนและเย็นเยียบ ทำให้คนยิ่งรู้สึกขนลุกขนพองเพิ่มขึ้นหลายส่วน
แววตานี้เย็นมาก น่ากลัวมาก!
ผู้อำนวยการลู่สบตาเขา จนราวกับตกใจกลัว ร่างกายแข็งทื่อ จากนั้นก็ต้องกลืนน้ำลาย สีหน้าเผยความระมัดระวังหลายส่วน:“ผมจำได้ว่าตอนนั้นคุณปู่เวินเป็นคนส่งคุณเวินมาด้วยตัวเอง เพราะผมกับคุณปู่เวินรู้จักกัน ดังนั้นคุณปู่เวินจึงให้ผมรับไว้เป็นคนไข้ ดังนั้นผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ในระดับดี แต่คุณปู่เวินไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุการบาดเจ็บของคุณเวินเลยสักคำ เห็นได้ชัดว่าต้องการปิดบังครับ ผมก็ถามมากไม่ได้ครับ……”
เขาหยุดพูดพร้อมกับมองเย่ซือเฉิน เห็นเย่ซือเฉินเม้มปากไม่มีทีท่าจะพูด และแววตาของเย่ซือเฉินในตอนนี้เย็นชาจนน่าหวาดหวั่นกว่าเดิม
เขาแอบถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า:“ผมคิดว่าตอนนั้นท้องของคุณเวินถูกซ้อมอย่างหนักครับ”
“ถูกซ้อมหนักยังไง?”สีหน้าเย่ซือเฉินเคร่งขรึม แววตาที่เย็นเยียบอยู่แล้วได้กลายเป็นเย็นแข็งถึงขีดสุดในชั่วพริบตา
ถูกซ้อมอย่างหนัก?อยู่ดีๆทำไมถึงถูกซ้อมได้?
หกปีก่อน?ตอนนั้นเธอเพิ่งเข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลเวินไม่นาน
ตอนนั้นคนตระกูลเวินคงกดขี่ข่มเหงเธออยู่ทุกวี่ทุกวัน
เป็นฝีมือของคนตระกูลเวินหรือเปล่า?
เย่ซือเฉินนึกถึงภาพพวกนี้ ไอเย็นยะเยือกรอบกายได้กระจายไปทั่ว ทันใดนั้นอุณหภูมิในห้องทำงานลดลงหลายองศา
ผู้อำนวยการลู่เห็นท่าทางเขาเช่นนี้ ร่างกายพลันสั่นสะท้านไม่รู้ว่าเพราะตกใจกลัวหรือเพราะหนาวเย็นกันแน่
ครั้งนี้ผู้อำนวยการลู่ไม่ได้ตอบ เห็นได้ชัดว่ามีความลังเลเล็กน้อย
เย่ซือเฉินไม่ได้เร่งรัดเขา เพียงแต่ใช้สายตาเย็นเยียบมองเขา โดยที่ไม่พูดไม่ขยับเขยื้อน แต่อานุภาพนั้นเต็มสิบเช่นเดิม
มีไม่กี่คนที่ต้านทานการจ้องของเย่ซือเฉินเช่นนี้ได้
มือของผู้อำนวยการลู่สั่นสะท้านยิ่งขึ้น หัวผากมีเหงื่อซึมออกมาเป็นชั้น บัดนี้เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งเครียดทั้งกลัว
เขายกมือเช็ดเหงื่อ ไม่อาจทานทนสายตาของเย่ซือเฉินได้ สุดท้ายจึงเอ่ยปากพูดว่า:“อาการบาดเจ็บอย่างสาหัสเกิดจากสิ่งของ ผมจำได้ว่านอกจากคุณเวินจะบาดเจ็บบริเวณท้องแล้ว ส่วนอื่นของร่างกายยังมีรอยแผลอีกด้วย และวิเคราะห์จากรอยแผลก็รู้ว่าไม่ได้เกิดจากการถูกทำร้ายแค่ครั้งเดียวครับ”
ไม่ใช่ครั้งเดียว งั้นก็คือสองครั้ง สามครั้ง หรืออาจมากกว่านั้น
คำพูดของผู้อำนวยการลู่นั้นถือว่าชัดเจนมากแล้ว
ถึงแม้เขาไม่ได้พูดตรงๆ แต่ฟังจากเขาพูดก็ทำให้เชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีตได้ รู้ว่าเวินลั่วฉิงถูกซ้อมไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง
คงเป็นเพราะท้องบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจปิดบังได้ จึงถูกคุณปู่เวินรู้เข้า ดังนั้นจึงส่งเข้าโรงพยาบาล
ตอนนั้นคุณปู่เวินจงใจปิดบัง แสดงว่าเป็นเรื่องอัปยศต่อวงศ์ตระกูล
เย่ซือเฉินเป็นคนฉลาด จะฟังความหมายของผู้อำนวยการลู่ไม่ออกได้อย่างไร วินาทีนี้แววตาเขาเหมือนมีน้ำแข็งเติมใส่ มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแสงดาบเงากระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยไอสังหาร มันเหน็บหนาวจนสามารถแช่แข็งกระดูกคนให้แหลกสลายได้
