เด็กคนนี้ขึ้นมาได้ยังไง?เด็กคนนี้เป็นใคร?
“เลขาหลิวพาหนูขึ้นมาค่ะ”ถังจื่อซีมองเธอ ตอบเพียงคำถามประโยคหลังเท่านั้น
ถังจื่อซีฉลาดมาก เธอรู้ว่าต้องตอบอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหาได้เร็วที่สุด
“เลขาหลิวพาหนูขึ้นมาหรือคะ?แล้วเลขาหลิวล่ะ?”เลขาหรวนได้ยินว่าเลขาหลิวพาเธอขึ้นมา สีหน้าก็เป็นดีขึ้นหลายส่วน แต่ใบหน้ายังคงสงสัยหลายส่วน
“เลขาหลิวลงไปทำธุระค่ะ เขาให้หนูรอในห้องทำงานของแดดดี้ค่ะ”ถังจื่อซีมองเธอด้วยรอยยิ้มละมุนละไม
“ห้องทำงานของพ่อหนูหรือคะ?”เลขาหรวนชะงัก มองถังจื่อซีด้วยแววตาสว่างจ้า:“โอ๊ย ฉันรู้แล้วว่าหนูเป็นใคร พ่อของหนูคือรองประธานของพวกเราใช่ไหมคะ?”
ตอนที่ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่มา เลขาหรวนเคยเห็นเธอแล้ว แต่ว่าวันนี้เด็กน้อยถังจื่อซีแต่งตัวเป็นพิเศษ แถมยังสวมแว่นท่เก๋ไก๋อีกต่างหาก ดังนั้นเลขาหรวนจึงจำไม่ได้ในแวบแรกที่เห็นเธอ
“คุณน้าทายผิดแล้วค่ะ รองประธานของพวกคุณเป็นสามีของแม่ถงถง ไม่ใช่สามีของแม่หนู ดังนั้นรองประธานของพวกน้าไม่ใช่พ่อของหนูค่ะ”ถังจื่อซีขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็ตั้งใจอธิบาย
“หา?งั้นพ่อของหนูก็คือใคร?”เลขาหรวนชะงัก แม่ของเธอไม่ใช่รองประธานหรือ?
หรือเธอเข้าใจผิด?
งั้นพ่อของเธอคือใคร?
เมื่อกี้เธอเพิ่งพูดหมาดๆว่ามาห้องทำงานพ่อเธอ
ชั้นนี้ นอกจากห้องทำงานของรองประธานแล้วก็มีเพียงห้องทำงานของท่านประธานแล้วสินะ
เป็นไปไม่ได้มั้งที่พ่อของเธอจะเป็นท่านประธาน?!
ไม่ ไม่มีทางเด็ดขาด
ท่านประธานของพวกเขาเพิ่งแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน แถมยังหย่าแล้วอีกต่างหาก จึงไม่มีทางมีลูกสาวโตขนาดนี้แน่นอน
“พ่อหนูก็คือประธานของพวกน้าไง”ถังจื่อซีเงยหน้า พลางประกาศด้วยใบหน้าโอ้อวด คล้ายกับกลัวเลขาหรวนเข้าใจผิด ดังนั้นเจ้าหญิงถังจื่อซีจึงเสริมเป็นพิเศษอีกหนึ่งประโยคว่า:“พ่อหนูก็คือเย่ซือเฉิน”
เจ้าหญิงถังจื่อซีพูดจบก็เชิดหน้าเดินไปด้านหน้าห้องทำงานของเย่ซือเฉิน ก่อนจะผลักประตู……
เลขาหรวนรู้สึกตะลึงงัน เมื่อกี้เด็กคนนี้พูดว่าไงนะ?
พูดว่าอะไร?
เธอบอกว่าพ่อของเธอก็คือประธานของพวกเขา?
นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!
“ปัดโธ่ นั้นมันห้องทำงานของประธานนะ คนนอกเข้าไปโดยพลการไม่ได้?”เห็นถังจื่อซีผลักประตูห้องทำงานประธาน เลขาหรวนที่ยังดึงสติกลับมาไม่ทัน พลางกล่าวหนึ่งประโยคด้วยจิตใต้สำนึก
ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าห้องทำงานของท่านประธาน แม้แต่ระดับเลขาอย่างพวกเขาก็เข้าไปไม่ได้
“หนูรู้ค่ะ แต่หนูไม่ใช่คนนอก หนูเป็นลูกของท่านประธานพวกคุณ……”ถังจื่อซีหยุดการกระทำ จากนั้นก็หันกลับมามองเลขาหรวน เจ้าหญิงน้อยตั้งใจคิดแล้วก็เสริมอีกว่า:“หนูเป็นลูกสาวแท้ๆของประธานพวกคุณ”
เลขาหรวนได้ยินคำพูดของเจ้าหญิงน้อยถังจื่อซีก็แข็งทื่อเป็นก้อนหิน?ลูกสาวแท้ๆของท่านประธาน?
เลขาหรวนเดินไปด้านหน้าถังจื่อซีด้วยจิตใต้สำนึก อ้ามุมปากขึ้น อยากจะปริปากพูด
เด็กน้อยถังจื่อซีกลับยกมือมือโบกใส่เธอเบาๆ:“เลขาหลิวพาหนูขึ้นมา เลขาหลิวให้หนูรอแดดดี้อยู่ที่นี่ น้าไปทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจหนู”
บัดนี้ถังจื่อซีฉายออร่าเถ้าแก่ออกมา ถือที่นี่ว่าเป็นบ้านของตัวเองแล้ว
ไม่ ถือที่นี่เป็นบริษัทของตัวเองแล้ว
เลขาหรวน:“……”
เธอยังพูดอะไรได้อีก?ยังพูดอะไรได้อีกหรือ?
