ผู้คนในห้องประชุมงงเป็นไก่ตาแตก เลิกประชุม?เลิกประชุมดื้อๆอย่างนี้เลยหรือ?
เลขาหลิวอึ้ง เลิกประชุมแล้วท่านประธานก็ต้องกลับไปยังห้องทำงาน งั้น……
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ท่านประธานไม่พูดเลยสักคำ ไม่ได้แก้ไขปัญหาทุกอย่าง ยังไม่ได้สรุปทุกการตัดสินใจเลย แต่ท่านประธานก็บอกว่าจะเลิกประชุมซะงั้น?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เลขาหลิวมึนไปหมด คนอื่นไม่เข้าใจท่านประธาน แต่เขาเข้าใจที่สุด ท่านประธานยังเสียใจกับเรื่องนั้นอยู่แน่ ท่านประธานยังปรับสภาพจิตใจจากเรื่องนั้นไม่ได้
คุณชายสามเย่ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมในท่ามกลางสายตาที่มึนงงของเหล่าพนักงาน
เลขหลิวได้สติก็รีบจัดแจงเอกสาร พอเขาเก็บเอกสารเรียบร้อยก็ไม่เห็นเงาของท่านประธานเสียแล้ว
เลขาหลิวอดกระตุกมุมปากไม่ได้ ท่านประธานเคลื่อนไหวว่องไวโดยแท้
วินาทีต่อมา เลขาหลิวก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าหญิงน้อยยังอยู่ในห้องทำงานของท่านประธาน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่มีโอกาสรายงานเรื่องนี้ให้ท่านประธานทราบเลย
เลขาหลิวรีบวิ่งออกไปโดยที่ถือกองเอกสารไว้ในมือ เลขาหลิวรู้สึกว่าเขาควรแจ้งเรื่องเจ้าหญิงน้อยให้ท่านประธานทราบก่อนจะดีกว่า
คนที่เหลือภายในห้องประชุมต่างมีใบหน้างงงวยด้วยกันทั้งสิ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?ทำไมท่านประธานถึงไปแล้วล่ะ?เรื่องหารือของพวกเราเมื่อกี้ผ่านหรือยัง?”
“ประธานไม่ได้เอ่ยสักคำ จะผ่านได้ไง?”
“ท่านประธานโกรธแล้วหรือ?เพราะเมื่อกี้พวกเราถกเถียงกัน……”คนที่กล่าวประโยคนี้อดตัวสั่นไม่ได้:“ฉิบหายแล้ว ฉิบหายแล้ว เมื่อกี้ผมเถียงเสียงดังสุด ครั้งนี้ต้องตายแน่ๆ”
“ผมรู้สึกว่าเมื่อกี้ท่านประธานใจลอยนะ เหมือนไม่ได้ฟังพวกเราแสดงความคิดเห็นเลย”
“คุณว่าไงนะ?คุณบอกว่าประธานใจลอยในที่ประชุมหรือ?ไม่ได้ยินที่พวกเราพูด?นี่มันเกิดอะไรขึ้น?น้ำเข้าสมองของคุณหรือเปล่า?”
“ปกติประธานเป็นคนเข้มงวด ไม่มีทางเป็นอย่างที่คุณพูดเด็ดขาด”
“แล้วทำยังไงต่อดีล่ะ?ท่านประธานไม่พูด โปรเจกต์ไม่ผ่าน จะแก้ไขยังไงดี?”
“ท่านประธานหมายความว่ายังไงกันแน่?จะหาตัวแทนไปถามไหม?”
จากนั้นทุกคนก็นิ่งเงียบ……
ท่านประธานออกจากที่ประชุมอย่างนี้ ใครจะกล้าไปถาม?ไม่เท่ากับหันหน้าตัวเองเข้าหาหัวปืนหรอกหรือ?
“แยกย้ายกันก่อน ถ้ามีอะไรเลขาหลิวก็แจ้งมาเองแหละ”เงียบไปดสักพักมีคนลุกขึ้นจากไป
ทุกคนก็แยกย้ายออกไป เพราะท่านประธานก็ไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไร?