ผู้อำนวยการลู่รู้สึกขาเริ่มอ่อนระทวย เขาแทบอยากปลีกตัวหนีออกจากห้องทำงานด้วยซ้ำ แต่เย่ซือเฉินไม่ได้พูด เขาจึงไม่กล้าออกไป
แต่บัดนี้เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก คล้ายกับเกรงว่าพูดเยอะแล้วจะกระตุ้นความน่ากลัวของเย่ซือเฉินมากขึ้น
ท่าทางตอนนี้ของเย่ซือเฉินดูแล้วช่างน่าหวาดกลัว น่าสะเทือนขวัญมาก
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน ห้องทำงานเงียบจนน่ากลัวมาก ดังนั้นเสียงหายใจแรงของผู้อำนวยการลู่จึงเด่นชัดมาก
“สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงทั้งหมดหรือ?”ผ่านไปสักพัก อารมณ์ของเย่ซือเฉินทุเลาลง จึงเงยหน้ามองเขา
ผู้อำนวยการลู่พยักหน้า:“ผมจะกล้าพูดเท็จต่อหน้าประธานเย่ได้อย่างไรครับ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความสามารถของประธานเย่ หากคิดจะตรวจสอบ คงไม่ยาก”
ยามนี้สีหน้าผู้อำนวยการลู่เจือความตึงเครียดและความหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถอนตัวออกจากบรรยายกาศความน่าสะพรึงกลัวที่เย่ซือเฉินก่อขึ้นเมื่อสักครู่นี้
เย่ซือเฉินรู้ว่าต่อหน้าตน เมื่อโดนเขาแผ่รัศมีอันเย็นยะเยือกเข้าปกคลุม จะไม่มีใครพูดเท็จ เว้นแต่ว่ารายนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝนฝึกมาโดยเฉพาะ
ทว่าผู้อำนวยการลู่ไม่ใช่กรณีนี้อย่างชัดแจ้ง
อีกทั้ง ผู้อำนวยการลู่พูดถูก หากต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ตอนนั้นเวินลั่วฉิงบาดเจ็บสาหัส ทางคุณปู่เวินก็จงใจปิดบัง แถมยังไม่ได้เค้นหาความผิด มันจึงมีความเป็นไปได้เพียงทางเดียว นั่นก็คือเป็นความอับอายภายในบ้าน
ในเมื่อเป็นเรื่องภายในบ้านที่ไม่ควรสาวไส้ให้กากิน ดังนั้นสมาชิกครอบครัวตระกูลเวินต้องรู้เหตุการณ์ครั้งนี้แน่นอน
ถึงแม้ตอนนี้คุณปู่เวินนอนสลบไสลอยู่ แต่เวินจีหยันต้องรู้แน่ๆ ถามเรื่องนี้กับเวินจีหยันก็ได้รู้ทุกอย่างแล้ว
ผู้อำนวยการลู่ก็ไม่มีเหตุจำเป็นและไม่กล้าพูดโกหกในเรื่องนี้ด้วย
“ผู้อำนวยการลู่เป็นคนเขียนบันทึกการรักษาเคสนี้ใช่ไหม?”เย่ซือเฉินละสายตาไปมองเอกสารในมือผู้อำนวยการลู่อีกครั้ง:“ผู้อำนวยการลู่มีอะไรจะเสริมไหม?”
“ประธานเย่หมายถึงด้านไหนครับ?”ผู้อำนวยการลู่ไม่ได้ตอบโดยตรง เห็นได้ชัดว่ามีความลังเลเล็กน้อย
“ดูออกว่าผู้อำนวยการลู่จำเหตการณ์ครั้งนั้นได้ดี ดังนั้นผู้อำนวยการลู่น่าจะรู้ว่าควรเสริมอย่างไรเกี่ยวกับเคสนี้”เย่ซือเฉินยกมุมปากขึ้นดูแล้วเย็นชาเป็นพิเศษ
“ตอนนั้นคุณปู่เวินให้ผมปกปิดอาการบางอย่างจริงๆครับ”ผู้อำนวยการลู่แอบถอนหายใจ ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง กำลังเตรียมเปิดเผยความจริง
“อาการอะไร?”เย่ซือเฉินปรายตามองผู้อำนวยการลู่ใบหน้าเย็นยะเยือกไม่เห็นความผิดแปลกแต่อย่างใด
ทว่าเวลานี้หัวใจเขากลับถูกบีบ
คุณปู่เวินพยายามปิดบังอาการป่วย คงไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว
เพราะเขารู้ว่าคุณปู่เวินเอ็นดูรักใคร่เวินลั่วฉิงด้วยใจจริง