คุณปู่เย่ยกบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปให้แก่เย่ซือเฉินแล้ว จึงไม่เข้าแทรกแซงเรื่องภายในบริษัท เพียงแต่ช่วงนี้เรื่องของเย่ซือเฉินกับเวินลั่วฉิงเอิกเกริกใหญ่โต
คุณปู่เย่จึงมีความคิดอื่นเกิดขึ้น วันนี้คุณปู่เย่ถือโอกาสมาที่บริษัท โดยพาคุณย่าเย่มาด้วย
ปากบอกว่าถือโอกาสที่ผ่านทางมาเข้าบริษัท สรุปว่าการถือโอกาสเข้ามาในบริษัทครั้งนี้จะจริงหรือไม่ก็มีเพียงคุณปู่เย่เท่านั้นที่รู้ดี
เมื่อได้ยินพนักงานบอกว่าเย่ซือเฉินไม่ได้เข้าบริษัท สีหน้าคุณปู่เย่ก็เคร่งขรึมอย่างไม่พอใจหลายส่วน
ซึ่งคุณปู่เย่ไม่ได้กล่าวโทษหลานของตนต่อหน้าพนักงาน จากนั้นก็เข้าไปในห้องทำงานของเย่ซือเฉินแล้วค่อยโทรไปหาเขา
เมื่อเข้าในยังห้องทำงานของเย่ซือเฉินก็เห็นเด็กผู้หญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน
คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ต่างตกตะลึงงัน
“ทำไมห้องทำงานของซือเฉินถึงมีเด็กได้?เด็กบ้านไหนมาเพ่นพ่านแถวนี้นี่?”คุณปู่เย่ได้สติใบหน้าก็มืดครึ้มในพริบตา โดยไม่คำนึกว่าจะทำให้เด็กตกใจได้:“เรียกคนมาเอาเด็กไป”
“คุณอย่าเพิ่งใจร้อนสิ ถามดูก่อนค่อยว่ากัน”คุณย่าเย่มองหน้าถังจื่อซีด้วยดวงตาเป็นประกาย เด็กคนนี้คงไม่ได้มาอยู่ในห้องทำงานซือเฉินโดยไร้สาเหตุ
เด็กน้อยถังจื่อซีใช้ดวงตากลมโตมองคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่
พวกเขาเข้ามาถึงถังจื่อซีก็จำพวกเขาได้ทันที เพราะเคยเจอกันในบ้านตระกูลถังแล้ว
ทว่าเห็นได้ชัดว่าคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่จำถังจื่อซีไม่ได้ เนื่องจากครั้งก่อนความสนใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ถังจื่อซี บวกกับวันนี้ถังจื่อซีแต่งตัวพิถีพิถันเป็นพิเศษ ก่อนออกจากบ้านถังจื่อโม่ยังให้เธอสวมแว่นกันแดดด้วย จึงต่างจากวันที่เจอกันในบ้านตระกูลถังอย่างสิ้นเชิง
ไม่แปลกที่คุณย่าเย่กับคุณปู่เย่จำเธอไม่ได้
“เด็กน้อย หนูเป็นใครจ๊ะ?ทำไมหนูมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะจ๊ะ?”คุณย่าเย่มองถังจื่อซีด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วมีความเมตตากรุณาไม่เบา
ถังจื่อซีกะพริบตา เธอรู้ว่าสองคนนี้คือคุณปู่กับคุณย่าของคุณพ่อ ซึ่งถือว่าเป็นญาติของเธอ แต่พวกท่านไม่ชอบคุณแม่ แถมยังด่าคุณแม่อีกด้วย
“ที่นี่คือบริษัทของพ่อ หนูมาหาคุณพ่อค่ะ”ทว่าเด็กน้อยถังจื่อซีเป็นเด็กมีมารยาท เธอตอบคุณย่าเย่ด้วยสุภาพหนึ่งประโยค
“บริษัทของพ่อหนูเหรอ?พ่อของหนูคือใคร?”สีหน้าคุณย่าเย่เปลี่ยนเล็กน้อย น้ำเสียงไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว
สายตาคุณปู่เย่ก็จับจ้องอยู่ที่ถังจื่อซีตรงๆ
ซึ่งแววตาที่คุณปู่เย่จ้องนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ถังจื่อซีไม่ตกใจ กลับตอบด้วยรอยยิ้ม:“แดดดี้ของหนูก็คือประธานบริษัทตระกูลเย่กรุ้ป เย่ซือเฉิน”
ได้ยินคำตอบจากถังจื่อซี สีหน้าคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่พลันเปลี่ยนไป ลูกของซือเฉิน?