เลขาหลิวถือเอกสารแล้วรีบเดินออกไป แต่คุณชายสามเย่เข้าลิฟต์เพื่อตรงขึ้นไปชั้นบนแล้ว
เลขาหลิวแอบถอนหายใจหนึ่งเฮือก พลางกดลิฟต์ตัวอื่น โชคดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนใช้ลิฟต์มากนัก
ท่านประธานขึ้นไปชั้นบนคงต้องกลับห้องทำงานตัวเองแน่ๆ
ตอนนี้เจ้าหญิงน้อยอยู่ในห้องทำงานของท่านประธาน เมื่อท่านประธานกลับห้องทำงานของตัวเองคงต้องเจอเจ้าหญิงน้อยเป็นแน่
เมื่อดูจากสภาพจิตใจตอนประชุมเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าท่านประธานยังไม่ได้เดินออกจากเรื่องที่ทำให้กระทบจิตใจ หากเวลานี้ท่านประธานพบหน้าเจ้าหญิงน้อยอีก จะทำให้ยิ่งช้ำใจกว่าเดิมหรือไม่?
เลขาหลิวรู้สึกร้อนใจ บัดนี้เขาอยู่ในวิกฤตกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อเห็นลิฟต์เปิดออก เลขาหลิวพลันสูดลมหายใจแรงๆหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพร้อมกับเอ่ยปากพูดว่า:“ท่านประธาน……”
สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี สู้ไปตายเอาดายหน้าดีกว่า
เพียงแต่เลขาหลิวยังพูดไม่ทันจบ มือถือของคุณชายสามเย่ก็ดังขึ้น
เย่ซือเฉินล้วงมือถือออกมา พร้อมกับดูเบอร์ที่ปรากฏ จากนั้นก็กดรับสาย
“พี่สาม พี่มาเร็ว พี่สะใภ้สามโดนล้อมโจมตีแล้ว”มีเสียงคุณชายห้าฉิงแว่วเข้ามาตามสาย ซึ่งเป็นน้ำเสียงรีบร้อนที่เกิดขึ้นโดยทันทีทันใด
เสียงคุณชายห้าฉิงดังมาก ทำให้เลขาหลิวที่ยืนข้างๆก็ได้ยิน
เลขาหลิวอึ้ง คุณนายถูกล้อมโจมตี?
ตอนนี้เขารู้ความเก่งกาจของคุณนายดี แล้วใครหน้าไหนกล้ามาล้อมโจมตีคุณนายกันล่ะ?
มีใครสามารถล้อมโจมตีคุณนายได้บ้าง?
แต่ฟังจากน้ำเสียงของคุณชายห้าฉิง มันไม่เหมือนกับการล้อเล่นเลยสักนิด การที่คุณชายห้าฉิงโทรมาบอกท่านประธานโดยเฉพาะ คาดเรื่องคงจะรุนแรงน่าดู
เย่ซือเฉินหน้าเปลี่ยนสี:“ที่ไหน?”
