“คุณถัง ฉันรู้ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาชกรรมเชิงจิตวิทยา เพียงแต่ฉันเป็นแค่นักข่าว การตัดสินใจของฉันมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์” เจิ้งเยว่ยิ้มเล็กน้อย คำพูดนนี้มันน่าสนใจไม่เบาเลย
เย่ซือเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ เวินลั่วฉิงทำมือโอเคให้กับเวินลั่วฉิง
“โอเค ฉันเข้าใจความหมายของนักข่าวเจิ้งแล้วล่ะ” เวินลั่วฉิงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าเดิม ก่อนจะตัดสายทันที
ในเมื่อเวินลั่วฉิงรู้ว่าตอนนี้เจิ้งเยว่กำลังไปสัมภาษณ์ ตอนนี้ไปคุยกับเจิ้งเยว่มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่
เย่ซือเฉินได้ยินว่าเจิ้งเยว่กำลังจะไปสัมภาษณ์ ก็เริ่มให้คนไปตรวจสอบที่อยู่ของเจิ้งเยว่เมื่อครู่ เมื่อครู่ที่หาเย่ซือเฉินได้แล้วเลยทำสัญญาณมือเวินลั่วฉิงให้
“ที่อยู่ของเจิ้งเยว่นั้นอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์กลาง” เย่ซือเฉินมองเวินลั่วฉิง ขมวดคิ้ว พลางมีหน้าตาเคร่งเครียดขึ้น
“ไปโรงพยาบาลก่อน เด็กคนนั้นอาจจะอยู่ที่โรงพยาบาล” เวินลั่วฉิงเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นตอนนี้เธอต้องรีบไปที่โรงพยาบาล ดูว่าจะสามารถทำอะไรได้อย่างทันเวลาหรือไม่
ในตอนนี้เจิ้งเยว่ไปถึงโรงพยาบาลศูนย์กลางแล้ว เธอขึ้นไปที่ชั้นสองทันที ห้องพักผู้ป่วยของชั้นสองมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เตียง
หลังจากที่เจิ้งเยว่เข้าไปแล้ว ก็มองผู้ชายคนนั้นสักพัก จากนั้นก็มองไปทางเด็กผู้หญิงที่อยู่บนเตียง
เด็กผู้หญิงมีสีหน้าซีดเซียว จากนั้นก็มีร่างกายสั่นเทา มือทั้งสองข้างจับผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ด้วยใบหน้าเกรงกลัวเป็นอย่างมาก
“ใช่คุณหลี่หรือเปล่า?” แววตาของเจิ้งเยว่นั้นเป็นประกาย จากนั้นก็หันไปเล็กน้อย พลางมองไปที่ผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง: “คุณมั่นใจเหรอว่าอยากจะให้ลูกสาวคุณเข้าสัมภาษณ์?”
เจิ้งเยว่เป็นนักข่าว แน่นอนว่าเธอรู้ความสำคัญของข่าวดี แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับเด็กผู้หญิงอายุราวๆ สิบเอ็ดขวบนั้น มันถือเป็นความบาดเจ็บอย่างหนึ่ง ถ้าจะให้เด็กผู้หญิงเข้ามาสัมภาษณ์ เกรงว่า……
“ใช่ ฉันอยากให้ไอสารเลวนั่นได้รับโทษ” แววตาของผู้ชายคนนั้นหรี่ลง ใบหน้ามีแต่ความโหดร้าย
“คุณหลี่ พวกเราเป็นการไลฟ์นะ” เจิ้งเยว่คิดอยู่สักพัก เพราะต้องเตือนหน่อย การไลฟ์ไม่เหมือนกับการรายงานข่าวปกติ เพราะการไลฟ์มันเหมือนการเอาเด็กผู้หญิงคนนี้ไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นเลย
“ฉันรู้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการ เพียงแค่การไลฟ์ ก็จะทำให้ไอสารเลวคนนั้นไม่มีที่ยืน” ผู้ชายคนนั้นพูดพลางกัดฟันอย่างเต็มแรง
เจิ้งเยว่เบ้ปากเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอรู้คำขอของผู้ชายคนนั้น เพราะว่าตอนที่เธอมานั้นหัวหน้าบอกกับเธอชัดเจนแล้ว
แต่เธอก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี
“นี่เป็นรายงานผลที่หมอเพิ่งให้มาเมื่อครู่ คุณดูก่อนก็ได้ ฉันเชื่อว่าถ้าคุณอ่านแล้วจะเข้าใจอารมณ์ของฉัน” ผู้ชายคนนั้นเอาเอกสารที่อยู่ในมือยื่นให้เจิ้งเยว่
เจิ้งเยว่รับผลรายงานนั้นมา ก่อนจะอ่านสักพัก จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เพราะไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็โกรธด้วย
“อือ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” เจิ้งเยว่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอารายงานนั้นส่งให้ผู้ช่วย แล้วเธอก็เดินมาหาเด็กผู้หญิงคนนั้น
เด็กผู้หญิงดูกลัวเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นมองเจิ้งเยว่ด้วยความกลัว แล้วตัวก็สั่นเป็นอย่างมาก
“คุณไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่ทำร้ายคุณหรอก คุณบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฉันฟังได้ไหม?” เจิ้งเยว่มองเด็กผู้หญิง พลางพูดเสียงเบา และอ่อนโยน เพราะกลัวว่าเด็กจะตกใจ