เป็นไปได้ยังไง?
ซือเฉินมีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หากเป็นลูกของซือเฉินจริง แล้วใครคือเด็กของเด็กล่ะ?
“แล้วแม่ของหนูคือใครเหรอ?”คุณย่าเย่นึกถึงได้จึงรีบถามออกไป
หลายปีมานี้ข้างกายซือเฉินไม่ได้มีผู้หญิงเลยสักคน มีเพียงหนึ่งเดียวก็คือเวินลั่วฉิง
ทว่าซือเฉินกับเวินลั่วฉิงแต่งงานเมื่อครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีทางมีลูกโตขนาดนี้ ดังนั้นเด็กไม่ใช่ลูกของเวินลั่วฉิงอย่างแน่นอน
คุณย่าเย่ไม่อยากให้แม่ของเด็กเป็นเวินลั่วฉิง เพราะเวินลั่วฉิงจัดการยากมาก
“แม่ของหนูคือเวินลั่วฉิง”ถังจื่อซีมองคุณย่าเย่ พลางตอบอย่างมีมารยาท
คุณแม่เคยสอนเธอว่าต้องเป็นต้องที่มีมารยาท
“เป็นไปไม่ได้ เวินลั่วฉิงตั้งท้องไม่ได้ จะมีลูกได้ยังไง?อีกทั้งพวกเขาเพิ่งแต่งงานเมื่อครึ่งปีก่อนเอง……”คุณปู่เย่โต้กลับทันทีแบบไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้
“แม่ของหนูมีลูกไม่ได้เพราะบาดเจ็บตอนคลอดหนู ดังนั้นหนูเป็นลูกแท้ๆของคุณแม่และคุณพ่อ”ถังจื่อซีหันไปมองคุณปู่เย่ พลางอธิบายอย่างจริงจัง
เรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อคลอดพวกเขาแล้วได้รับบาดเจ็บ เธอกับพี่ชายเพิ่งรู้ตอนที่คุณปู่เย่สร้างเรื่องใหญ่โตขึ้น
ดวงตาคุณย่าเย่กะพริบปริบๆ จากนั้นเดินไปหาถังจื่อซีด้านหน้าด้วยรอยยิ้มเบาๆ มือข้างหนึ่งยื่นไปยังหัวของถังจื่อซี มองคล้ายกับแค่จับเบาๆเท่านั้น
“ท่านอยากตรวจดีเอ็นเอเหรอคะ?”ถังจื่อซีกะพริบตา จากนั้นก็ดึงเส้นผมตัวเองหลายเส้นแล้วยื่นให้คุณย่าเย่:“นี่ค่ะ ไปตรวจได้ตามใจชอบเลยค่ะ”
คุณย่าเย่รู้สึกประหลาดใจและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังคงรับเส้นผมมาไว้ในฝ่ามือ
“ถ้าเป็นลูกของซือเฉิน แล้วเวินลั่วฉิงเป็นคนคลอดเอง……”คุณย่าเย่มองไปยังคุณปู่เย่ด้วยสีหน้าสับสนซับซ้อน
“ถังหยุนเฉิงเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น ครั้งนี้ตระกูลถังคงหนีไม่รอดแล้วล่ะ งั้นคุณถัง……”คุณย่าเย่ไม่ได้พูดจบ แต่ความหมายที่อยากสื่อก็ชัดเจนเพียงพอแล้ว
หากตระกูลถังต้องพินาศ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลถังไม่ใช่สะใภ้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแต่งเข้าตระกูลเย่อีกต่อไป
“หากเด็กคนนี้เป็นลูกของซือเฉินและเวินลั่วฉิงจริง พวกเราจะขัดขวางอีกไหม?”คุณย่าเย่เริ่มลังเลเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะท่านชอบถังจื่อซีมากมาย แต่เพราะท่านรู้จักนิสัยของเย่ซือเฉินต่างหาก