ในเมื่อเลขาหลิวเป็นคนจัดการ เลขาตัวน้อยๆอย่างเธอจะกล้าเข้าไปก้าวก่ายได้อย่างไร
เลขาหลิวพาเด็กน้อยคนนี้ขึ้นมา ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกสาวของท่านประธาน แต่คาดว่าคงไม่ได้มีความสัมพันธ์ธรรมดากับท่านประธานแน่ๆ
“ค่ะ งั้นหนูเข้าไปรอท่านประธานก่อนนะ ตอนนี้ประธานกำลังประชุมอยู่ ยังอีกนานเลยค่ะ หนูอยากกินไรไหมคะ น้าไปซื้อให้”เลขาหรวนรู้สึกว่าปล่อยให้เด็กอยู่ในห้องทำงานคนเดียวคงโดยไม่สนใจไม่ได้
“ขอบคุณค่ะคุณน้าหนูอยากกินไอศกรีมค่ะ น้าช่วยหนูซื้อได้หรือคะ?”ถังจื่อซีได้ยินเรื่องกิน ดวงตาก็สว่างไสว แน่นอน สิ่งที่เธอชอบกินที่สุดก็คือไอศกรีมนั่นเอง
“ค่ะ น้าช่วยหนูซื้อ”เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหญิงน้อย เลขาหรวนก็อดยิ้มตามไม่ได้
เด็กผู้หญิงคนนี้น่ารักจริงๆ ยากนักที่จะทำให้คนไม่ชอบได้
เลขาหลิวรีบลงไปชั้นล่าง คนส่งของมารออยู่ตรงชั้นล่างแล้ว เลขาหลิวรู้ว่าประธานกำลังรออยู่ จึงรีบรับแล้วขึ้นไปยังห้องประชุมทันที
ภายในห้องประชุม คุณชายสามเย่ฟังรายงานผลด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เลขาหลิวผลักประตูเข้าไปอยู่ข้างกายเขา พร้อมกับวางของไว้ตรงหน้าเขา
เลขาหลิวนึกถึงเรื่องเจ้าหญิงน้อย เขาก็รู้สึกสับสนและลังเล เขารู้ว่าไม่ควรพาเจ้าหญิงน้อยไปที่ห้องทำงานของท่านประธาน แต่เขาทำไปแล้ว เจ้าหญิงน้อยไม่ให้โอกาสเขากลับคำเลย เขาไร้หนทางจริงๆ
เลขาหลิวกำลังคิดว่าจะบอกท่านประธานดีไหม เพราะเจ้าหญิงน้อยอยู่ในห้องทำงานแล้ว คิดจะหนีก็หนีไม่พ้น
เพียงแต่เวลานี้ ระดับผู้บริหารชั้นสูงคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งประโยค ตัดบทที่เลขาหลิวอยากพูดทิ้ง
ต่อมา หลายคนก็ได้แสดงความคิดเห็นไปต่างๆนาๆ ซึ่งคุณชายสามเย่ฟังด้วยท่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เลขาหลิวเห็นท่านประธานอารมณ์ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่กล้าบอกเรื่องเจ้าหญิงน้อย
การประชุมดำเนินไปเรื่อยๆ……
บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ป
ประชุมมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เพราะช่วงนี้คุณชายสามเย่ไม่ค่อยใส่ใจต่อเรื่องภายในบริษัทมากนัก ดังนั้นจึงเกิดปัญหาภายในไม่น้อย ซึ่งบรรดาผู้บริหารระดับสูงมีความเห็นต่างกัน ดังนั้นจึงเกิดการโต้แย้งอย่างดุเดือด
เลขาหลิวไม่มีโอกาสพูดเรื่องเจ้าหญิงน้อยเลย
ปกติเวลาประชุม พวกเขาไม่กล้าโต้แย้งในลักษณะนี้ แต่วันนี้คุณชายสามเย่ไม่เหมือนเดิมอย่างชัดเจน
คุณชายสามเย่แค่นั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้น ไม่ได้พูด ไม่ได้ห้ามเสียงโต้แย้งของพวกเขา
ท่านประธานไม่พูด พวกเขาโต้แย้งไปมาจนกลายเป็นทะเลาะเบาะแว้ง
“ท่านประธานครับ……”เลขาหลิวเห็นท่านประธานไม่พูด ไม่ได้การเคลื่อนไหวใดๆ พลางพูดเสียงเบาหนึ่งประโยค ทำไมเขารู้สึกว่าท่านประธานเริ่มเหม่อลอยอีกแล้ว
เลขาหลิวสงสัยอย่างหนักว่า เมื่อกี้ท่านประธานได้ยินคำพูดของทุกคนหรือเปล่า ถึงแม้ร่างกายท่านประธานจะอยู่ที่นี่ แต่หัวใจกลับลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
คุณชายสามเย่ได้ยินเสียงเลขาหลิว พลางนั่งตัวตรง ก่อนจะกวาดสายตามองผู้คนในห้องประชุม กลุ่มที่กำลังถกเถียงกันอยู่ก็เงียบทันที
“เลิกประชุม”คุณชายสามเย่ไม่อยากประชุมกะทันหัน นับแต่เมื่อวาน เหมือนเขาจะไม่สนใจอะไรเลย ตอนนี้เรื่องในบริษัททำให้เขารำคาญใจเล็กน้อย
ผู้คนในห้องประชุมงงเป็นไก่ตาแตก เลิกประชุม?เลิกประชุมดื้อๆอย่างนี้เลยหรือ?
เลขาหลิวอึ้ง เลิกประชุมแล้วท่านประธานก็ต้องกลับไปยังห้องทำงาน งั้น……