คุณชายสามเย่มักจะถือเรื่องเวินลั่วฉิงสำคัญเป็นอันดับแรก ได้ยินว่าเวินลั่วฉิงถูกล้อมโจมตี คุณชายสามเย่ก็ไม่กล้าเสียเวลา ดังนั้นระหว่างที่ถาม เย่ซือเฉินก็กดลิฟต์ลงไปยังชั้นBแล้ว
วินาทีที่ลิฟต์ใกล้จะปิด เลขาหลิวก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าหญิงน้อยยังอยู่ในห้องทำงานของท่านประธาน
ซึ่งเวลานี้เขาคงบอกเรื่องเจ้าหญิงน้อยให้ท่านประธานทราบไม่ได้แล้ว เลขาหลิวรู้ว่าคุณนายสำคัญที่สุดสำหรับท่านประธาน ถึงแม้เขาจะแจ้งเรื่องเจ้าหญิงน้อยให้ท่านประธานทราบ แต่ท่านประธานก็ต้องไปหาคุณนายก่อนอย่างแน่นอน คงไม่อยู่ต่อแม้เพียงวินาทีเดียว
แต่เขาจะทิ้งเจ้าหญิงน้อยอยู่ในห้องท่านประธานโดยที่ไม่ใส่ใจไม่ได้
“ท่านประธานครับ ผมไปจัดการเรื่องเอกสารที่พึ่งประชุมเมื่อสักครู่นี้หน่อยครับ”เวลานี้เลขาหลิวมีไหวพริบเร็ว หาเหตุผลที่ตนคิดว่าไม่เลวออกมา
เย่ซือเฉินมองเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดไม่ได้คิดอะไร แค่พยักหน้าเบาๆเท่านั้น
เลขาหลิวแอบถอนหายใจ ยังดี ยังดีที่ท่านประธานไม่ถาม หากท่านประธานถามในเวลานี้ เขาไม่รู้จริงๆว่าควรตอบเช่นไรดี
ลิฟต์ปิดอีกครั้ง เย่ซือเฉินก็ลงไปชั้นล่างทันที
เลขาหลิวยืนอยู่หน้าลิฟต์ด้วยใบหน้าลังเลและพะอืดพะอม
ท่านประธานออกไปแล้ว ต่อจากนี้ก็มีเพียงเขาที่จะต้องพบหน้าเจ้าหญิงน้อยแล้วสินะ แต่เขาจะบอกเจ้าหญิงน้อยอย่างไรดี?
ถึงแม้เจ้าหญิงน้อยจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ก็ไม่ใช่จะหลอกกันได้ง่ายๆ เขาถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้หลอกเจ้าหญิงน้อย
นึกถึงใบหน้าเจ้าหญิงน้อยที่เสียใจและน้ำตากำลังไหลริน หัวใจเลขาหลิวก็เหมือนถูกบีบ ชั่วพริบตานั้นสองขาของเขาเหมือนโดนเทใส่ตะกั่ว ไม่อาจก้าวเท้าออกไปได้เลย
เขาไม่รู้จริงๆว่าควรไปเผชิญหน้ากับเจ้าหญิงน้อยอย่างไร ปวดหัวมาก หัวใจก็ปวดมากเช่นกัน
เขาหนีไปได้ไหม?
“เลขาหลิว คุณยืนอยู่ตรงนั้นทำไม?”ขณะที่เลขาหลิวกำลังลังเลว่าจะหนีดีไหม เลขาหรวนที่เดินผ่านก็หยุดมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย
เลขาหลิวยืนอยู่ด้านหน้าลิฟต์ด้วยใบหน้าลังเลและอึดอัดใจ มันเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ?
สีหน้าของเลขาหลิวเช่นนี้ทำให้คนสงสัยว่าบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปใกล้จะล้มละลายแล้ว
“ไม่มีอะไร”เลขาหลิวได้สติก็ถอนหายใจยาวๆ ปกบังความละอายใจของตัวเอง เขาไม่มีทางบอกคนอื่นหรอกว่าเขากลัวเด็กที่อายุยังไม่ถึงห้าขวบ
“เลขาหลิวค่ะ เมื่อกี้มีเด็กผู้หญิงเข้าห้องทำงานของท่านประธานค่ะ เธอบอกว่าคุณให้เข้าไป เธอยังบอกว่าพ่อของเธอก็คือท่านประธานอีกด้วยค่ะ……”แต่เลขาหลิวกลับพูดเรื่องที่ไม่ควรหยิบยกมาพูดซะงั้น มาคอยซ้ำเตือนเลขาหลิวว่าเจ้าหญิงน้อยอยู่ในห้องทำงานของท่านประธาน
เลขาหลิวรู้สึกหน้าชากะทันหัน เขารู้ว่าคงหนีไม่พ้น เขาคงทิ้งเจ้าหญิงน้อยอยู่ในห้องทำงานของท่านประธานไม่ได้หรอก