ท่านรู้ว่าสิ่งที่เย่ซือเฉินตั้งมั่นไว้แล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เดิมทีเย่ซือเฉินกับเวินลั่วฉิงก็พัวพันกันอยู่แล้ว หากทั้งสองมีลูกจริงๆ หากคิดจะแยกจากกันคงยากเอาการ
ท่านกลัวเย่ซือเฉินจะห่างเหินต่อพวกท่าน
“แต่ก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิง”คุณปู่เย่มองไปยังถังจื่อซีแวบหนึ่ง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ตระกูลเย่ของพวกเขาต้องมีเหลนชายมาสืบทอดวงศ์ตระกูล
ซึ่งอนาคตข้างหน้าเวินลั่วฉิงไม่อาจมีลูกได้นั้นเป็นเรื่องจริง
คุณย่าเย่เม้มปากไม่ได้พูดอะไร เพราะคุณปู่เย่พูดความจริง เด็กผู้หญิงไม่มีประโยชน์อะไรกับตระกูลเย่เอาเสียเลย
“สำหรับตระกูลถัง ครั้งนี้น่าจะมีเคราะห์มากกว่าโชค พวกเราอยู่ห่างตระกูลถังไว้ก็ดี ค่อยดูสถานการณ์ก่อน หากครั้งนี้ตระกูลถังพังพินาศจริง ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยหาคนที่เหมาะสมกว่า”เห็นได้ชัดว่าคุณปู่เย่มีความคิดในใจแล้ว
“แล้วเอายังไงกับเด็กคนนี้ล่ะ?”คุณย่าเย่ไม่ได้เห็นต่าง ยอมรับในการกระทำของคุณปู่เย่ เพียงแต่มีเด็กเกินออกมาคนหนึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง
“เรื่องเด็กก็ง่ายมาก ในเมื่อเป็นเด็กของตระกูลเย่ พวกเราก็ต้องเลี้ยงดู หากมีผลกระทบอะไรก็ส่งไปต่างประเทศได้ พวกเราตระกูลเย่เลี้ยงดูส่งเสีย ไม่ทำให้เธอลำบากหรอก”คุณปู่เย่เอ่ยอย่างคิดว่ามีเหตุมีผล
ความหมายของคุณปู่เย่ชัดเจนมาก พาเด็กกลับไป แล้วตระกูลเย่เป็นฝ่ายเลี้ยงดู สำหรับแม่ของเด็กอย่างเวินลั่วฉิงไม่มีทางเข้าบ้านตระกูลเย่ได้อยู่แล้ว
นี่คือการพลัดพรากแม่ลูกจากกันเห็นๆ
แน่นอนเรื่องอย่างนี้คุณปู่เย่ไม่ใช่เพิ่งจะทำเป็นครั้งแรก
ทั้งสองท่านเห็นถังจื่อซีอายุประมาณห้าขวบ คิดว่าถังจื่อซีฟังพวกท่านไม่รู้เรื่อง
ทว่าถังจื่อซีฟังรู้เรื่องหมด
เธอเป็นคนมีมารยาทเป็นเด็กรู้ความเสมอมา ถึงแม้เธอจะไม่ชอบคุณปู่คุณย่าของคุณพ่อ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เสียมารยาทเลย
ตอนนี้พวกท่านรังแกคุณแม่อย่างไม่ยั้งมือ ยังบอกว่าตระกูลถังใกล้พินาศแล้ว?เธอยังต้องทนอีกเหรอ?
มีมารยาท ใจกว้าง ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปล่อยให้ใครมารังแกกันได้ ดังนั้นหากต่อจากนี้เธอไม่ทำอะไรหน่อยก็คงผิดต่อตัวเธอเองและผิดต่อคุณแม่แล้วล่ะ
ดังนั้น…