“ฉัน ฉันไม่ ไม่เอา” เด็กผู้หญิงเหมือนจะตกใจ เลยรีบส่ายหัว
“เสี่ยวยวี่ คุณบอกพี่สาวคนนี้ไปเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น คุณบอกพี่สาวคนนี้ แล้วเธอถึงจะช่วยตามจับคนร้ายที่ทำร้ายได้นะ” หลี่หมิงเห็นท่าทีของเด็กคนนั้นแล้วก็ตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ ไม่รู้ว่าร้อนรน หรือเพราะอย่างอื่น
“คุณหลี่ ตอนนี้อารมณ์ของเธอยังไม่คงที่ คุณอย่าทำให้เธอตกใจเลย” เจิ้งเยว่ไม่พอใจกับท่าทีของหลี่หมิงเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกสาวของเขา แต่ท่าทีของเขานั้นมันเกินไปจริงๆ
“คุณชื่อเสี่ยวยวี่ใช่ไหม?คุณไม่ต้องกลัวนะ ไมต้องกลัว ถ้าคุณไม่อยากพูด พวกเราไม่พูดก็ได้ งั้นพวกเรามาคุยเรื่องอื่นกัน” เจิ้งเยว่กลัวว่าจะทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวด เลยอยากจะค่อยๆ พูด
เวินลั่วฉิงที่กำลังตามมาที่โรงพยาบาลนั้นเห็นการรายงานข่าวของเจิ้งเยว่พอดี
หน้าจอที่อยู่ในมือนั้น เวินลั่วฉิงเห็นเด็กคนนั้นอย่างชัดเจน
เวินลั่วฉิงหนักใจทันที
ถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้พูดอะไรที่ไม่เป็นผลดีกับถังหยุนเฉิงออกไป เรื่องมันจะต้องหนักแน่นอน
เย่ซือเฉินเองก็เห็นแล้ว สิ่งที่เวินลั่วฉิงคิดออกเย่ซือเฉินเองก็คิดออกเหมือนกัน
ทั้งสองคนดูไลฟ์บนหน้าขอ โดยที่ไม่พูดอะไรเลย
เวินลั่วฉิงมีเบอร์ของเจิ้งเยว่แต่ตอนนี้เธอโทรหาเจิ้งเยว่ไม่ได้ เลยทำให้เจิ้งเยว่ไม่รายงานไม่ได้เหมือนกัน
อย่างแรก เจิ้งเยว่ไม่มีทางฟังเธอ
อย่างที่สอง เธอถ้าทำแบบนั้นจริงๆ มันน่าจะน่าสงสัยมากกว่าเดิม
ตอนนี้เวินลั่วฉิงได้แต่หวังว่าเด็กผู้หญิงจะไม่พูดอะไรที่ทำให้คนอื่นตกใจไปหมด
ถึงอย่างไรถังหยุนเฉิงก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอายุสิบกว่าขวบ เด็กที่เล็กขนาดนั้นคงไม่โกหกใช่ไหมนะ?
ถึงจะมีคนสอน แต่นี่อยู่ต่อหน้าคนอื่น แถมยังไลฟ์อีกด้วย เด็กที่เด็กขนาดนั้นจะต้องตื่นเต้นและประหม่าแน่นอน ถึงจะโกหกก็น่าจะมีจุดรั่วไหลอยู่ไม่น้อยเลย
ในใจของเวินลั่วฉิงนั้นแอบมีความหวังอยู่
แต่ จากนั้น จู่ๆ เด็กผู้หญิงก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองกล้อง
เด็กผู้หญิงมองไปทางกล้อง เวินลั่วฉิงที่กำลังมองกล้องอยู่นั้นเหมือนกำลังจ้องตาเด็กผู้หญิงอยู่เลย
เมื่อมองตาของเด็กผู้หญิงคนนั้น ในใจของเวินลั่วฉิงนั้นตกใจมาก จนใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว
เวินลั่วฉิงเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์จิตใจ จากอารมณ์ ท่าทีนั้นทำให้เธอวิเคราะห์ออกมาได้ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ได้มองตาอีกด้วย
ดวงตาของคนคนหนึ่งทำให้อ่านใจของคนได้ง่ายที่สุดเลย
ถึงแม้ว่าเด็กผู้หญิงจะไม่ได้พูดอะไร แต่เวินลั่วฉิงเหมือนจะเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้เลย
“เด็กผู้หญิงคนนี้……” เวินลั่วฉิงหายใจออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “ไม่ง่ายเลย”
ถึงแม้ว่าเด็กผู้หญิงจะอายุเพียงสิบกว่าขวบ ถึงแม้ว่าตอนนี้หน้าของเด็กผู้หญิงจะดูกลัวมาก แววตาก็เต็มไปด้วยความกลัว แต่แววตาของเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความคิดนั้นกลับมองเวินลั่วฉิงไม่ห่างเลย
ในสถานการณ์แบบนี้ คนปกติที่เห็นข่าวต้องคิดว่าเด็กผู้หญิงกลัวเพียงอย่างเดียวแน่นอน ไม่มีใครคิดถึงความคิดที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเด็กผู้หญิงคนนั้น แน่นอนว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเด็กขนาดนี้จะคิดอะไรแบบนั้นได้
ใช้ความเจ็บปวดของตัวเองมาทำร้ายคนอื่น ขนาดคนที่โตแล้วยังยากจะมีความคิดแบบนี้เลย
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เย่ซือเฉินที่กำลังขับรถอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นไม่ได้สังเกตอะไรมาก เลยไม่เห็นสถานการณ์ของเด็กผู้หญิงเท่าไหร่